“เจ้า……เจ้าพูดจาเหลวไหล!”
มู่จื่อโหรวรู้สึกสับสนงุนงงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าถุงหอมดอกเบญจมาศนี้หลิ่วเย่เป็นคนจัดเตรียม และเป็นคนขอร้องให้มู่จื่อชวนเอาไปมอบให้กับมู่อวิ๋นซี แล้วทำไมตอนนี้มู่อวิ๋นซีถึงได้บอกว่านางเป็นคนขอร้องมู่จื่อชวนให้นำไปมอบให้นางล่ะ “นี่คือถุงหอมที่ข้าขอให้มู่จื่อชวนมอบให้เจ้านะ!”
“หึ!” มู่อวิ๋นซีหัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่าทุกคนจะโง่เหมือนเจ้าอย่างนั้นรึ? ถ้าเจ้าเป็นคนให้ถุงหอม เจ้าจะพกถุงหอมที่สามารถดึงดูดผึ้งได้ถุงนี้ได้รึ? เจ้าจะสามารถทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าต่อหน้าสาธารณชนได้รึ?”
“ท่านรองมู่ผู้ฉลาดเฉียบแหลมและมีสายตายาวไกล” มู่อวิ๋นซีหันไปมองมู่เซิ่ง “ในตอนนี้ ท่านน่าจะได้เห็นว่าคำพูดของมู่จื่อโหรวมีแต่คำโกหกเต็มไปหมดแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
เห็นได้ชัดว่าเจ้านั่นแหละที่เต็มไปด้วยคำโกหก!
ความโมโหเดือดดาลที่โหมกระหน่ำอยู่ในหัวใจของมู่เซิ่งเกือบจะแผดเผาร่างกายของเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่เขาดันพูดออกมาไม่ได้ และโมโหออกมาไม่ได้ซะอย่างนั้น
เขาเกิดความลังเลใจอยู่ด้านนี้ ส่วน มู่จื่อโหรวที่อยู่ด้านนั้นกลับไม่สามารถควบคุมความโกรธของตัวเองได้แล้ว จึงกระทืบเท้าและพูดว่า “เจ้านั่นแหล่ะที่พูดแต่เรื่องโกหก ในความเห็นของข้า ก็คือเจ้า เจ้านั่นแหล่ะที่เป็นคนยุยงส่งเสริมมู่จื่อชวนให้วางยาพิษองค์หญิงใหญ่ ท่านพ่อและท่านแม่!”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกหลิ่วเย่ว่าแม่ “พวกเจ้ายังไม่รีบให้คนนำตัวพวกเขาสองคนมามัดแล้วส่งไปที่ศาลต้าหลี่อีก ถึงเวลานั้นก็โบยสักพักหนึ่งจนกว่าจะแน่ใจว่าพวกเขายอมสารภาพออกมาหมดแล้ว”
หลิ่วเย่ถูกเสียงเรียกว่าท่านแม่นี้ทำให้เคลิบเคลิ้มและใจลอย นางก็เลยมองไปทางมู่เซิ่ง แล้วพูดคล้อยตามออกไปว่า “นายท่าน ที่จื่อโหรวพูดก็มีเหตุผลนะเจ้าคะ ไม่สู้มัดพวกเขาสองคนเอาไว้ แล้วนำเรื่องนี้ไปมอบให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบจะดีกว่านะเจ้าคะ”
มู่จื่อชวนตกตะลึง “คนที่พวกท่านสงสัยคือข้า เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นซีด้วย?”
