เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] – ตอนที่ 82

ณ เขตตอนกลาง สำนักงานทั่วไปของสมาคมแห่งสัจธรรม ห้องประชุมชั้นบนสุด

ทุกคนจ้องมองหน้าจอมอนิเตอร์อย่างเงียบงันพลางฟังเสียงแข็งทื่อของระบบเอ่ยคำประกาศ

“คลังอาวุธขาว 3 ขั้น 4 โปรดโหวตเพื่อมอบคำอนุมัติ”

“ขาว 3 ได้โหวตให้อนุมัตินำปืนใหญ่ทลายอีเธอร์”

“ความเห็น ผ่าน”

“ทุกแผนกรบกวนประจำที่ ปืนใหญ่ทลายอีเธอร์กำลังอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อม…”

จี้จือซู่เงยหน้ามองสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ขนาดเท่าภูผา

เมฆฝนและสายฟ้าปกคลุมรอบตัวมัน ปกปิดบางส่วนของร่างกายขนาดมหึมา เกล็ดปกคลุมไปทั่วเป็นดั่งเกราะป้องกัน ถูกย้อมไปด้วยเมือกเหนียวใส ในมือมันถือขวานสีดำและโล่เอาไว้

เบื้องบนขึ้นไปอีกคือเสียงเนื้อกระตุกหยุบหยับและดวงตาคู่หนึ่งเปล่งประกายเป็นไฟฟ้าสีขาวสว่าง

สัตว์ประหลาดยักษ์นี้ชวนตรึงใจเช่นเดียวกับที่ตำนานกล่าวไว้ แม้แต่เมืองใต้เท้ามันก็ดูเล็กจ้อยไร้ค่า

ทว่าสัตว์ประหลาดขนาดมโหฬารซึ่งควรจะเป็นที่จับตามองต่อคนหมู่มากในเมืองสายฝนนี้ กลับไม่สร้างความหวาดกลัวเลยสักนิด

มันมาพร้อมกับสายฟ้าพร้อมกับเปิดประตูบานหนึ่งออก…

จี้จือซู่รู้เรื่องนี้ดี และสิ่งมีชีวิตชั้นสูงย่อมสัมผัสมันได้

เนื่องจาก ที่นี่ไม่ใช่ความเป็นจริงอีกต่อไป… ส่วนหนึ่งของแดนนิมิตจึงถูกเปิดออก และอาณาเขตระหว่างความฝันและความจริงถูกบิดเบือนเสียแล้ว

สาเหตุที่กระจกมนตราได้รับชื่อนี้มาจากความสามารถในการชนะใจคนในช่วง ‘วัยทารก’

ทุกสิ่งที่จ้องตามันจะพัฒนาความปรารถนาที่ละทิ้งไม่ได้ในการครอบครองมัน และยิ่งสื่อสารกับมันมากเท่าไร ผลก็ยิ่งยาวนานและแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น

มันสามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่นให้ทำทุกอย่างเพื่อตัวมันเอง และสรรหาสารอาหารที่มันต้องการมาให้

มองในแง่หนึ่ง มันก็ถือเป็นวัตถุเวทมนตร์อย่างหนึ่ง

ดังนั้น สิ่งปกติที่ควรทำเมื่อพบกระจกมนตราคือการทำลายมันทันที

หากพวกเขาจำเป็นต้องใช้มันก็ควรปกป้องตัวเองเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นแล้ว มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่หายจากผลกระทบของมัน

อย่างที่สอง ระหว่างขั้น ‘เจริญเติบโต’ ซึ่งจะมีผลหลังมันดูดสารอาหารเพียงพอ กระจกมนตราจะกลายสภาพเป็น ‘ไข่’ ซึ่งสัตว์มายาจะฟักออกมาจากมัน หากเงื่อนไขถูกต้อง สิ่งมีชีวิตจากแดนนิมิตจะสามารถใช้เพื่อก้าวเข้ามาในโลกแห่งความเป็นจริง

มองอีกนัยหนึ่ง กระจกมนตราก็คือประตูตีตั๋วเที่ยวเดียวที่มีชีวิตนั่นเอง

ในอดีตกาล นักเวทต่างมองวัตถุเหล่านี้เป็นแนวหน้าและผู้พิทักษ์ซึ่งถูกวางแผนโดยสิ่งมีชีวิตแดนนิมิตอย่างแยบยล

หอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรมต่างเร่งรุดและกวาดล้างหมาป่าขาวและลัทธิสีชาดจนหมดสิ้น ตอนแรกพวกเขานึกว่าเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว… เพราะปกติแล้ว ในเวลาอันสั้นนี้ไม่ควรจะฟักกระจกมนตราได้เลย

การเข่นฆ่าชาวเมืองของหมาป่าขาวไม่เพียงพอในการเติมเต็มสารอาหารแก่สิ่งมีชีวิตแดนนิมิต แต่ไม่มีใครทราบว่าพวกเขาจะใช้หน่วยลัทธิสีชาดเป็นเครื่องสังเวย และแม้แต่นักล่าพวกเดียวกันก็ไม่มีเว้น

ดังนั้นจึงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าชิ้นส่วนแดนนิมิตจะเปิดขึ้นฉับพลันไร้ซึ่งการตักเตือนเช่นนี้

จี้จือซู่สูดลมหายใจเข้าสองครั้งสองครา ค่อย ๆ ถอยไป แล้วจึงกลับหลังหันพร้อมพุ่งทะยานหนีไปไกล

ความใจเย็นและเหตุผลของเธอถูกสนับสนุนโดยเจตจำนงเหล็กกล้า ทำให้ระงับความหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณและสั่นกลัวเอาไว้

มันทำให้หญิงสาวเข้าใจถ่องแท้ว่าทางที่ดีที่สุดตอนนี้คือหนี

เธอจะทุ่มสุดตัวได้เมื่ออยู่ในระดับภัยพิบัติด้วยกัน แต่โอกาสการเอาชนะถือว่านับเป็นระดับนาที ในขณะที่สิ่งมีชีวิตดั่งเทพเจ้านี้กำลังข่มขู่กันด้วยระดับเหนือนภา ซึ่งปล่อยให้หอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรมจัดการกันเอาเองน่าจะดีกว่า

เสียงหัวเราะอันบ้าดีเดือดของเฮริสยังคงลอยมากระทบโสตประสาท

จี้จือซู่เหลือบมองไปด้านหลังแล้วพบเฮริสกำลังโซซัดโซเซเข้าหาระดับน้ำที่พุ่งสูงขึ้น เพื่อไปหาเทพเจ้าในสายฝน

ไม่กี่ก้าวหลังจากนั้น เขาก็ยกมือขึ้นสูงพร้อมเอ่ยคำไม่รู้ความ ในดวงตามีประกายแปลกประหลาด มีหูดผุดขึ้นมาตามผิวหนังก่อนจะระเบิดออก ทำให้แขนขาของเขาบิดเบี้ยว ร่างกายฉีกกระชากออกจากกัน

เขาก้าวเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว เฮริสก็หยุดเดินและร่วงลงไปในน้ำดังตูม ในไม่กี่วินาที ร่องรอยของเขาก็หายไปตลอดกาล

เขาเข่นฆ่านักเวทมนตร์ดำสังกัดลัทธิสีชาดจนหมดสิ้น ฆาตกรรมชาวบ้านนับพันในมุมมืด และสังเวยเหล่าหมาป่าขาวที่ตนก่อตั้งอย่างยากเย็นแสนเข็ญมาหลายสิบปีเพื่อแลกกับการอัญเชิญเทพเจ้าอันห่างไกลซึ่งไม่คิดแม้แต่จะปรายตามองเขาเลยสักครั้งเดียว

แม้กระทั่งยามตาย เฮริสก็ยังอุทิศตนให้สิ่งมีชีวิตนี้เพราะความยั่วยวนของกระจกมนตราเป็นเหตุ

จี้จือซู่แหงนหน้ามองขึ้นไป สิ่งมีชีวิตมโหฬารนี้คำรามเสียงก้องเป็นภาษาอมนุษย์ มันเงื้อขวานสีดำขึ้นมาและทิ้งร่องรอยไว้บนเมฆา

แทบจะทันที ขวานเล่มนั้นก็ส่องประกายเจิดจ้า แสงสายฟ้าขยายตัวออกมาจากด้านบน และส่วนปลายราวกับอสนีบาตของจริง เชื่อมผืนฟ้าและปฐพีเข้าบรรจบกัน

สายฟ้าคำรามและไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบภายในหมู่เมฆ ก่อนที่สายฟ้าจะกระจายลงมายังผืนดิน ทำลายสิ้นซึ่งทุกสิ่งในบริเวณ

