บทที่ 1438 คุณกำลังสงสัยฉัน
หล่อนตกใจมากจริงๆ!
ตอนแรกเมื่อได้ยินว่าไฟไหม้ หล่อนยังคิดว่าระบบป้องกันของโรงแรมไม่ดี พวกหานชิงกลัวว่าจะกระทบกับงานมากจึงตัดสินใจยกเลิกงานแต่งงาน
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเขาขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว สวี่เย็นหวั่นจึงรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้?
“คะ…คุณทำอะไรน่ะ? คุณกระชากคอเสื้อทำไม ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“คุณรีบพูดมาสิ พวกเขาเป็นยังไงบ้าง?” สวี่เย็นหวั่นไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยตัวเขาออก กลับถามต่อ สีหน้าและสายตาดูกังวลและร้อนใจมาก
อีกฝ่ายทำสีหน้าเหนื่อยใจ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับคุณผู้หญิง ผมเป็นแค่แขกมาร่วมงานแต่งเท่านั้น ผมแค่รู้ว่าพวกเขาขึ้นรถพยาบาลไปแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นต่อ ผมไม่ได้อยู่บนรถพยาบาลจะให้ผมตอบคุณยังไงล่ะ?”
เมื่อถูกเขาพูดกลับมาเช่นนี้ สวี่เย็นหวั่นจึงค่อยๆใจเย็นลง
นั่นสิ เขาพูดถูก เขาไม่ได้ตามขึ้นรถพยาบาลไป เขาจะรู้เรื่องต่อจากนั้นได้อย่างไร? ช่างเถอะ หล่อนไม่ควรไปบีบบังคับเขา
เมื่อคิดถึงตอนนี้ สวี่เย็นหวั่นจึงปล่อยมือออกจากคอเสื้อของเขา พูดด้วยเสียงแผ่วเบา: “ขอโทษค่ะ เมื่อครู่ฉันตกใจเกิดไป แล้วคุณพอจะทราบไหมคะว่าพวกเขาไปโรงพยาบาลไหน?”
“เย็นหวั่น”
เสียงอันคุ้นเคยลอยเข้ามาในหู สวี่เย็นหวั่นเงยหน้าขึ้น เห็นหลินสวี่เจิ้งเดินตรงเข้ามาหา
“พี่หลิน”
เมื่อเห็นหลินสวี่เจิ้ง สวี่เย็นหวั่นรีบเดินเข้าไปหาเขา คำพูดแรกที่พูดก็คือ: “หานชิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อาการของเขา ผมไม่ค่อยแน่ใจ แต่ผมรู้ว่าเขาไปโรงพยาบาลไหน ตอนนี้กำลังเตรียมจะไป จะไปกับผมรึเปล่า?” หลินสวี่เจิ้งโบกกุญแจในมือให้สวี่เย็นหวั่นดู สวี่เย็นหวั่นไม่คิดอะไรทั้งนั้นและตอบตกลงไปทันที “ไปค่ะ”
“งั้นไปกันเถอะ”
จากนั้นหลินสวี่เจิ้งก็พาหล่อนไปเอารถ ระหว่างที่ไปเอารถไม่มีใครแถวนั้นเลย บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด จู่ๆหลินสวี่เจิ้งก็พูดขึ้น “ได้ยินมาว่าไฟไหม้ครั้งนี้เกิดขึ้นแปลกมาก เพราะไฟไหม้ที่ห้องแต่งตัวของเจ้าสาว คุณคิดว่าแปลกรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เท้าที่กำลังก้าวอย่างฉับไว้กลับหยุดชะงักลงทันที หล่อนย้อนคิดจนรู้สึกชาไปทั้งตัวและหันไปหาหลินสวี่เจิ้งที่กำลังพูดอยู่
เขากำลังลองใจตัวเองเหรอ? ไม่เช่นนั้นทำไมจู่ๆเขาถึงทำแบบนี้ล่ะ?
เมื่อคิดถึงตอนนี้ สวี่เย็นหวั่นจึงกัดริมฝีปากตัวเองพร้อมสบตามองหลินสวี่เจิ้ง “ พี่หลิน นี่พี่สงสัยฉันอยู่เหรอ?”
ได้ยินหล่อนพูดขึ้นมาเช่นนั้น หลินสวี่เจิ้งยิ้มเย้ยตรงมุมปากขึ้นมา “คุณตกใจทำไม? ผมก็แค่เล่าลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ทำไมต้องหาเรื่องใส่ตัวเองด้วยล่ะ?”
“เพราะฉันชอบหานชิง” สวี่เย็นหวั่นพูดอย่างไม่ลังเล: “ฉันกับเสี่ยวเหยียนเป็นศัตรูหัวใจกัน คุณบอกฉันว่าเกิดไฟไหม้ในห้องแต่งตัวเจ้าสาว ความขัดแย้งนี้ไม่ได้หมายถึงฉันหรือไง?”
