บทที่ 368 : พ่อและลูกสาว
ซอย 67
นับจากเขตกลางไปยังซอย 67 ระยะทางที่ห่างไกลจนแทบจะครึ่งเมืองนอร์ซินดูเล็กไปถนัดตาเมื่อมองลงมาจากมุมสูง เมฆหมุนควงเหนือทุกสิ่งราวกับเป็นเงา และในบรรยากาศอันน่าง่วงนอนในค่ำคืนอันยาวนาน พายุหิมะที่กำลังก่อตัวอยู่นาน จนในที่สุดมันก็โหมกระหน่ำออกมารุนแรงอย่างไม่มีสิ่งใดยับยั้งได้
“พลเรือนทุกท่านโปรดทราบ กรุณาอย่าออกมานอกที่พักอาศัยในช่วงพายุหิมะ อย่าออกมานอกที่พักอาศัยในช่วงพายุหิมะ…”
“กรมอุตุนิยมวิทยาออกคำเตือนพายุหิมะในระดับสีแดง เป็นพายุหิมะครั้งใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์นอร์ซิน และเป็นครั้งแรกที่เขตกลางออกประกาศห้ามพลเรือนออกจากที่พักอาศัย…”
เสียงเตือนในโทรทัศน์และวิทยุดังขึ้นทุกหนแห่งในนอร์ซิน
แต่ต่างจากพายุฝนเมื่อสองสามเดือนก่อน ผู้คนในเขตกลางไม่ได้ถูกอพยพอีกต่อไปแล้ว แต่ถูกบังคับให้ต้องอยู่กับที่…
ศึกระหว่างมหาอำนาจขั้นเหนือนภาสองคน ไม่มีมนุษย์เล็กจ้อยคนใดสามารถหยุดพวกเขาได้ หากพวกเขาหลุดการควบคุมไปจริง ๆ ทุกหนแห่งที่อีเธอร์ไปถึงก็อาจถูกทำลายราบ และสิ่งที่เขตกลางทำได้ก็มีเพียงหนึ่ง…
“เกรงว่าฉันคงต้องปลุกสิ่งที่อยู่ในเขตกลางขึ้นมาซะแล้ว”
วินสตันกำหมัดมวลพลังงานอีเธอร์ที่ดูราวกับหลอดไฟสองหลอดปะทะกันจากไกล ๆ คลื่นแสงที่รุนแรงพอที่จะทำให้เขาตาบอดได้วาบขึ้นจากทั้งสองวูบหนึ่ง
หลังจากคลื่นแสงผ่านไป คลื่นอีเธอร์ก็ม้วนตัวเข้ามากระทบทุกอย่างราวกับจะพลิกแผ่นดินอีกครั้ง
ภายใต้ศึกระหว่างขุมอำนาจระดับเหนือนภาทั้งสองคนนี้ เมืองนอร์ซิน เมืองเหล็กมนุษย์สร้างที่เคยค้ำจุนชีวิตนับไม่ถ้วนก็ดูราวเป็นแก้วที่แตกร้าว
ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราสัมผัสในตอนนี้คือขีดจำกัดสูงสุดของมนุษย์…
แล้วในตอนนี้ โจเซฟกับไวลด์เป็นมนุษย์จริง ๆ เหรอ?
วินสตันมองสายฝนเลือดเนื้อที่กระหน่ำโปรยลงมาท่ามกลางสายฝนและหิมะ หัวใจของเขาคลุมเครืออย่างยิ่ง
กลัว ทึ่ง กังวล…!
เนื่องจากมีการวางเครื่องจำลองนิมิตไว้นานแล้ว การต่อสู้ทั้งหมดจึงอยู่ในสถานะกึ่งหลับกึ่งตื่น และจะไม่มีผลกระทบใด ๆ กับโลกแห่งความจริงในช่วงเวลานี้ ดังนั้นพายุเลือดที่สร้างจากกระดูก น้ำตา และเลือดเนื้อของเหล่าอัศวินจากหอพิธีกรรมต้องห้ามและสาวกนิกายกลืนศพจึงยังไม่ปรากฏสู่สายตาของความจริง
ทว่าเนื้อที่ถูกปั่นก็กลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวยที่ดีที่สุด ทำให้ไวลด์ที่อยู่ใจกลางสามารถขยายอำนาจชั่วร้ายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
วินสตันมองอัศวินถือดาบยาวพุ่งเข้าใส่สาวกที่บ้าคลั่งของนิกายกลืนศพ และต่างสังเวยตัวเองในเครื่องบดเนื้อคนแล้วคนเล่า
หัวใจของวินสตันจริงจังจนกระทั่งสั่นไหวเป็นครั้งคราว เขาไม่กล้ามองต่อแล้ว แต่ก็ยังต้องสั่งให้จู่โจมครั้งแล้วครั้งเล่า
เขานึกถึงคำพูดที่เคยบอกเกร็กไว้ได้ และตอนนี้เขาก็กำลังบอกตัวเองซ้ำ ๆ
ทุกอย่างก็เพื่อหอพิธีกรรมต้องห้าม
เขากำมืออย่างทำอะไรไม่ถูก กัดฟันกรอด
เขามองอุปกรณ์สื่อสาร ปลายสายคือเกร็กและเจ้าของร้านหนังสือ
เกร็กวางสายไปเมื่อครู่ราวกับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นไม่นานมานี้ และสายก็เงียบไปแล้ว
การต่อสู้แบบนี้ไม่พอกระทั่งจะให้เจ้าของร้านหลินหันมามองเขาเลยเหรอ?