‘เทพเจ้า’ ที่ถูกอัญเชิญลงมากำลังจะสร้างถิ่นฐานของตน

“ทุกหน่วยประจำการ สมาคมแห่งสัจธรรมจะเริ่มยิงปืนใหญ่ทลายอีเธอร์กระสุนแรก ทีมหนึ่งถึงสี่ให้เก็บกวาดสัตว์มายาที่หนีออกมาจากรอยแยกของแดนนิมิต ทีมห้ากับหกมาเตรียมการเพื่อยิงกระสุนนัดสองตามแผนที่วางเอาไว้ หน่วยงานที่เหลือช่วยคุ้มกันปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ซะ…”

เกรแชม วินสตัน หัวหน้าแผนกการต่อสู้ของหอพิธีกรรมต้องห้าม และยังเป็นอัศวินแห่งแสงคนปัจจุบันสั่งการผ่านอุปกรณ์สื่อสาร

หลังสั่งการเสร็จสิ้น เขาก็เก็บอุปกรณ์สื่อสารลงไปและจ้องมองเทพพิรุณตัวยักษ์ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป

ทันใดนั้นเอง เขาเหมือนจะนึกอะไรได้จึงหันไปมองผู้ช่วยของตนแล้วตะโกนถาม “โจเซฟมันอยู่ไหน!?”

ผู้ช่วยลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ติดต่อไปเรียบร้อยแล้วครับ เขาถามผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นว่าสัตว์มายาอยู่ที่ไหนแล้วก็บอกว่า… สัตว์มายานั่นเดี๋ยวก็เดี้ยงแล้ว ไม่ต้องกังวลอะไรขนาดนั้นน่ะครับ”

วินสตันชะงักค้างไปเล็กน้อย ก่อนโพล่งถามออกมา “ไอ้หมอนั่นจะมามั่นใจอะไรเอาตอนนี้เนี่ย แต่ก็ดูเป็นสไตล์มันเมื่อก่อนดีละนะ…”

ก่อนจะเอ่ยจบ หางตาก็เหลือบไปเห็นลำแสงจ้าเข้าเสียก่อน

“ปืนใหญ่? เร็วขนาดนั้นเลย…” วินสตันชำเลืองมอง ก่อนจะพึมพำต่อโดยไม่มีท่าทีเปลี่ยนไป “ไม่สิ นั่นไม่ใช่ปืนใหญ่นี่!

“นั่นใครน่ะเฮ้ย!?”

การประชุมจบลง ทุกคนต่างแยกย้าย มีเพียงแอนดรูว์คนเดียวเท่านั้นที่อยู่คนเดียวในห้องประชุมนี้

ปัง!

“บ้าเอ๊ย!” แอนดรูว์ทุบโต๊ะประชุม ใบหน้าของเขาถมึงทึงยามมองไปยังสายฝนไร้วี่แววหยุดตกและสายฟ้าด้านนอกหน้าต่าง

การเห็นเขาคุมสติไม่อยู่ถือว่ายากนัก ทว่าในตอนนี้แผนกลยุทธ์ของเขาได้ล่วงเลยมาเป็นเวลานาน หมาป่าขาวที่เคยเป็นเพียงหอกข้างแคร่กลายเป็นเรื่องสำคัญถึงขั้นต้องงัดปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ออกมาใช้ ทั้งหมดเพียงเพราะความเลินเล่อของตัวเอง

แม้สมาคมแห่งสัจธรรมจะไม่กลัวการคุกคามจากระดับเหนือนภา แต่ไม่ได้หมายความว่าระดับนั้นจะเคี้ยวง่ายเสียเมื่อไหร่ พวกเขาแค่มีพลังมากพอที่จะรับมือ แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็ถือว่าเจ็บหนักพอกัน

หากมีความพร้อม การที่สมาคมแห่งสัจธรรมจะปัดสิ่งมีชีวิตระดับเหนือนภาก็ถือว่าไม่ได้ยากอะไร

แต่ตอนนี้สถานการณ์เกิดขึ้นเร็วเกินไป… แอนดรูว์นึกภาพออกเลยว่ารองหัวหน้าเดอริกจะส่งสายตาเยาะเย้ยเขาอย่างไร

ทว่าแอนดรูว์ยังยืนยันกับความเห็นที่ว่าเจ้าของร้านหนังสือมีบทบาทลึกลับอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้

เครือข่ายการตรวจจับอีเธอร์กำลังพัง เขตแดนปริศนาขนาดยักษ์และความคุ้นเคยกับโครงสร้างแผนผังของนอร์ซินระดับน่าตกใจ เป็นอะไรที่หมาป่าขาวทำด้วยตัวเองไม่ได้แน่นอน

อีกอย่าง ร่องรอยที่ไวลด์ทิ้งไว้ในแหล่งซ่องสุมของหมาป่าขาวและกระบวนการของนักล่าถูกยืนยันแล้วด้วย

“เดี๋ยวนะ นั่นอะไรกัน!?”

ดวงตาของแอนดรูว์เบิกกว้างยามเห็นภาพจากหน้าจอจากเครื่องตรวจจับอีเธอร์ซึ่งกำลังฉายภาพสถานการณ์การต่อสู้ เขายื่นมือออกไปและขยายภาพจอจอหนึ่ง

ท่ามกลางสภาพฟ้าฝนไม่เป็นใจ แสงรูปร่างคนราวกับเปลวไฟสีขาวปรากฏขึ้นมาจากที่ซึ่งเมฆฝนได้เชื่อมต่อเข้ากับแผ่นดิน

รูปร่างนี้ถูกปกคลุมด้วยแสงเฉกเช่นหลุดมาจากจินตนาการ และขับขี่กริฟฟินตัวใหญ่แสนสง่างาม

กริฟฟินกางปีกและร้องเสียงแหลมสูง ราวกับกำลังประกาศก้องว่านายของมันได้หลุดออกมาจากตำนานแล้ว

ในตอนนั้นเอง ทั้งหอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรมได้เห็นเอลฟ์ผมสีทองในชุดเกราะ นัยน์ตาสีเขียวโอลีฟกระจ่างใส และดาบยาวซึ่งไม่ต่างกับเปลวไฟโชติช่วงโฉบเฉวียนไปมากับสายลม

แอนดรูว์ไม่รู้เลยว่าการต่อสู้นี้ยาวนานเท่าไร แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ เอลฟ์จัดการพุ่งหลาวแสงสว่างและเปลวเพลิง ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีขาวทะลุกะโหลกของเทพพิรุณไป

แสงจากดาบนั้นทำซ้ำอีกครั้งก่อนจะกลับสู่มือของเขาด้วยเสียงดังกึกก้องสะท้อนไปมา ราวกับกำลังประกาศชัยชนะ

เทพเจ้าท่ามกลางสายฝนครางด้วยความปวดร้าวในขณะที่ร่างกายเริ่มจะสลายไปโดยเริ่มจากศีรษะ ดวงตาซึ่งเคยเต็มไปด้วยสายฟ้านั้นดับมอดลงไป และด้วยเสียงดังครึกโครม ร่างมโหฬารนั้นก็ร่วงลงมาสู่พื้นดิน สร้างคลื่นขนาดยักษ์ในน้ำท่วมขัง

ตอนนั้นเอง แอนดรูว์ก็ถึงกับถอยจนหลังชนเข้ากับขอบโต๊ะ และเมื่อเขาเรียกสติกลับคืนมาได้ ชายหนุ่มก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าคำอนุมัติให้ใช้ปืนใหญ่ทลายอีเธอร์เพิ่งผ่านไปไม่ถึงสิบนาที

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]

IRNDGL, I’m Really Not the Evil God's Lackey, 我真不是邪神走狗
Score 9
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2020 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]Lin Jie เป็นเจ้าของร้านหนังสือในอีกโลกหนึ่ง เขาเป็นคนใจดีและอบอุ่น มักจะแนะนำหนังสือการรักษาให้กับลูกค้าที่กำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ในบางครั้งเขาแอบโปรโมตงานของเขาเองด้วย เมื่อเวลาผ่านไป ลูกค้าเหล่านี้เริ่มให้ความเคารพเขาอย่างมาก บางคนถึงกับนำอาหารพิเศษประจำท้องถิ่นมาตอบแทนบุญคุณของเขาบ่อยๆ พวกเขามักจะขอความเห็นจากมืออาชีพเมื่อต้องเลือกหนังสือ และแบ่งปันประสบการณ์กับเจ้าของร้านหนังสือธรรมดาๆ คนนี้ให้คนรอบข้างฟัง พวกเขาเรียกเขาด้วยความเคารพและสนิทสนมโดยใช้ชื่อต่างๆ เช่น “ลูกสมุนของเทพปีศาจ”, “ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งเนื้อและเลือด”, “'ผู้แต่งพิธีกรรมและศุลกากรแห่งนิกายกินศพ” และ “ผู้เลี้ยงแกะแห่งดวงดาว”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset