บทที่ 324 : วิธีการของคุณไม่ถูกต้อง
เฟจยืนตัวแข็งทื่อคาที่ สัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พัดผ่านทั่วกาย ความหนาวเยือกในอากาศนั้นเหมือนน้ำเย็นเฉียบที่สาดใส่เขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วซึมเข้าสู่ไขกระดูกและหัวใจของเขาจนหนาวสั่นระทึก
“ต่อให้คุณจ้องเขานานแค่ไหน เขาก็จะไม่เหลียวกลับมามองคุณหรอกครับ”
คำพูดนี้ก้องในหูของเขาอยู่นาน ฟังได้ศัพท์ชัดเจนว่าชายหนุ่มกำลังประชดอย่างจนใจ
ถ้าเป็นสถานการณ์อื่น คำพูดนี้คงฟังแล้วน่าสบถด่า
เพราะเขาปล่อยไก่ในสายตาของเหล่าคนใหญ่คนโตที่มากันอย่างคับคั่ง และด้วยสภาพคนจนอย่างเขาท่ามกลางเหล่าคนรวยแต่งตัวหรูหรา คำพูดนี้จึงคลับคล้ายการยั่วยุกัน
มันดูเหมือนคำเย้ยหยันผู้เฝ้าประตูที่สนใจแต่แขกที่แต่งตัวหรูหรา แต่ไม่ชายตามองแขกที่แต่งตัวธรรมดา
เนื่องจากหลินเจี๋ยกับเฟจต่างมีภาพลักษณ์จนตรอก การจะเข้าใจแบบนี้จึงสมเหตุสมผล
แต่ตอนนี้ สถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
บัตรเชิญที่เห็นกันชัด ๆ ว่าไม่เหมือนใครของหลินเจี๋ยกลับได้รับการยืนยันจากผู้เฝ้าประตูอย่างไม่คาดฝัน และผู้เฝ้าประตูก็ดูจะให้ความเคารพหลินเจี๋ยมากกว่าแขกคนอื่น ๆ ด้วย คนอื่นอาจจะมองไม่เห็นชัดเจน แต่เฟจที่อยู่ใกล้ ๆ สัมผัสได้ว่าผู้เฝ้าประตูก้มตัวลงต่ำกว่าครั้งไหน ๆ เหมือนเชื้อเชิญเขาเข้าไปในคฤหาสน์อย่างสุภาพกว่าคนอื่น
นี่คือการให้เกียรติกันอย่างยิ่ง มากกว่าแขกคนใด ๆ ที่สวมเสื้อผ้าหรูหราเสียอีก ดังนั้นคำพูดนี้จึงไม่ใช่การประชดประชันจิตใจมนุษย์ที่ตัดสินคนแค่เพียงภายนอก
ยิ่งไปกว่านั้น…ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เฟจพยายามใช้ความสามารถของตัวเองเมื่อครู่ แต่วินาทีต่อมาก็พบว่ามันไร้ผล แถมบุคคลที่ควรจะต้มตุ๋นเขากลับมามองเขาด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ แล้วยังบอกให้เลิกมองอีก
หรือนี่จะเป็นการสื่อว่า ‘อย่าเปลืองกำลังเลย ต่อให้มองอีกนานแค่ไหน ความสามารถของคุณก็ไร้ผล’?
ดังนั้น จึงมีเพียงความเป็นไปได้เดียว
ความหมายของคำพูดนี้และรอยยิ้มประชดประชันคือการหัวเราะเยาะความโง่เขลาหลงตัวเองของเขา
เอื๊อก!!
เฟจได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายอย่างกระวนกระวาย และเมื่อเขามองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใกล้เขา หัวใจของเขาก็แทบกระเด้งออกมานอกร่าง
เขา…ถึงคราวซวยจริง ๆ แล้วหรือเปล่า?
หลินเจี๋ยถอนหายใจ รู้สึกเหมือนตนกับชายตรงหน้าจะเป็นโรคทรัพย์จางพอ ๆ กันเลย…
การเข้าร่วมงานเลี้ยงระดับไฮเอนด์แบบนี้ต้องใช้ความกล้าอย่างมาก
ถ้าไม่กล้าพอ จะมากินฟรีอยู่ฟรีได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าผู้เฝ้าประตูจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่หลินเจี๋ยก็ยังเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงในพริบตาของเขาได้อยู่
ในตอนที่เฟจยื่นบัตรเชิญ มุมปากของผู้เฝ้าประตูกระตุกลงวูบหนึ่งราวกับเกือบชักสีหน้าบูดบึ้ง และดวงตาก็ยังมองกางเกงที่หลวมโพรกของเฟจอย่างเหยียด ๆ ด้วย
นี่แสดงให้เห็นลาง ๆ ว่าผู้เฝ้าประตูที่เหมือนเที่ยงธรรมคนนี้ ลึก ๆ ในใจแล้วก็ยังดูถูกคนจนอยู่ดี
ในกรณีของหลินเจี๋ยยิ่งชัดเจนไปใหญ่ ก่อนที่เขาจะส่งบัตรเชิญให้ ทัศนคติของผู้เฝ้าประตูต่อเขาดีกว่าที่เขาแสดงออกต่อเฟจเพียงเล็กน้อย และมันคงต่างจากแขกจากตระกูลร่ำรวยไปไกลลิบ
หลังจากหลินเจี๋ยส่งบัตรเชิญให้ตรวจ คนเฝ้าประตูก็พยักหน้าแล้วโค้งคำนับ
ความเปลี่ยนแปลงทั้งก่อนและหลังนี้แสดงถึงความ ‘ขี้เต๊ะ’ อย่างจริงจัง
ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงให้ความเห็นนี้ออกมา
เจ้าพวกนี้มีตาไว้มองแต่เงิน จะเหลียวมามองคนจน ๆ อย่างพวกเขาทำไม?
ใช่แล้ว ในสายตาของหลินเจี๋ย สายตา ‘ลังเลไม่อยากจาก’ ของเฟจที่มองไปทางผู้เฝ้าประตูคือสายตาของคนจนที่อยากได้อาชีพดี ๆ กับเขาบ้าง
อย่างไรก็ตาม หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าการสื่อความรู้สึกของเขาดูไม่เหมาะสมไปสักหน่อย มันตรงเกินไปและอาจทำให้นักไวโอลินตรงหน้าเขาอับอายได้ เขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงให้ไพเราะขึ้นแล้วยักไหล่ “ที่ผมบอกว่าเขาจะไม่มองคุณ นั่นหมายความว่าผมเองก็ไม่มีทางถูกมองเช่นกันครับ เพราะถึงอย่างไรในสายตาเขา เรากับเขาเป็นคนคนละระดับกัน ถึงตัวเขาเองจะทำหน้าที่แค่เฝ้าประตู แต่ก็เป็นไปได้สูงว่าสิ่งที่คุณคิดจะเป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้คุณ… เข้าใจใช่ไหมครับ?”
หลินเจี๋ยจงใจลดเสียงลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้คนเฝ้าประตูหรือคนอื่น ๆ มาได้ยินเข้า
ส่วนสิ่งที่เฟจคิดในใจ ก็คงเหมือนการแสดงออกของเขาเมื่อก่อนหน้านี้…
เขามีความมั่นใจในชื่อของตัวเองมากและรอคอยเวลาที่ชื่อของเขาจะถูกขานจากบัตรเชิญโดยผู้เฝ้าประตู แล้วท่าทีของเขาจะได้พลิกกลับ หนึ่งร้อยแปดสิบองศา ยอมรับให้เขาปรากฏตัวสู่สายตาผู้อื่นได้
ทว่าน่าสงสารที่อีกฝ่ายมองแต่เงิน
จากนั้น หลินเจี๋ยก็พยายามตบบ่าอีกฝ่ายเพื่อปลอบใจ ทว่าเมื่อเฟจเห็นเขายกมือขึ้น เขาก็กระโดดถอยหลังอย่างแตกตื่นไปครึ่งก้าวเหมือนลิงที่ถูกเหยียบหาง ก่อนจะเดินกลับขึ้นมาอีกครั้งแล้วพยักหน้า พูดเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ “ผมรู้ ผมเข้าใจแล้ว ผมไม่คิดหรอกครับ! ไม่ทำแล้วครับ!”
ถ้าก่อนหน้านี้เป็นการคาดเดา ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ก็เป็นการบอกเขาชัด ๆ แล้วว่า ‘คุณและผู้เฝ้าประตูเป็น ‘คนละระดับ’ กัน ดังนั้นความสามารถของคุณใช้ไม่ได้ อย่าหลงระเริงไปหน่อยเลย’
ราวกับสวรรค์แกล้ง เขาได้พบผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งกว่าเขาทันทีตั้งแต่เริ่ม!
ยิ่งกว่านั้น เขายังพยายามทำให้อีกฝ่ายอับอายต่อหน้าสาธารณชนอีก…
เฟจคิดถึงตรงนี้แล้วรู้สึกใจสั่น
???
หลินเจี๋ยเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เขาลูบคางแล้วคิดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขามองเฟจที่ดูทีท่าจะตอบสนองเกินไปอย่างครุ่นคิด “คุณเข้าใจจริง ๆ ใช่ไหมครับ?”
