เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา – ตอนที่ 2 ทำข้อตกลง ให้โอกาสตนเองอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าวิ่งไปนานเท่าใด ดาวกระจ่างบนท้องฟ้าค่อยๆมืดแสงลง มีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้ามู่อวิ๋นซี
นางค่อยๆชะลอฝ่าเท้าลง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ แทบจะหลุดออกมานอกอก เป็นเมื่อสองปีก่อนจริงๆ นางได้พบคนผู้นั้นอีกครั้งจริงๆ หากแต่ดูไม่เหมือนในความทรงจำเลย
ในความทรงจำ เขานอนสลบอยู่ข้างทาง มือกำกระบี่ยาวไว้แน่น
และในตอนนี้ กระบี่ยังคงอยู่ในมือเขา แต่เขามิได้สลบ ผมดำขลับแนบลง ได้ปกปิดใบหน้าเขา
เฟิ่งเชียนเย่คุกเข่าลงพื้นข้างหนึ่ง ใช้กระบี่ยาวในมือพยุงน้ำหนักกว่าครึ่งของร่างตนไว้ ตอนนี้ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเข้าใกล้ตน พลันขมวดคิ้วเงยหน้าส่งสายตาเย็นชาไปทางหญิงที่เดินภายใต้แสงดาว
ห้าฉื่อ!(สามฉื่อประมาณหนึ่งเมตร)
ขอเพียงนางเข้าใกล้เขาในระยะห้าฉื่อ ต่อให้เขาถูกพิษร้าย ยังคงมั่นใจว่าสามารถฆ่านางได้
เขาค่อยๆรวบรวมเรี่ยวแรงทีละน้อย
หกฉื่อ!
ก่อนถึงระยะห่างจากเขาเพียงหกฉื่อ มู่อวิ๋นซีหยุดฝีเท้าลง
แววอาฆาตในดวงตาเขา เย็นยะเยือกยิ่งกว่าอากาศร้อยเท่า
หากชาติก่อนนางพบเจอคนเยี่ยงนี้ คงต้องหลบหลีกหนีไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาคือผู้ที่นางต้องการ
นางค่อยๆเผยรอยยิ้มมุมปากใส่เฟิ่งเชียนเย่ เผยรอยยิ้มสว่างไสวยิ่งกว่าแสงดาว “เราทำข้อตกลงกันดีหรือไม่?”
ไม่ได้มาฆ่าเขา? หรือว่าจะยอมถอยก่อนเพื่อควบคุมเขาในภายหลัง?
ขนตายาวของเฟิ่งเชียนเย่สั่นสะท้านเล็กน้อย แววอาฆาตในดวงตายังคงจับจ้องไปที่หญิงสาวไม่ลดละ
มู่อวิ๋นซีคล้ายมิได้สังเกต พลางหยิบขวดยาออกจากชายเสื้อ เทเม็ดยาออกมาเม็ดหนึ่ง “นี่เป็นยาต่อชีวิต ไม่ว่าท่านจะบาดเจ็บสาหัสหรือถูกพิษร้ายเพียงใด มันจะสามารถช่วยให้ท่านฟื้นฟูหายดีดังเดิม”

ชาติก่อนนางให้เขากินยาถอนพิษแต่กลับไร้ผล จากนั้นจึงให้เขากินยาต่อชีวิตเม็ดนี้อีก
การที่นางยังจดจำเขาได้ ไม่เพียงเพราะเขาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่สุดที่นางเคยพบเจอ กลับยิ่งเป็นเพราะเขาได้กินยาต่อชีวิตเพียงเม็ดเดียวของหล่อนนี้ลงไปด้วย
“ข้ามอบมันให้ท่าน ท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่? ท่านวางใจได้ มิใช่ให้ท่านทำเรื่องเลวทรามต่ำช้ากระไร หากแต่คุ้มครองความปลอดภัยของข้า”
มู่อวิ๋นซียื่นเม็ดยาใจกลางฝ่ามือไปเบื้องหน้า สายตาจับจ้องชายหนุ่มที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องหน้านาง รออยู่หลายเพลา มิเห็นท่าทีเขาจะตอบรับนาง นางเม้มปากแผ่วเบาพลางพูดต่อ
“เพียงครึ่งปี! ครึ่งปีเท่านั้น! ร่างกายท่านเป็นเยี่ยงไร ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้า นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งหนึ่ง เหตุใดท่านมิลองดูเล่า? หรือท่านพอใจจะตายอย่างเงียบๆเยี่ยงนี้?”
ไม่รู้ว่าคำใดเสียดแทงใจเฟิ่งเชียนเย่ ทันทีที่นางกล่าวจบ สายตาเขาพลันมืดมนลงไป ประหนึ่งมีความมืดไหลเวียนอยู่ในแววตาเขา เขาทรุดนั่งลงบนพื้น ยกมือขึ้นว่า “เอามา!”
มู่อวิ๋นซีอึ้ง ก่อนพลันได้สติกลับมา รีบวิ่งเข้าไปหา วางยาเม็ดนั้นลงกลางมือเขา
เฟิ่งเชียนเย่ถือเม็ดยา เงยหน้ามองหญิงสาวเบื้องหน้า ขยับริมฝีปากว่า “หากข้ากลับคำเล่า?”
ความขมขื่นแล่นพล่านจากใจมู่อวิ๋นซีจนถึงริมฝีปาก ประหนึ่งดอกไม้เล็กสีขาวผลิบาน
หากเรื่องราวเป็นดั่งชาติก่อน เวลานี้อำนาจของมู่เซิ่งปักหลักแน่นหนาในตระกูลมู่ยิ่งนัก ด้วยกำลังของนางเพียงคนเดียว คงมิพอ กลัวแต่จะลงเอยเฉกเช่นชาติก่อน
ดังนั้นนางต้องการคนที่มีวิทยายุทธ์ และสามารถเชื่อใจได้ เพื่อป้องกันมู่เซิ่งชิงลงมือฆ่านางอีก
“เป็นเยี่ยงที่ข้าบอกท่าน ข้าเพียงแค่ให้โอกาสตัวเองเท่านั้น”
ยามนี้ทางทิศตะวันออกปรากฎสีม่วงอ่อนและสีขาวดุจท้องปลาออกมา แสงสว่างค่อยๆมากขึ้น
เฟิ่งเชียนเย่จึงได้เห็นหญิงสาวตรงหน้าชัดเต็มตา ทั่วร่างนางเต็มไปด้วยคราบโคลน ใบหน้าแน่งน้อยแม้จะซีดเผือด หากมุมปากกลับยิ้มบาง เพียงในแววตาสดใสนั่นปราศจากแววหัวเราะ กลับเย็นเยือกยิ่งนัก
เขายกมือขึ้นกลืนเม็ดยานั้นลงไป ค่อยๆหลับตาลง

มู่อวิ๋นซีมิได้เอ่ยอะไรอีก นางมองชายหนุ่มตรงหน้า เล็บมือกลับจิกลึกลงกลางฝ่ามือ
ตะวันค่อยๆขึ้นสู่งกลางหัว และเริ่มค่อนไปทางทิศตะวันตก แสงอาทิตย์ยามเย็นย้อมประตูใหญ่จวนตระกูลมู่จนอาบไปด้วยสีกุหลาบ
“นายท่าน!” คนรับใช้เฝ้าประตูชี้ไปที่มู่อวิ๋นซีพลางเอ่ยกับมู่เซิ่งว่า “นางนั่นไง บอกว่าเป็นคุณหนูสามของจวนเราขอรับ”
สายตามู่อวิ๋นซีมองตามชายวัยกลางคนท่าทางใจดีมีเมตตาตรงหน้า เขานั่นเอง ผลักนางตกหน้าผา และเหยียบย่ำนางประหนึ่งโคลนเหลว
ความแค้นพุ่งเข้าปะทะนางราวกับม้าคึกโจนทะยานบ้าคลั่ง ชนจนนางบาดเจ็บมีรอยแผลเต็มตัว
นางค่อยๆหลุบเปลือกตาลงแผ่วเบา ขนตายาวปกปิดความแค้นทั้งหมดเอาไว้ “ท่านพ่อ พวกเราเจอเรื่องยุ่งยากเล็กน้อยที่นอกเมือง พวกเขาให้ข้ากลับมาเองก่อน”
หลังจากตะลึงชั่วครู่ สีหน้ามู่เซิ่งเผยรอยยิ้มออกมา “ดี กลับมาก็ดีแล้ว พ่อกำลังเป็นกังวล เดินทางมาตั้งไกลเจ้าคงเหนื่อยแล้ว เจ้าเข้าไป…”
เขาดูลังเลเล็กน้อย “ลานชิงจื่อ คืนนี้เจ้าพักผ่อนที่ลานชิงจื่อแล้วกัน”
“นายท่าน!” คนรับใช้สงสัย “นั่นเป็นห้องของคุณหนูรองครอบครัวลูกคนโต….”
“หลายปีนี้คุณหนูสามทุกข์ยากลำบากอยู่ภายนอกหลายปี เหตุใดจะอยู่ลานชิงจื่อร่วมกับคุณหนูรองไม่ได้?” มู่เซิ่งถลึงตาใส่คนรับใช้ มองไปทางมู่อวิ๋นซี “อย่ากลัวไปเลย อวิ๋นซี พ่อจะส่งเจ้าไปเอง”
“ขอบน้ำใจท่านพ่อ!” น้ำเสียงมู่อวิ๋นซีสั่นเทาเล็กน้อย
มิได้ตื้นตันใจเยี่ยงชาติก่อน หากเป็นแค้นเข้ากระดูก

ชาติก่อนนางเชื่อใจในคำหลอกลวงของมู่เซิ่ง และยังคาดหวังถึงความรักความเมตตาจากบิดาในภายหน้า ชีวิตสงบสุข แต่กลับไม่รู้เลยว่า นับจากวินาทีที่นางก้าวเข้าประตูจวนตระกูลมู่ ก็เสมือนตกลงไปในหุบเหว
และลานชิงจื่อเป็นสถานที่ที่ฝันร้ายทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น
“คืนนี้เจ้าพักที่นี่ก่อนเถิด!”
มู่เซิ่งผลักประตูห้องออก หันไปทางมู่อวิ๋นซีด้านหลัง “มีคำพูดอะไร พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เจ้าชอบทานอะไร ข้าจะสั่งห้องครัวจัดเตรียมให้เจ้า”
“ขอบน้ำใจท่านพ่อมาก” มู่อวิ๋นซีหลุบตาลง “แล้วแต่ท่านพ่อเถิดเจ้าค่ะ”
ชาติก่อนนางคิดว่านี่คือความรักของมู่เซิ่งที่มีต่อนาง จึงมอบยาเหล่านั้นที่อาจารย์ให้นางกับมู่เซิ่งทั้งหมด หากบัดนี้ในใจนางกลับรู้สึกเย็นยะเยือก หากไม่พูดถึงอาหาร เขาหรือจะมีโอกาสวางยาพิษนาง?
“ได้ งั้นเจ้าพักผ่อนเสียเถิด”
เมื่อได้ยินประตูห้องปิดลง มู่อวิ๋นซีเหลือบตาแดงเรื่อขึ้น
พำนักที่นี่ชั่วคราว
เหอะ! ชาติก่อนนางมิได้ฉุกคิดถึงคำพูดนี้ ยามนี้ได้ฟังอีกครา มันช่างเสียดหูยิ่งนัก!
นางเพียงพำนักที่นี่เพียงคืนเดียว ไม่ มิถึงคืนด้วยกระมัง นางก็โดนหักขาส่งเข้าตะลางเสียแล้ว
มู่อวิ๋นซีหมุนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ช้าๆ เพื่อสงบความแค้นในใจ
ร่างนางแข็งทื่อ ไม่ใช่ ดั่งที่มู่เซิ่งกล่าวไว้เมื่อชาติก่อน นักฆ่าที่นางพบเจอเมื่อครู่คงจะเป็นเขาส่งไป แล้วเหตุใดคนที่มารับนางจึงช่วยนางไว้?
หวนคิดถึงสีหน้าองค์หญิงใหญ่เจอนางเมื่อชาติก่อน ความคิดอันน่าตกใจวาบเข้ากลางใจนาง หรือว่าคนที่มารับนางจะเป็นคนขององค์หญิงใหญ่? องค์หญิงใหญ่เริ่มสงสัยแล้วว่ามู่จื่อโหรวมิใช่หลานสาวนาง?
ดังนั้นมู่เซิ่งจึงมิยอมให้นางได้พบเจอกับองค์หญิงใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงวางแผนให้นางร่วมหลับนอนกับพี่ชายตนเอง เพราะอย่างใด ต่อให้องค์หญิงใหญ่จะเฉลียวฉลาดเพียงใด คงคาดคิดไม่ถึงแน่ว่าหลานสาวและหลานชายแท้ๆของตนจะลงเอยกัน?
มู่เซิ่ง จิตใจเจ้าช่างโหดร้ายนัก!
“คุณหนู!” ในเวลานี้เอง มีเสียงหญิงกลางคนดังขึ้นที่หน้าประตู “นายท่านสั่งข้านำอาหารมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

เงารัตติกาลใต้แสงจันทรา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset