บทที่ 347 : การกล่าวลาของซิลเวอร์
“อีกอย่าง… ไม่ว่าเขาจะเสียสติหรือไม่ ยามนี้ก็มิมีผู้ใดสามารถพิสูจน์ให้เขาได้แล้ว คนบางคนมิอยากเชื่อหรอกว่าประวัติศาสตร์ที่เรียนมาตลอดเป็นเพียงเถ้าถ่าน ไร้โอกาสล้างมลทินโดยสิ้นเชิง”
หลินเจี๋ยประสานมือทั้งสองตามความเคยชินแล้วทอดถอนใจ “อาณาจักรและคนในอดีตล้มตายไปหมดแล้ว ขนาดจิตวิญญาณของแคนเดลาเองก็สิ้นสลายไปตลอดกาล เหลือแค่ความทรงจำที่แหว่งวิ่น”
“ในเหตุการณ์สังหารหมู่ใด ๆ ราชาผู้กวาดล้างประเทศของตัวเอง ไม่ว่ามองมุมไหนก็บอกได้แค่เสียสติ”
ในตอนแรกที่พบกัน แคนเดลาไม่แม้แต่จะทักท้วง เขายอมรับทันทีว่าตนเองเสียสติไปแล้ว และเป็น ‘ต้นเหตุมหาโรคระบาด’ ที่ว่า
บางทีอาจจะเป็นเพราะถ้าบอกความจริงออกไป อาณาจักรเอลฟ์โบราณที่เป็นสัญลักษณ์ของความงดงามและความสุขในตำนานต่าง ๆ จะสิ้นชื่อในทันที แล้วกลายเป็นตัวแทนสิ่งชั่วร้าย ขี้ขลาด และละโมภไปแทน
แคนเดลาไม่อยากให้บ้านเมืองของตัวเองกลายเป็นแบบนี้ต่อสายตาคนรุ่นหลังอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่ข้อมูลใด ๆ ที่เชื่อมโยงไปยังความเป็นไปได้ดังกล่าวไม่ได้ถูกบันทึกในประมวลข้อมูลของสมาคมแห่งสัจธรรมเลย จึงเป็นไปได้สูงมากว่า…ตระกูลผู้รอดชีวิตที่รู้ความจริงในยุคสมัยนั้นไม่ได้ออกมาปกป้องแคนเดลาเลยสักนิด
บาปเป็นของประชาชน แต่สุดท้ายราชาของพวกเขาต้องแบกรับไว้ทั้งหมด
หลินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาชี้ทางสว่างแก่แคนเดลาที่เอาแต่โทษตัวเอง
เขาถือตนมองเทพเจ้าตรง ๆ จนเสียสติ ผู้ที่เข่นฆ่าประชาชนของเขาก็คือเขา ผู้ที่ทำลายอัลฟอร์ดก็คือเขา ดังนั้น เขาจึงแสวงหาการไถ่บาปอย่างจริงจัง ไม่ได้รู้สึกว่าตนจะสามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ก็เต็มใจรับการทรมานที่ไม่จบสิ้น
แต่ถ้าเขาไม่เคยเสียสติ เขาจะยึดติดและทรมานตัวเองมาเนิ่นนานทำไม?
บางที… มันอาจจะเป็นความรู้สึกผิดลึก ๆ ในใจเขาเอง
ในฐานะราชาของอาณาจักรแห่งนี้ เขาไม่สามารถปกป้องดินแดนและผู้คนของเขาได้ เขาจึงถูกประชาชนปรามาสว่าไร้ความสามารถ และถึงกับคิดว่าต้นเหตุของทุกอย่างเป็นเพราะตัวเขาเอง
บางที อาจเป็นเพราะวิญญาณของแคนเดลาถูกกักขังอยู่ในดาบมาเป็นหมื่นปี ความทรงจำของเขาก็พร่ามัวไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกผิดที่ไม่จบสิ้น และโลกภายนอกก็ยังกล่าวขานถึงเขาในฐานะคนบาป
และสุดท้าย กระทั่งตัวเขาเองยังเชื่อในคำกล่าวนั้น
น่าเศร้าจริง ๆ
ซิลเวอร์พูดเบา ๆ “แคนเดลา ‘ผู้ถูกเนรเทศ’ เขาถูกความหมกมุ่นของตัวเองกักขังไว้ในดาบ ผู้ที่เนรเทศเขา ที่จริงแล้วก็คือตัวเขาเอง”
หลินเจี๋ยเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์มาจากแดนนิมิตของเขาเงียบ ๆ วางมันไว้บนตัก แล้วใช้นิ้วลูบไล้ไปบนใบดาบคมกริบพลางพูดว่า “แต่เขาเป็นราชาที่ดีนะครับ”
ดาบศักดิ์สิทธิ์เงียบไป คำปรามาสที่สั่งสมมาหลายหมื่นปีได้สลายไปพร้อม ๆ กับวิญญาณของแคนเดลาแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงอาวุธอันเย็นเยียบ แน่ล่ะว่ามันไม่สามารถตอบสนองใด ๆ ได้แล้ว