เฟจตัวแข็งทื่อ เหงื่อกาฬแตกซิก “เข้าใจแล้ว เข้าใจจริง ๆ ครับ ผมไม่ควรคิดเลย…”
หลินเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจพูดว่า “คุณไม่เข้าใจความหมายของผมจริง ๆ ด้วย”
เฟจตัวสั่นเทา เขาสาบานว่าตั้งแต่เกิดมา เขาก็ไม่เคยเห็นบุคคลที่เปลี่ยนอารมณ์ไปมามากขนาดนี้มาก่อน “แล้วคุณ…หมายความว่าอย่างไรครับ?”
หลินเจี๋ยพูดอย่างจริงใจ “ผมหมายความว่า ที่จริงแล้วแนวคิดของคุณดีมากครับ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นค่าของมัน โดยเฉพาะตระกูลคนรวยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน การจะทำให้บุคคลชั้นสูงกว่าที่คุณเคยพบหันมามองคุณมากขึ้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
เขาชะงักไปแล้วยื่นนิ้วออกมาส่ายไปมาในอากาศ “ยิ่งกว่านั้น วิธีการของคุณไม่ถูกต้องด้วยครับ”
เฟจวิงเวียนเล็กน้อยแล้วพูดแห้ง ๆ “ถ้าเช่นนั้นผมควรทำอย่างไร?”
หลินเจี๋ยกะพริบตา แย้มยิ้มอย่างกรุณาอันเป็นยิ้มธุรกิจแล้วหยิบหนังสือออกมาจากที่ไหนไม่รู้ ก่อนจะกล่าวว่า “ผมมีหนังสือเล่มนึงที่นี่…”
—
ศาสนาแห่งตะวัน!
โบสถ์ที่เคยเป็นของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดถูกซ่อมแซมบูรณะโดยศาสนาเกิดใหม่และเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปจนเกินจะจำได้แล้ว แต่นอกจากสัญลักษณ์ของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะเปลี่ยนไปเป็นรูปพระอาทิตย์ แต่โครงสร้างของตัวโบสถ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
จากมุมมองของปฐมสังฆราชวินเซนต์ ศาสนาแห่งตะวันนี้ค่อนข้างใหม่ใหม่และเพิ่งเริ่มก่อตั้ง ยังมีเรื่องอีกเป็นร้อย ๆ เรื่องที่ต้องทำ ดังนั้นจึงไม่ควรนำทรัพยากรเงินทุนมาเสียไปกับที่นี่ แต่ควรให้ความสำคัญกับศาสนิกชนให้มากขึ้น
วิธีการดังกล่าวย่อมได้รับคำสรรเสริญ
ในตอนนี้ วินเซนต์ที่สวมชุดคลุมยาวอันประณีตบรรจงสีทองนั่งอยู่บนบัลลังก์สังฆราช ดวงตาของเขาไม่ได้ถูกแถบผ้าคาดปิดไว้อีกต่อไป แต่มันปิดลงแล้ว ‘มอง’ ลงมายังสาวกที่เบื้องล่าง
อัครสาวกคนหนึ่งกำลังรายงาน “หอพิธีกรรมต้องห้ามกับนิกายกลืนศพเปิดศึกกันอย่างเป็นทางการแล้วครับ คนที่เราส่งไปเข้าร่วมสงครามฝั่งหอพิธีกรรมต้องห้ามในตอนนี้ประจำการอยู่ในสนามรบหลักที่ซอยหกสิบเจ็ดถึงซอยเจ็ดสิบเอ็ด และใช้เหตุไฟไหม้เป็นข้ออ้างในการอพยพคนแล้วครับ”
วินเซนต์เคาะที่วางแขนของบัลลังก์แล้วกล่าวว่า “สมาคมแห่งสัจธรรมล่ะ?”
“สมาคมแห่งสัจธรรมขอรับรองความปลอดภัยฝั่งเจ้าของร้านหลินก่อน และปฏิเสธที่จะช่วยเหลือครับ”
วินเซนต์หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วลืมตาที่ดูราวกับลาวา “สิ่งที่ดวงอาทิตย์ต้องการคือ ‘ความเป็นธรรม’ และนิกายกลืนศพที่ชั่วร้ายต้องถูกเผาทิ้งให้ราบ นี่คือความยุติธรรม…”
“ดังนั้น การที่สมาคมแห่งสัจธรรมสนับสนุนนิกายกลืนศพทางอ้อมจึงเป็นการขัดขวางความยุติธรรม พวกเขาควรถูกกวาดล้าง”
—