“ท่านชายเป็นคนมีจิตใจเปิดเผยตรงไปตรงมามาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะการยั่วยุส่งเสริมของนาง ท่านจะ…”
“ฮูหยินเล็กหลิ่ว!” มู่อวิ๋นซีพูดสกัดคำพูดของหลิ่วเย่ พอเหลือบไปมององค์หญิงใหญ่ที่อยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นและพูดว่า
“ท่านช่างวางแผนร้ายเก่งจริงๆ ท่านย่าของข้าเพิ่งจะประสบกับเคราะห์ร้าย ฉันก็รีบส่งหลานชายและหลานสาวของนางเข้าตะลาง หลังจากนั้นก็จะซื้อตัวหัวหน้าผู้คุมห้องขังอีก ไม่แน่ว่าอาจจะรอไม่ถึงตอนที่ใต้เท้าแห่งศาลต้าหลี่ทำการสอบสวน ข้ากับพี่ชายก็คงได้ตายโหงไปแล้ว”
“จุ๊ๆ” มู่อวิ๋นซีจุ๊ปาก “ถึงเวลานั้น ไม่เพียงแต่ดวงหน้าดอกท้อเท่านั้น แต่ทุกอย่างที่อยู่ในตระกูลมู่เกรงว่าคงจะตกเป็นของท่านหมดแล้วใช่ไหม? ช่างคำนวณได้ดีจริงๆเลยอ่ะ!”
นางมองไปทางมู่เซิ่งอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ท่านรองมู่เจ้าคะ ฮูหยินเล็กหลิ่วมีความคิดเช่นนี้ ท่านรู้หรือไม่เจ้าคะ!”
สีหน้าของหลิ่วเย่ขาวซีด และเกือบจะเป็นลมล้มลงไป
หัวใจของมู่เซิ่งเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ หนังตาก็ยังเต้นตุบๆตาม สิ่งที่มู่อวิ๋นซีพูด เป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ และเป็นสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในเวลานี้
“หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว!”
ทันทีที่เอ่ยปากพูดออกไป ตัวมู่เซิ่งเองก็ได้ยินถึงความร้อนตัวที่อยู่ในคำพูดของตัวเอง เขาจึงรีบกวาดตามองดูองค์หญิงใหญ่ที่ไม่หายใจแล้วอย่างรวดเร็ว และแอบโล่งใจอยู่อย่างเงียบๆ แล้วปรับอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นก็พูดด้วยคำพูดที่ชอบธรรมอีกครั้งว่า
“เมื่อสักครู่นี้ข้าก็พูดไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะเรียกองค์หญิงใหญ่ว่าพี่สะใภ้ อันที่จริงกลับถือว่านางเป็นแม่มาโดยตลอด ข้าจะมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร?” เมื่อกลัวว่าทุกคนจะไม่เชื่อ เขาจึงพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “หากเป็นไปได้ ข้าก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตของตัวเองไปแลกกับพระองค์”
ทันใดนั้นเขาก็มองไปทางหลิ่วเย่ แล้วพูดเหมือนกับเอาน้ำเย็นหนึ่งถังมาสาดใส่นางว่า “หากเจ้ามีความคิดเช่นนี้อยู่จริงๆ ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้านะ!”
หลิ่วเย่ฟื้นสติขึ้นมาในชั่วพริบตา จึงรีบทำความเคารพให้มู่เซิ่งกับมู่อวิ๋นซี แล้วพูดว่า “นายท่านโปรดยับยั้งความโกรธ คุณหนูอวิ๋นซีโปรดยับยั้งความโกรธ ข้าก็แค่ถูกเสียงเรียกว่าแม่ของจื่อโหรวทำให้เคลิบเคลิ้มไปแล้วเท่านั้น นานมากแล้วที่นางไม่ยอมเรียกข้าว่าแม่เลย”
“แค่ก!” ในเวลานั้นเองเสียงไอเบาๆก็ดังขึ้น
ทุกคนตื่นตกใจ จึงมองไปตามเสียงนั้น แต่กลับเป็นองค์หญิงใหญ่ที่สิ้นลมหายใจไปนานแล้วซึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ด้านบนได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว
“ผีหลอก!” มู่จื่อโหรวกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ท่านย่า!” มู่จื่อชวนกับมู่อวิ๋นซีรีบก้าวไปข้างหน้า
“บาท พระองค์ไม่เป็นอะไรแล้วหรือเพคะ?” ฮูหยินฉินตื่นตระหนกตกใจระคนด้วยความดีใจ
หัวใจของมู่เซิ่งสั่นสะท้านอย่างแรง ไม่ทันได้คิดอะไรมาก เขาก็เหลือบมองหลิ่วเย่ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว แล้วรีบก้าวไปข้างหน้า และร้องไห้สะอึกสะอื้น “พี่สะใภ้ ท่านทำให้ข้าตกใจกลัวแทบตายจริงๆ”
เขาหันไปมองหมอหลวงจ้าวที่กำลังตกใจอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “ท่านหมอหลวง ท่านรีบมาดูสิ!”
หมอหลวงจ้าวรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจชีพจรขององค์หญิงใหญ่ด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์
“ก็บอกแล้วว่าข้าไม่เป็นไร” องค์หญิงใหญ่ชักข้อมือกลับ และเหลือบมองหมอหลวงจ้าวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“พะย่ะค่ะ” หัวใจของหมอหลวงจ้าวสั่นสะท้าน และรีบมองไปที่ทุกคน “องค์หญิงทรงไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ”
“แต่เมื่อกี้องค์หญิงโดนยาพิษเข้าไปชัดๆ……” ฮูหยินลู่ไม่เข้าใจ
องค์หญิงใหญ่อดหัวเราะไม่ได้ “ถ้าข้าโดนยาพิษ ข้าจะพูดคุยกับพวกเจ้าดีๆแบบนี้ได้อย่างไร?”
นางยกมือขึ้นเช็ดเลือดสีดำที่มุมปาก และหัวเราะออกมา “ไม่แปลกใจเลยที่ทำให้พวกเจ้าตกใจกลัวกัน สองวันก่อนข้าขอยาล้างพิษจากหมอหลวงจ้าวมาแล้วหนึ่งขวด แต่พอกลับมากลับลืมกินเสียแล้ว วันนี้ตอนเช้านึกขึ้นได้ ก็เลยกินเข้าไปเยอะมากโดยไม่ได้ตั้งใจ และชานี้ก็คือชาดอกเบญจมาศอีกแล้ว หรือจะเป็นเพราะต้องใช้เวลาอีกสักครู่มันถึงจะเข้ามารวมกัน”
“พะย่ะค่ะ!” หมอหลวงจ้าวตบหน้าผากหนึ่งครั้ง “ท่านดูความจำนี้ของข้าสิ ทำไมข้าถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปได้นะ และทำไมข้ายังพูดว่าตรวจสอบไม่ได้ว่านี่คือพิษอะไรอีก”
“แต่บนถ้วยหยกขาว……” ฮูหยินลู่มองไปยังถ้วยหยกขาวด้วยความสงสัย
“มันเป็นความผิดของข้าน้อย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าน้อยเองเจ้าค่ะ!” แม่นมโจวที่อยู่ข้างๆทำสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมา “ถ้วยนี้วันนี้ข้าน้อยเป็นคนสัมผัสเองเจ้าค่ะ เฮ้อ!”
นางถอนหายใจและไม่อธิบายอะไรอีก นางเพียงแต่เอาชามลายครามสีขาวที่มีน้ำอยู่ครึ่งชามมา จากนั้นก็เอาถ้วยหยกขาวมาแช่ลงในน้ำ แล้วใช้มือจับข้างถ้วยและแกว่งไปมาเบาๆ หลังจากนั้นก็ตักน้ำที่อยู่ในชามลายครามสีขาวขึ้นมาตรงหน้าจมูกแล้วสูดดมไปมา แล้วจึงยื่นให้ฮูหยินฉิน “ฮูหยินฉินลองดมดูสิเจ้าคะว่านี่คือกลิ่นอะไร?”
“ไข่ไก่รึ?” ฮูหยินฉินสงสัย
แม่นมโจวเอาชามเล็กๆเข้าไปใกล้จมูกของฮูหยินลู่อีกครั้ง
“ไข่แดง”
“เป็นไข่แดงเจ้าค่ะ” แม่นมโจวขยิบตาให้สาวน้อยที่อยู่ข้างๆ หลังจากนั้นก็ขอเข็มเงินกับหมอหลวงจ้าวมาหนึ่งเล่ม แล้วแทงเข้าไปในไข่แดงที่สาวน้อยนำมา ชั่วพริบตาเดียวเข็มเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำในทันที
“ไข่ไก่มีพิษ!” ฮูหยินลู่ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
แม่นมโจวยิ้ม แล้วกินไข่แดงไปหนึ่งคำ หลังจากนั้นจึงพูดกับทุกคนว่า “ไข่แดงไม่มีพิษ ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน รู้แต่เพียงว่าเข็มเงินนี้จะเปลี่ยนสีเมื่อเผชิญกับไข่แดงเจ้าค่ะ”
“วันนี้ข้าน้อยกำลังทำไข่แดงอยู่ ฮูหยินเล็กหลิ่วก็เข้ามาถามว่าพิธียกน้ำชาจะใช้แก้วไหน ข้าน้อยก็เลยหยิบถ้วยหยกขาวให้ตามสะดวก หรือไข่แดงได้เปื้อนอยู่บนถ้วยหยกขาวในขณะนั้นนั่นเอง เมื่อสักครู่นี้ข้าน้อยคิดว่าองค์หญิงโดนวางยาพิษ จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ไปชั่วขณะเจ้าค่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ทุกคนนึกขึ้นได้ในทันที
“ไม่ถูกต้องนะ” ฮูหยินลู่มองไปที่มู่อวิ๋นซีอีกครั้งในทันที “ข้าจำได้ว่าเมื่อสักครู่นี้หมอหลวงจ้าวเคยใช้เข็มเงินตรวจดูแล้ว ว่าบนมือของคุณหนูอวิ๋นซีก็มีพิษ หรือว่าเมื่อเช้านี้คุณหนูอวิ๋นซีก็ทำไข่แดงด้วย?”
“เปล่าเจ้าค่ะ” มู่อวิ๋นซีก็มีสีหน้าระแวงสงสัย และแล้วดวงตาของนางก็สว่างสดใสขึ้นมาในทันที “หรือว่าจะเป็นเพราะดอกเหมยก้านนั้น? นั่นคือดอกเหมยที่ข้าเตรียมเอาไว้เมื่อวาน เพราะข้ากลัวว่ากลีบดอกไม้จะเหี่ยวเฉา ดังนั้นก็เลยเอาไปแช่ในน้ำยาไว้ตลอด”
ในเวลานั้นมีสาวใช้ถือดอกเหมยก้านนั้นเข้ามา หมอหลวงจ้าวจึงเอาเข็มเงินไปแตะกับกิ่งดอกเหมยเข้า เข็มเงินก็เลยเปลี่ยนสี
“เรื่องนี้ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้!” องค์หญิงใหญ่หัวเราะฮ่าๆขึ้นมาแล้วพูดว่า “ทำให้ทุกท่านต้องเป็นกังวลไปด้วยแล้ว”
แผ่นหลังของมู่เซิ่งมีเหงื่อไหลออกมา แต่เขากลับพูดคล้อยตามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ช่างเป็นเรื่องบังเอิญมากจริงๆ ทำให้ข้าเกือบจะทำผิดต่ออวิ๋นซีกับจื่อชวนเสียแล้ว!”
องค์หญิงใหญ่ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ แล้วหันไปมองกล่องผ้าดิ้นสีแดงที่แม่นมโจวนำมาแล้วพูดกับฮูหยินทั้งหลายต่อไปว่า “สิ่งนี้คือแป้งท้อธวัลพรรณของแดงดุจท้อ พวกเจ้านำกลับไปลองใช้ดูนะ วันนี้ทำให้ทุกท่านขบขันกันเสียแล้ว”