แต่ความทรงจำที่แคนเดลามอบให้หลินเจี๋ยในตอนนี้กลับกำลังเดือดปุด ๆ แล้ว ครึ่งหลังของความทรงจำที่ถูกซ่อนไว้ในม่านหมอกสีดำสนิทก็พลันกระจ่างชัดขึ้นมาทันที
—
“ฝ่าบาท ข้าขออภัย มันมิบังควรสำหรับ…เรา แต่มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น! หาไม่ เราก็มิมีทางต่อกรกับความมืดนั่นได้เลย! เรามิมีหนทาง…”
“สามานย์! กล้าดีอย่างไร…”
“หรือท่านอยากจะเห็นอัลฟอร์ดถูกทำลาย? ท่านยังมิได้ลอง…เทพที่อาศัยอยู่ในความมืดอันลึกล้ำนั่น ตามหลักแล้วก็เป็นตัวตนที่ไร้คู่ต่อกร มิใช่ว่าท่าน…ก็แพ้เช่นกันหรือ? อืม…พูดว่าไม่แม้แต่จะได้เห็นตัวเลยมากกว่า”
“…”
“ใช่แล้ว สิ่งที่เราทำอยู่ในยามนี้เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยอัลฟอร์ดได้!”
“ฝ่าบาท ท่านต้องเรียนรู้ที่จะเลือกนะ เพื่อที่จะมีชีวิตรอด การเสียสละบางส่วนเป็นสิ่งจำเป็น พวกข้าตระหนักอย่างสุดซึ้งถึงความเมตตาของท่าน ทว่า…ท่านก็เห็นแล้ว พวกเขาเต็มใจมาเป็นตัวอย่างทดลองเพื่ออัลฟอร์ด ท่านถามพวกเขาได้ พวกเขาก็อยากจะมอบพลังของตนเองให้กับอาณาจักรเช่นกัน”
“หรือท่านจะอยากทำให้พวกเขาผิดหวังกันหรือ?”
“พอแล้ว…อย่าพูดถึงคราวที่ข้าเจาะทะลุความมืดลงไปอีกเลย”
…
“ฝ่าบาท ท่านกลับมาแล้ว…”
“เจ้าหลอกข้าทำไมกัน?”
“ขออภัย แค่ก ๆ…ฝ่าบาท ท่านทำสำเร็จหรือไม่?”
“…”
“มิเป็นไรหรอก ท่านมิจำเป็นต้องโทษตนเอง ท่าน…เป็นราชาที่ดี ท่านเป็นราชาที่ดีมากจริง ๆ แต่เราเป็นข้าราชบริพารแย่ ขอประทานอภัยอย่างยิ่งที่ทำให้ท่านต้องเห็นด้านที่น่าอายเยี่ยงนี้”
“แต่ท่านช่างเมตตานัก ท่านต้องทำตามคำขอสุดท้ายของเราเป็นแน่”
“…โปรดประหารเราเถิด”
…
“ข้าคือแคนเดลา ราชาองค์สุดท้ายแห่งอัลฟอร์ด ข้ายินดีจ่ายทุกสิ่งเพื่อขอความคุ้มครองจากแม่มดบรรพกาล”
“โปรดอำนวยพรผู้คนที่กระจัดกระจายของข้าด้วย… ขอให้พวกเขาได้รอดชีวิตต่อไป”
“ย่อมได้”
—
หลินเจี๋ยหลับตาลง ลวดลายสีขาวบนข้อมือของเขาแสบร้อนแผดเผา ทำให้เขาอดใช้อีกมือเอื้อมไปจับผิวหนังของตนไม่ได้
ลวดลายนี้คือมงกุฎกษัตริย์ที่แคนเดลามอบให้เขาในแดนนิมิต สัญลักษณ์ของราชาแห่งเอลฟ์
ความทรงจำที่ค่อย ๆ ชัดเจนปะติดปะต่อกันเป็นประวัติศาสตร์ในยุคนั้น
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง…”
หลินเจี๋ยคิดในใจ พวกข้าราชบริพารของแคนเดลานี่น่าดุอยู่อย่างนึง พวกเขาหมดความหวังแล้วจริง ๆ และไม่ใช่เพียงผู้บริสุทธิ์เท่านั้นที่ต้องรับกรรม แต่ตัวพวกเขาก็ด้วย
จากความทรงจำของแคนเดลา เมื่อเขากลับมายังนครหลวงของเขา กลับพบสัตว์ประหลาดยักษ์ที่ไม่สามารถอธิบายด้วยภาษาใดได้เอ่ยขอให้กษัตริย์ของตนสังหารตนเสียด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ
ถ้าจะเรียกสิ่งนี้ว่าเสียสติ ที่จริงก็นับว่าถูกแล้ว
แต่แคนเดลาผู้เหวี่ยงดาบสังหารพวกเขากลับเป็นคนเดียวที่มีสติตั้งแต่ต้นจนจบ มันน่าจะทรมานไม่น้อย
ลวดลายที่ข้อมือของหลินเจี๋ยค่อย ๆ จางหายไป และสุดท้าย อารมณ์ที่สะท้านสะเทือนจากการฆ่าตัวตายของแคนเดลาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นความเคลือบแคลง
ความคุ้มครองจากแม่มดบรรพกาล?
แต่แม่มดที่ปรากฏตัวในความทรงจำของแคนเดลาไม่ใช่แม่มดในความหมายปกติ…แต่เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดสี่ตนที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดยักษ์ตนนั้นอีก
เสียงที่ดังออกมาเป็นเสียงผู้หญิงปกติ แม้ว่าจะมีเสียงก้องเล็กน้อยก็ตาม…
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เสียงนั่นดูคุ้นหูชอบกล?
ความคิดของหลินเจี๋ยแล่นเร็วจี๋ เขาระบุต้นเสียงไม่ได้ไปพักหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรคนเสียงคล้าย ๆ กันก็มีเยอะแยะ บางทีอาจจะจำผิดคนก็เป็นได้
อืม…สรุปว่าสิ่งที่แคนเดลาต้องจ่ายสั้น ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องที่คนของเขาจะไม่ได้รับรู้ความจริง และทำให้เอลฟ์กลายเป็นผู้ติดตามของแม่มดอย่างเต็มตัว
นี่คือแผนของเขาอยู่แล้ว ดังนั้น เขาจึงตกลงทันที…
ทว่าสุดท้ายแล้ว ตัวเขาก็ต้องมาทนทุกข์ทรมานเป็นหมื่น ๆ ปี ไม่รู้ว่าถ้าเขารู้อยู่ก่อนแล้ว จะยังคงลังเลอยู่หรือเปล่า?
ซิลเวอร์พลันพูดขึ้นอย่างแสนกล “ตราของแคนเดลาหรือ? นี่คือสัญลักษณ์ของราชาเอลฟ์ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมอบให้เจ้าด้วยความเต็มใจ นี่เท่ากับว่าเป็นการมอบบัลลังก์ให้เจ้าเลยนะนี่ หากเจ้าสามารถตามหาผู้สูญหายของอาณาจักรอัลฟอร์ดได้ บางทีพวกเขาอาจจะเต็มใจสวามิภักดิ์ เถลิงเจ้าเป็นราชาก็ได้นะ…”
หลินเจี๋ยมุมปากกระตุก “ลืมไปเถอะครับ ผมเป็นเจ้าของร้านหนังสือ ผมบริหารหนังสือได้ แต่บริหารคน? ผมไม่อยากเป็นเพื่อนร่วมชะตาของแคนเดลานะครับ”
ซิลเวอร์ตอบอย่างนุ่มนวล “ข้ารู้ว่าเจ้าขี้เกียจ”
เธอหยุดไปแล้วพูดต่อเบา ๆ “ข้าจะหายตัวไปสักพักนะ แดนนิมิตแห่งนี้ เจ้าใช้แดนนิมิตของเจ้าผนวกมันได้เลย มิต้องใช้ตาข่ายดักฝันเป็นตัวกลางแล้วล่ะ”
หลินเจี๋ยพูดอย่างอึ้ง ๆ “คุณจะไปไหนเหรอ?”
ซิลเวอร์ตอบว่า “ความลับ…”
หลินเจี๋ยเงียบไป
ซิลเวอร์กล่าวยิ้ม ๆ “แต่ข้าสัญญานะ ว่าเราจะกลับมาพบกันใหม่ในไม่ช้า”
หลินเจี๋ยยังมีสิ่งที่อยากพูด แต่เขากลับพบสัมผัสที่นุ่มนวลและเย็นเยียบที่หน้าผาก แล้วคำพูดของเขาก็หายไปทันที
—
หลินเจี๋ยลืมตาขึ้น ตื่นจากความฝัน
ตาข่ายดักฝันที่แขวนอยู่เหนือหัวเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็วภายใต้แสงอรุณวันใหม่ มันปลิวละลิ่วไม่เหลือร่องรอย ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือเลย
เขาครุ่นคิดเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วพลันตะลึงไป
เสียงนั่น ไม่ใช่ว่ามันคล้ายกับซิลเวอร์สุด ๆ ไปเลยเหรอ?!
—