หรือเขาพอใจกับผลลัพธ์แล้ว?
เจ้าของร้านหนังสือไม่…ไม่น่าเป็นแบบนี้
ในภวังค์ เขาดูเหมือนจะเคยเห็นโจเซฟ เพื่อนเก่าของเขาเทิดทูนและพึ่งพาเจ้าของร้านหนังสือก่อนหน้านี้…
โจเซฟภักดีต่อเจ้าของร้านหนังสือมาก แต่ตอนนี้อีกฝ่ายทำเพียงแค่มองจากข้างสนาม
ไม่…!
วินสตันส่ายหน้า ที่จริงแล้วโจเซฟยังคงภักดีต่อหอพิธีกรรมต้องห้าม และการติดต่อเจ้าของร้านหนังสือก็เป็นคำสั่งของหอพิธีกรรมต้องห้าม
หอพิธีกรรมต้องห้ามกำลังพยายามประจบเจ้าของร้านหนังสืออยู่ ดังนั้นถ้าเจ้าของร้านหนังสือต้องการให้โจเซฟตายจริง ๆ หอพิธีกรรมต้องห้ามที่เขาภักดีมาหลายต่อหลายปีจะยอมทิ้งโจเซฟจริง ๆ เหรอ?
วินสตันไม่ได้คิดเรื่องนี้ เขารู้สึกหนาววาบเล็กน้อย ดึงความคิดกลับมาแล้วเห็นภาพของเด็กสาวคนหนึ่งจากหางตา…
เมลิสซ่า…เด็กสาวที่โตมากับกุญแจสีทองในหอพิธีกรรมต้องห้ามกำลังเหม่อมองสนามรบอยู่ไม่ห่างไปนัก
พ่อของเธออยู่ที่ใจกลางพายุ
สนามอีเธอร์ที่วุ่นวายนี้เป็นราวกับเครื่องบดเนื้อ ไม่ว่าใครที่เหยียบย่างเข้าไปต่างถูกบดเละในพริบตา ปลิวขึ้นฟ้า แล้วร่วงลงเป็นพายุเลือดเนื้อเละ ๆ
วินสตันพูดปลอบใจ “เมลิสซ่า ไม่ต้องห่วงนะ สถานการณ์ในตอนนี้กำลังดีขึ้นแล้ว…”
เขาไม่ได้โกหก แม้ตัวเองจะไม่เห็นสถานการณ์ที่กลางสนามรบ แต่เพลิงพิสุทธิ์ที่พยายามหยุดการรุกรานของเส้นหนวดสีดำได้เริ่มการโจมตีตอบโต้แล้ว และสถานการณ์เดิมที่เคยเป็นการโจมตีข้างเดียวก็ถูกกลับตาลปัตรแล้ว
ทุกอย่างดูจะดีขึ้น
“ไม่ ไม่…” เด็กสาวสติหลุดมาตั้งแต่แรก สีหน้าของเธอสลับไปมาระหว่างความสับสนและตื่นตระหนก ในตอนนี้เธอพลันลืมตาขึ้นแล้วส่ายหน้า ขยำหน้าอกของเธอแน่น จากนั้นก็หันหัวแล้ววิ่งไปที่ใจกลางสนามรบ
“เมลิสซ่า!” หัวหน้าหน่วยรบรีบร้อนวิ่งไปคว้าเธอไว้ “คุณจะทำอะไรกันแน่? ไปตอนนี้จะทำให้พ่อของคุณไขว้เขวนะ!”
เมลิสซ่าดิ้นรนแล้วตะโกน “ฉันจะไปช่วยพ่อของฉัน!”
น้ำเสียงของวินสตันเข้มงวด แม้ว่าเขาจะสนิทกับโจเซฟและใจดีกับลูกสาวเพื่อนสนิทคนนี้ของเขาเสมอ แต่ครั้งนี้สีหน้าของเขามืดทะมึนอย่างมาก “คุณกำลังจะตาย! คิดถึงฐานะของคุณดี ๆ นะ คิดถึงวิเวียนที่สละตัวเองเพื่อช่วยคุณก่อนหน้านี้ พ่อของคุณกำลังต่อสู้เพื่อปกป้องคุณ…แล้วคุณจะทำอะไรในตอนนี้?!”
“ฉันรู้! ฉันรู้!” เมลิสซ่าตะโกน ท่ามกลางเสียงอึกทึกในสนามรบ เธอจำต้องเพิ่มเสียงเพื่อพูดให้ชัดเจน
มีเสียงสะอื้นเจืออยู่ในเสียงของอัศวินหญิงที่แข็งแกร่งมาตลอด
“ฉันรู้ค่ะว่ามีคนที่เสียสละเพื่อฉัน ฉันก็รู้ด้วยว่าไม่ควรไปฆ่าคนอื่นอีก และเรื่องที่ฉันเป็นลูกสาวของอัศวินแห่งแสง ฉันควรดูแลสถานการณ์ทั้งหมด แต่ฉันก็เป็นลูกสาวของโจเซฟ ฉันสัมผัสได้…”
“ฉันสัมผัสได้ว่าพ่อของฉันกำลังจะตาย…”
ในที่สุดเมลิสซ่าก็ห้ามน้ำตาของเธอไม่ไหว แล้วร้องไห้ออกมา
ตาย? หรือว่า…!
วินสตันหันขวับไปมองกลางสนามรบ
การรับรู้ของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่มีทางผิดพลาด อย่าว่าแต่การเลื่อนระดับสู่เหนือนภาของโจเซฟในครั้งนี้จะยกระดับหอพิธีกรรมต้องห้ามอย่างมาก แต่มันก็เป็นไปได้ที่เมลิสซ่าผู้มีสายเลือดเดียวกันจะมีความรู้สึกในใจแบบนี้ได้ในครั้งนี้
หรือว่า…
ในสนามรบที่เต็มไปด้วยอีเธอร์มากมาย ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั่วไปจะไม่สามารถเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน แต่วินสตันยังรับรู้ได้ว่าผลร้ายที่เขากำลังคาดไว้กำลังปรากฏออกมาอย่างเงียบ ๆ
แกร๊ก!
มนตราที่เครื่องจำลองอีเธอร์ตั้งเอาไว้พลันระเบิดออก แล้วเส้นที่เหมือนกับรอยร้าวก็ขยายวงไปอย่างรวดเร็ว แล้วทะเลอีเธอร์ก็ฉีกกระชากช่องว่างระหว่างโลกนิมิตและความเป็นจริง
วินสตันตกใจ มือคลายออกครู่หนึ่ง แล้วเมลิสซ่าก็พุ่งไปยังสนามรบโดยไม่สนสิ่งกีดขวางใด ๆ
“เมลิสซ่า!”
เด็กสาวไม่กลัวว่าจะเป็นหรือตาย เธอมีเพียงความคิดง่าย ๆ เพียงอย่างเดียว
ฉันจะช่วยพ่อของฉัน!
ทว่าในขณะที่เมลิสซ่ากำลังพุ่งไปข้างหน้านั้นเอง เธอก็เห็นเหล่าอัศวินกับสาวกนิกายกลืนศพต่างถอยกลับราวกับเห็นบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัว สีหน้าของพวกเขาต่างแฝงความหวาดกลัว
สาวกนิกายกลืนศพที่เคยก้าวร้าวไร้เหตุผลสุด ๆ เมินเมลิสซ่าไปโดยสิ้นเชิงแล้วตะเกียกตะกายหนีสุดชีวิต
เมลิสซ่าผลักผู้คนที่ขวางอยู่ออกไป เดินผ่านเกราะมนตราที่หายไปชั่วคราวจากการพังทลายของเครื่องจำลองนิมิตและอีเธอร์ที่สลายไป จากนั้นก็พุ่งไปที่กลางสนามรบ เมื่อเธอเห็นภาพตรงหน้า ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างอย่างช่วยไม่ได้…
เส้นหนวดสีดำสนิทนับไม่ถ้วนงอกออกมาจากพื้นที่แตกระแหง ตัดกับพื้นหลังอลังการที่ดูราวขุมนรกบนดิน รัดพันกันเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์
พื้นเริ่มสั่นไหวโดยมีสัตว์ประหลาดยักษ์เป็นศูนย์กลาง คลื่นกระแทกสะท้านฟ้าสะเทือนดินระเบิดออกมาจากพื้นเป็นครึ่งวงกลมล้อมรอบสนามพลังทั้งสองที่แตกร้าวราวกับไข่ที่ถูกกะเทาะ
ไวลด์เลื่อนระดับอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เมื่อเห็นเส้นหนวดเหล่านั้น เมลิสซ่าก็เริ่มหัววิ้ง เสียงกระซิบจากก้นบึ้งความลึกลับคำรามอยู่ในหู ทำให้วิญญาณของเธอสั่นสะท้าน
เธอกระอักเลือดปนน้ำลายออกมาหนึ่งคำ ปิดหูแล้วคุกเข่าลง
พ่อคะ!
เธอตะโกนอย่างไร้หนทางอยู่ในใจ