บทที่ 346 : ไร้ซึ่งความต้องการทางโลก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของมือทั้งสองนี้เป็นใคร
ในแดนนิมิตแห่งนี้ ถ้าจะมีใครนอกจากหลินเจี๋ยที่สามารถเข้ามาเดินเล่นไปทั่วโดยไม่ทำตัวเหลอหลาได้ ก็ย่อมจะมีแต่เจ้าของแดนนิมิตแห่งนี้ ซิลเวอร์
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเจี๋ยก็ยังคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี
หลินเจี๋ยเผยรอยยิ้ม แต่แทนที่จะแกะมือที่ปิดตาตัวเองอยู่ เขากลับฉวยโอกาสหลับตาลงแล้วเอนไปด้านหลัง
ด้านหลังศีรษะของเขาสัมผัสช่วงท้องที่นุ่มนวลและเย็นเล็กน้อยอย่างไม่เกินความคาดหมาย หูของเขาได้ยินเสียงผ้าเสียดสีกัน เพื่อนที่คุ้นตากำลังโอบแขนทั้งสองดึงเขาเข้ามาพิงเธอจากข้างหลัง และเธอกำลังปรับมุมให้เขาเล็กน้อยเนื่องจากปัญหาด้านความสูง ทำให้เขาพิงสบายขึ้น
ถ้าพูดโดยอิงตามความเหมาะสม การสัมผัสใกล้ชิดแบบนี้เกินขอบเขตคำว่า ‘เพื่อน’ ไปแล้ว
แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะที่นี่คือแดนนิมิต มารยาททางโลกจึงไม่มีอยู่ ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องคิดหยุมหยิมว่าจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร ความสนิทสนมและการกระทำใกล้ชิดนี้เป็นเพียงเจตนาบริสุทธิ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและเห็นได้บ่อยครั้ง
เช่นกัน เมื่อหลินเจี๋ยใช้เวลาที่นี่ เขาก็มักจะรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ซึ่งความต้องการทางโลก
ไร้ข้อจำกัด และย่อมพูดสิ่งที่คิดได้อย่างอิสระ
เมื่อเทียบกับหลินเจี๋ยและเกร็กแล้ว เห็นได้ชัดว่าซิลเวอร์เหมาะสมกับสมญาโพรงต้นไม้มากกว่า
เพราะถึงอย่างไร แดนนิมิตก็เป็นเพียงแดนนิมิต มันจะไม่ส่งผลต่อความเป็นจริง…หรอกมั้ง?
ซิลเวอร์ยิ้ม เธอไม่แปลกใจเลยที่จู่ ๆ เขาก็พูดอะไรน่ากลัวออกมาแบบนั้น แล้วกระซิบข้างหูเขา “แค่คนเดียวเองหรือ?”
เธอวางคางลงบนบ่าของหลินเจี๋ย ในขณะที่เขาพูดเสียงเบาว่า “ตระกูลเฟร็ด…นอกจากฟิทซ์ เฟร็ดที่อายุแค่ขวบเดียวไม่รู้ตาสีตาสากับคนใช้ที่จงใจออกมาแจ้งข่าว นอกจากคนรับใช้และยามที่เหลือรอดแล้ว กระทั่งเด็กชายห้าขวบที่เห็นเหตุการณ์ยังไม่รอดเลย”
“…ถ้าให้ผมนับ…ทั้งหมดก็สามร้อยเจ็ดสิบหกคนครับ”
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ฟังเสียงที่อ่อนโยนเหมือนทุกทีของซิลเวอร์ “ในความเห็นเจ้า เจ้าฆ่าไปเพียงผู้เดียวหรือ?”
หลินเจี๋ยถูกปิดตาอยู่ เขาไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่เขาก็พูดเรื่อย ๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ผมฆ่าไปแค่จอห์น เฟร็ดครับ”
“ที่จริงแล้ว มันไม่นับว่าผมฆ่าหรอก” เขายักไหล่แล้วพูดเบา ๆ “ในเมื่อเขาอยากให้มีการจัดประเภทผู้คน ผมเลยบอกวิธีที่ง่ายที่สุดให้เขารู้เท่านั้นเอง”
“ผมต้องยอมรับนะว่ามุมมองของเขามีความจริงแฝงอยู่ ระหว่างมนุษย์กับปศุสัตว์ มีช่องว่างที่ข้ามผ่านไม่ได้อยู่จริง ๆ”
“อย่างเช่นสัตว์ป่าที่ฆ่าสัตว์อื่นจะไม่ลังเลที่จะคำรามประกาศศักดา มอบความตายที่ป่าเถื่อนและทารุณที่สุดให้เหยื่อของมัน แต่การฆ่ากันของมนุษย์กลับสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีการหลั่งเลือด…”
ซิลเวอร์เอียงคอ “ดังนั้น คนอีกสามร้อยเจ็ดสิบห้าคนนั่น ถูกสังหารแล้ววางหัวใจไว้เซ่นเจ้าบนแท่นบูชาหรือ”
หลินเจี๋ยขบขันกับคำพูดนี้ “ผมไม่ใช่เทพเจ้าที่จะรับเครื่องเซ่นแล้วตอบสนองต่อคำอธิษฐานของใครหรอกครับ…ผมก็แค่อยากเห็นเจ้าหมอนั่นหน้าเสียในตอนนั้นเลยก็เท่านั้นแหละ”
“ทุกสิ่งที่เขาภาคภูมิต่างเกิดมาจากเรื่องผิดบาปนับไม่ถ้วน ผมอยากบอกให้เขารู้ว่าความเย่อหยิ่งที่เกิดเหนือกองซากศพของผู้อื่นเป็นแค่การหลอกตัวเองที่ปวกเปียกเหมือนใบไม้ จริง ๆ แล้วเขาก็แค่ไอ้สารเลวคนหนึ่ง”
เขาพูดเสียงต่ำ “เขามีอำนาจแข็งแกร่งครับ ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลหรือกำลังพล…ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะไม่ลังเลและไม่เสียใจเลย แต่การตายของจอห์นก็เป็นการปลุกสติของผมด้วย”
“ส่วนคนอื่น ๆ นั่น…”
หลินเจี๋ยยักไหล่ “ผมไม่ได้ฆ่าพวกเขา”
ซิลเวอร์หรี่ตาลง สีหน้าของเธอแปลก ๆ “มิใช่เจ้า…”
เธอพลันชะงักไป แล้วกล่าวอย่างจนปัญญา “อืม มิใช่เจ้า ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินเจี๋ยไม่เห็นการเปลี่ยนสีหน้าของซิลเวอร์ แต่เขาเข้าใจได้ว่าเพื่อนในฝันคนนี้น่าจะรู้แล้วว่าเขาไม่อยากเปิดเผยการมีอยู่ของเจ้าดำ ดังนั้น เธอจึงเปลี่ยนคำพูดทันที
ยังคงเป็นซิลเวอร์ที่อ่อนโยนคนเดิม…การพูดคุยกับเธอเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ความกังวลเดียวที่เหลืออยู่ในใจหลินเจี๋ยหายไป ชายหนุ่มเคยกังวลอยู่ว่า หากจู่ ๆ เขาพูดเรื่องนี้ออกมา ความชอบของซิลเวอร์ต่อเขาอาจจะลดลงก็ได้
แต่ตราบใดที่หลินเจี๋ยได้อธิบาย เธอก็จะเข้าใจเขา
เมื่อหลินเจี๋ยคิดถึงตรงนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วสัมผัสมือของซิลเวอร์ที่ปิดตาเขาอยู่ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเจตนาของเขาทันทีและคลายนิ้วของเธอออก แต่เธอก็ไม่ได้ปลดมือของเธอออกไป
ดังนั้น มือของหลินเจี๋ยจึงทาบทับลงไปบนมือของซิลเวอร์ มุมปากของเขายกเป็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้น กระแอมกลบเกลื่อนสองครั้งแล้วกล่าวว่า “บอกผมที ‘ความลับ’ และ ‘เซอร์ไพร์ส’ ที่คุณพูดก่อนหน้านี้ เมื่อไรคุณถึงจะบอกผมล่ะ”
ซิลเวอร์เอียงคอและเหมือนจะใช้แก้มถูใบหน้าของหลินเจี๋ยเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “เรื่องนั้น…เร็ว ๆ นี้แหละ ข้าเตรียมการเกือบพร้อมแล้ว”
คำพูดของซิลเวอร์ฟังดูมีความสุข เธอยิ้มน้อย ๆ “ข้าบอกเจ้าล่วงหน้าได้นิดหน่อย ข้ามีของขวัญจะให้เจ้า ข้าเตรียมมันมานานมากแล้ว หวังว่าเจ้าจะชอบมัน”
หลินเจี๋ยตอบทันที “ผมจะชอบมันแน่ ๆ”
แม้ว่าเขายังไม่ได้เห็นของขวัญแม้แต่เงา แต่มันก็ไม่ได้หยุดเขาไม่ให้เอ่ยชมก่อนตามมารยาท
ซิลเวอร์หัวเราะคิก ไม่แสดงท่าทีทั้งตอบรับหรือปฏิเสธ ทว่าพูดต่อ “ข้าสอนวิชาดาบและเวทมนตร์เจ้าไปแล้ว และตามข้อตกลง ข้าจะบอกความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านยุคที่สองและสามให้เจ้าฟัง”
“ที่จริงแล้ว เจ้าก็น่าจะสืบได้แล้วล่ะ สิ่งที่แคนเดลากับเมืองอัลฟอร์ดต้องเผชิญมิใช่โรคระบาด แต่เป็นบางสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในความมืด พลังอันแข็งกล้าของมันทำให้ผู้ใดที่พบเจอต้องทรมาน…ทว่าบาปของอัลฟอร์ดก็มิได้มีเพียงเท่านี้ พวกเขายังมีความขลาดกลัวและความโลภ”
“พวกเขาพยายามครอบครองพลังนั้น และจึงเริ่มการทดลอง”
หลินเจี๋ยตะลึง “ทดลองเหรอครับ?”
ไม่มีเนื้อหานี้ถูกระบุไว้ที่ไหนเลย และความทรงจำของแคนเดลาก็ขาด ๆ หาย ๆ เหมือนกับจงใจหลีกเลี่ยงสิ่งเดียวกันอยู่
ซิลเวอร์กล่าวว่า “ใช่ การทดลอง พวกเขาต้องการตัวอย่างจำนวนมากเพื่อหาวิธีการควบคุมพลังนั้น ทว่าจะนำนักรบที่โดดเด่นมาใช้เป็นวัตถุใช้แล้วทิ้งได้อย่างไร? ดังนั้น…”
หลินเจี๋ยหรี่ตาลง “ดังนั้น ผู้อ่อนแอจึงกลายเป็นเครื่องสังเวย”
เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ ทุกที่ต่างคล้ายคลึงกันอย่างน่าตกใจ…
มันต่างอะไรกับตระกูลเฟร็ดที่เขาค้นยึดทรัพย์สินไปวันนี้ล่ะ?
ซิลเวอร์พูดอย่างนุ่มนวล “แต่สุดท้าย อำนาจจากความมืดนี้ก็เสียการควบคุม เอลฟ์ในอัลฟอร์ดมากมายถูกกัดกิน และสุดท้ายราชาองค์สุดท้ายของอาณาจักรก็พยายามสังหารเทพเพื่อจบการกัดกินนี้ แต่ก็ล้มเหลว เขาทำได้เพียงยกดาบขึ้นชี้ไปยังข้าราชบริพารที่เขาปกป้อง”
หลินเจี๋ยพลันพบจุดบอด “ถ้าอย่างนั้นที่จริงแล้ว แคนเดลาก็ไม่ได้เสียสติใช่ไหมครับ?”
ซิลเวอร์พูดยิ้ม ๆ “ใครจะรู้ล่ะ…”
—