บทที่ 345 : วันนี้ ผมฆ่าคนไปหนึ่งคนแล้ว
“…ดูเหมือนเราจะไม่ได้เจอซิลเวอร์มาสักพักแล้วนะเนี่ย”
หลินเจี๋ยยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไอริสที่คุ้นเคย มองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านบดบังท้องฟ้า จากนั้นก็พึมพำพลางลูบไปบนแหวนที่นิ้วมือของตนเบา ๆ
ความจริงแล้ว…ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากคุยกับเพศตรงข้ามหน้าตาดีในฝันทุกวี่ทุกวันหรอก แต่เป็นเพราะว่าช่วงนี้มีเรื่องที่ต้องทำมากกว่าเก่าแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ต้องวางแผนธุรกิจร้านหนังสือ
แม้ว่านี่จะเป็นการจับเสือมือเปล่า แต่มูเอนก็ต้องเรียนรู้ทุกอย่างอีกครั้ง การเรียนความรู้และทักษะทั่วไปนั้นทำได้เร็ว แต่หัวข้อซับซ้อนอย่าง ‘การบริหารร้านหนังสือ’ นี้จำเป็นต้องสอนมูเอนถึงความรู้ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ก่อน และต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมากกว่า
มูเอนในตอนนี้คุ้นชินกับการเชื่อฟังคำสั่งแล้วนำไปปฏิบัติตามอย่างพิถีพิถัน ถ้าเธอได้รับคำสั่งให้ทำบางอย่างด้วยตนเอง เธอจะทำอะไรไม่ถูกไปครึ่งค่อนวัน…ดังนั้น หลินเจี๋ยจึงเน้นจัดเตรียมการให้เธอก่อน
ในเมื่อเรื่องช่วงกลางวันมีมากมาย ตกดึกเขาจึงอยากนอนแบบคนทั่วไป
แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลหลักจริง ๆ หรอก
เหตุผลจริง ๆ ก็คือช่วงนี้ ซิลเวอร์มักจะไม่ค่อยอยู่บ้านต่างหาก…
ใช่แล้ว หลังจากที่หลินเจี๋ยเข้ามาในแดนนิมิต บางครั้งเขาก็หาซิลเวอร์ไม่เจอ ทำได้แค่เหม่อมองดอกไอริสและหิมะที่โปรยปรายจากฟ้าสุดลูกหูลูกขา และเธอมักจะหายไปครั้งละหลายวันเสียด้วย…
หลังจากหายไปบ่อยเข้า หลินเจี๋ยจึงมีความกระตือรือร้นที่จะสนทนากับเธอทุกคืนน้อยลง
เห็นได้ชัดว่านี่คือแดนนิมิตของซิลเวอร์ แต่ชายหนุ่มก็มักจะหาเธอไม่เจอบ่อย ๆ ซึ่งนั่นทำให้หลินเจี๋ยมักจะงุนงง
แต่เมื่อเขาต้องการจะถามซิลเวอร์ในตอนที่เธอปรากฏขึ้นอีกครั้ง เธอก็มักจะยิ้มอย่างแสนกล แตะนิ้วที่ริมฝีปากแล้วใช้คำพูดประมาณว่า ‘ความลับ’ กับ ‘เจ้าจะรู้เองเมื่อถึงกาล’ หรือ ‘เป็นเซอร์ไพร์สจ้ะ ขืนบอกก่อนก็ไม่ใช่เซอร์ไพร์สสิ’ เพื่อเลี่ยงคำตอบ
ถามเท่าไรก็หลบเลี่ยง ไม่เคยได้คำตอบจริง ๆ สักที
หลินเจี๋ยหน้ามุ่ย เขาเบื่อจะเล่นเกมทายใจระยะยาวแล้ว
แม้ว่าชายหนุ่มจะรู้ว่ามันเป็นปริศนาท้าให้สืบ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สืบสาวอยู่ดี
เพราะถึงอย่างไร ถ้ามีผู้ชายโง่ ๆ [บี๊บ…] มาเล่นเซอร์ไพร์ส การกระทำอาจจะน่าขยะแขยงและให้ผลลัพธ์น่ากลัว ต้องหยุดมันไว้ทันที แต่ถ้าคนเล่นเซอร์ไพร์สเป็นสาวน่ารัก เรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ ต้องบอกว่าเย้ายวน…แค่ก ๆ เป็นเรื่องสนุกสิ สนุกจะตาย!
สรุปแล้ว…เหตุผลทั้งสองนี้นี่แหละที่ทำให้หลินเจี๋ยไม่ค่อยได้พบซิลเวอร์แล้วในช่วงนี้
หลินเจี๋ยค่อย ๆ เดินไปที่โคนต้นไม้ใหญ่
มันยังคงว่างเปล่าตามที่คิด…
มีเพียงม้านั่งที่เขาเคยสร้างขึ้นในครั้งก่อนที่อยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ หลังจากตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ผู้นั่งมาสักระยะ บนม้านั่งก็เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้
หลินเจี๋ยยื่นมือออกไปปัดกลีบดอกไม้และหิมะบาง ๆ บนม้านั่งออกไป จากนั้นก็นั่งลงหยิบสมุดบันทึกจากโลกและข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเขตล่างที่แอนดรูว์จัดหามาให้ออกมา
ในช่วงนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกับซิลเวอร์ แต่เขาก็ยังมาที่แดนนิมิตนี้อยู่บ่อย ๆ เพื่อมองทัศนียภาพและทำธุระของเขาเอง
ต้องขอบคุณแอนดรูว์ที่ทำให้หลินเจี๋ยเข้าใจสถานการณ์พื้นฐานของนอร์ซินเขตล่างแล้ว
และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสมุดบันทึกเล่มนี้ ข้อสงสัยต่าง ๆ ของหลินเจี๋ยยังได้รับการแก้ปมไปทีละข้อ
ดูเหมือนแอนดรูว์คงชอบชานมไข่มุกของคาเฟ่หนังสือจริงจัง เขามาซื้อใหม่อีกหลายรอบเลย ครั้งหน้าแถมฟรีให้เขาไปสักสองสามแก้วดีกว่า…
หลินเจี๋ยคิดพลางจัดระเบียบข้อมูลเป็นครั้งสุดท้าย
จุดสำคัญที่สุดของสมุดบันทึกคือตัวละครและภาพวาดสถาปัตยกรรมที่เจ้าของสมุดเล่มนี้วาดไว้ รวมไปถึงคำบรรยายเกี่ยวกับ ‘ประตู’ ที่ถูกขุดพบใต้ดินด้วย
หลังจากหลินเจี๋ยเปรียบเทียบอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็แน่ใจว่าภาพวาดเหล่านั้นสอดคล้องกับรูปแบบสิ่งปลูกสร้างบางหลังที่ขุดพบจากในซากปรักหักพังของนอร์ซินเขตล่าง
และคำที่ถูกคัดลอกมาอย่างยึกยือนั่นก็คือภาษาที่ใช้กันในหมู่เอลฟ์ของอาณาจักรอัลฟอร์ดในยุคที่สอง แต่ไม่ใช่ภาษาเอลฟ์โบราณที่หลินเจี๋ยสืบทอดมาจากแคนเดลา นี่คือภาษาที่วิวัฒนาการต่อมา และถูกใช้โดยผู้รอดชีวิตหลังจากอาณาจักรอัลฟอร์ดล่มสลาย
ตามข้อมูลที่แอนดรูว์ให้ไว้ จะพูดว่าเป็นตำนานคงเหมาะสมกว่า วงศ์วานของผู้ที่เสียชีวิตในยุคมืดนี้ หลังจากสูญเสียราชาเอลฟ์แคนเดลาไป พวกเขาก็ระส่ำระสายแตกออกเป็นหลายฝ่าย
กลุ่มใหญ่ที่สุดของพวกเขาปักหลักอยู่ในเมืองเก่าเสมอ แต่เมื่อถูก ‘ความมืด’ เข้าโจมตี พวกเขาก็ต้องหดอาณาเขตของพวกตนอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายก็ตายตกในเงื้อมมือศัตรู
และทั้งเมืองก็กลายเป็นซากและรังของความมืดไป
สิ่งที่เขียนในสมุดบันทึกเล่มนี้คือจารึกเกี่ยวกับ ‘คำพูดปลุกใจ’ ที่ตระกูลผู้เสียชีวิตเขียนไว้ด้วยภาษาใหม่
จึงสรุปได้ว่า โบราณสถานที่คณะโบราณคดีนำโดยศาสตราจารย์หลินไปพบเข้าคือนครหลวงที่ล่มสลายของอาณาจักรอัลฟอร์ด
สัตว์ประหลาดไม่ทราบตัวตนที่ทำร้ายพวกเขาจนเสียสตินี้ก็น่าจะเป็น ‘ความมืด’ ที่พวกเอลฟ์พูดถึง
ประตูที่พวกเขาไปเจอเข้าก็น่าจะเป็นทางเข้านครหลวงนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเชื่อมต่อระหว่างโลกกับอาซีร์ได้…
มันต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่แน่ ๆ… โครงการทางโบราณคดีครั้งนี้มีอยู่เพียงไม่กี่เดือน และเวลาที่พวกเขาอยู่ในซากปรักหักพังก็น่าจะตรงกัน มันไม่น่าจะมีการบิดเบือนของมิติและเวลาเกิดขึ้นได้เลยหรือเปล่า?
หลินเจี๋ยลูบคางแล้วครุ่นคิดด้วยความสงสัยเล็กน้อย
ถ้าตอนนี้เขายังอยู่ที่โลก การตรวจสอบคงจะง่าย แต่ตอนนี้เขาอยู่อีกฟากของประตูแล้ว การหาประตูในตอนนี้จึงกลายเป็นเรื่องยาก
แต่โชคดีที่ยังมีทางเชื่อมต่อระหว่างเขตบนและเขตล่างอยู่ สมาคมแห่งสัจธรรมก็พูดได้ว่าเป็นองค์กรที่เข้าใจพื้นที่เขตล่างมากที่สุดในนอร์ซิน และในเมื่อตอนนี้หลินเจี๋ยรู้จักกับแอนดรูว์ การไปยังเขตล่างจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แต่การจะหาโบราณสถานให้เจอก็ยังต้องพึ่งพาตัวเองอยู่ดี
แอนดรูว์ให้แผนที่อย่างละเอียดของนอร์ซินเขตล่างกับเขามาด้วย
แต่ว่าแผนที่นั้นก็ยังจำกัดอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ในเมืองเขตล่าง ซากปรักหักพังเหล่านั้นยังไม่ถูกค้นพบแน่ชัด ดังนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่จึงสงวนไว้ให้เพียงนักสำรวจและเหล่านักวิชาการที่ได้รับอนุญาตจากสมาคมแห่งสัจธรรมเท่านั้น
แต่สมุดบันทึกเล่มนี้กลับมาถึงมือเขาได้
เอาล่ะ เมื่อถึงเวลาที่มูเอนจะสามารถรับช่วงต่อร้านหนังสือได้อย่างสมบูรณ์เมื่อไร เราก็จะโล่งใจพอจะไปหาเบาะแสที่เกี่ยวกับสมุดบันทึกเล่มนี้ที่เขตล่างได้อย่างสบายใจเสียที…
หลินเจี๋ยเก็บของ ยืดเส้นยืดสายแล้วถอนหายใจอย่างลึกล้ำ
เขาเอนหลังมองโลกสีขาวอันงดงามและกว้างใหญ่แห่งนี้
จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยู่ในแดนนิมิตโดยที่ไม่มีซิลเวอร์อยู่ด้วยเป็นเวลานาน
หลินเจี๋ยอดคิดไม่ได้ว่า ก่อนที่เขาจะมาถึงที่นี่ ซิลเวอร์ก็คงนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ทั้งวันทั้งคืนไม่รู้กี่ปี ได้แค่มองทิวทัศน์ที่ไม่เปลี่ยนผันตลอดกาลนี้ แล้วสุดท้ายก็หลับตาลงหลับลึก ไม่ก็ลุกขึ้นเดินไปมาท่ามกลางสวนดอกไม้ที่ว่างเปล่านี้อย่างไร้จุดหมาย…
มันช่างเหงาหงอยมากจริง ๆ
สำหรับเธอ เมื่อมีเพื่อนสักคน โลกทั้งใบก็เหมือนเปลี่ยนสี
หลินเจี๋ยยกมุมปากขึ้นยิ้ม ปรับท่าทาง แล้วหลับตาลงบนม้านั่ง
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะผล็อยหลับไปนั้นเอง ที่หว่างคิ้วของเขาก็พลันมีสัมผัสเย็น ๆ
หิมะ?
หลินเจี๋ยลืมตาขึ้นอย่างเคลือบแคลง แล้วเขาก็พบว่ามีนิ้วเล็กเรียวที่เย็นเฉียบปิดตาของเขาอยู่ และมีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างหลังอย่างปรีดา “ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”
หลินเจี๋ยแย้มยิ้ม แล้วพลันพูดด้วยเสียงต่ำ “วันนี้ ผมฆ่าคนไปหนึ่งคนแล้ว”
—