“อืม จากที่คุณพูดมา แน่นอนว่าคุณมีแนวโน้มเป็นคนทำมากที่สุด”
ถ้าเขาไม่ยอมรับ สวี่เย็นหวั่นคงรู้สึกว่าเขากำลังสงสัยตัวเองอยู่ แต่ตอนนี้เขาพูดมาอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ สวี่เย็นหวั่นจึงพูดอะไรไม่ออกทันที
ผ่านไปสักพัก สีเลือดบนใบหน้าของสวี่เย็นหวั่นก็หายไปหมด
“พี่หลิน พี่พูดมาแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่? พี่หมายความว่าไฟไหม้ครั้งนี้ฉันเป็นคนทำงั้นเหรอ? ทำไมพี่ไม่คิดบ้าง ว่าฉันมีความสามารถพอรึเปล่า? ไม่สิ ฉันควรถามว่า ทำไมพี่ไม่คิดว่าฉันจะเป็นคนแบบนี้เหรอ? พี่หลิน แม้ว่าพี่จะเห็นฉันมาตั้งแต่เด็กจนโต แม้ว่าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของฉัน แต่พี่ก็เห็นฉันเป็นน้องสาวใช่ไหม? ตอนนี้กลับมาสงสัยฉัน เฮ้อ แต่ก็คงใช่ เหตุการณ์แบบนี้คงเชื่อยากว่าฉันไม่ได้เป็นคนทำ”
แต่หล่อนไม่เคยทำก็คือไม่เคยทำ ยังไงหล่อนก็ยึดถือในความถูกต้องเป็นหลัก
คิดไม่ถึงว่าหลินสวี่เจิ้งจะคอยจ้องมองหล่อนตลอด จากนั้นพูดแฝงไปด้วยความนัย: “ผมไม่ได้บอกว่าเป็นคุณ เพียงแค่กำลังวิเคราะห์สถานการณ์เท่านั้น เกิดเรื่องขึ้นกับเสี่ยวเหยียน ในเมื่อคุณเป็นศัตรูกับเขา ถ้าคุณไม่ได้ทำ แล้วคุณคิดว่าเรื่องนี้ใครทำล่ะ?”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นคนทำ ฉัน…”
สวี่เย็นว่าลองพูดตอบโต้ แต่เมื่อพูดได้เพียงครึ่งหนึ่ง จู่ๆก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ราวกับมีบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว หล่อนนึกถึงสิ่งที่ เห้อเหลียนจิ่งเคยพูดกับหล่อนก่อนหน้านี้
เขาบอกจะคอยติดตามหล่อน และทำเรื่องบางอย่างแทนหล่อน
หรือว่า เขาเป็นคนทำเรื่องนี้?
เมื่อคิดถึงตอนนี้ สวี่เย็นหวั่นหน้าซีดไปทันที ราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
ถ้า…ถ้าเห้อเหลียนจิ่งเป็นคนทำเรื่องนี้จริงๆ งั้นเขา…
สายตาของหลินสวี่เจิ้งไม่ละออกจากสวี่เย็นหวั่นแม้แต่น้อย จากนั้นก็สังเกตเห็นสีหน้าของหล่อนที่เปลี่ยนไป ไม่นานนักจึงสังเกตเห็นบางอย่างขึ้นมาทันที เขาเลิกคิ้วขึ้น: “ดูจากสีหน้าของคุณแล้ว ดูเหมือนคุณรู้เรื่องอะไรบางอย่าง?”
เสียงของเขาดึงสติของหล่อนกลับมา เมื่อสบตามองกับหลินสวี่เจิ้ง สวี่เย็นหวั่นขยับปากเล็กน้อย เปล่งเสียงพูดออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก
“เปล่า ฉันไม่รู้”
หล่อนก้มตาลง ไม่กล้าสบตามองหลินสวี่เจิ้ง “ไม่ว่ายังไงเรื่องนี้ฉันไม่ได้เป็นคนทำ ถึงแม้ว่าฉันไม่ชอบเสี่ยวเหยียน แต่ฉันไม่มีทางทำเรื่องที่ต้องทำร้ายหานชิงแบบนี้แน่นอน”
หล่อนรู้ดีว่าหานชิงให้ความสำคัญกับเสี่ยวเหยียนมากกว่าตัวเขาเองมาก หากทำอะไรกับเสี่ยวเหยียนก็เท่ากับทำร้ายชีวิตหานชิง ดังนั้นสวี่เย็นหวั่นจึงไม่เคยคิดจะทำอะไรเสี่ยวเหยียนเลย
หากต้องการทำบางอย่างเพื่อดึงดูดความสนใจของหานชิง งั้นก็คงมีเพียงการทำร้ายตัวเอง
แต่หล่อนก็เคยลองแล้ว หานชิงไม่สนใจหล่อนแม้แต่น้อย
ในส่วนของเห้อเหลียนจิ่ง หล่อนเคยคิดว่าน่าจะเป็นเขา แต่เรื่องนี้ยังไม่มีการตรวจสอบอย่างชัดเจน อีกอย่างตั้งแต่คืนนั้นหล่อนก็ไม่เจอเห้อเหลียนจิ่งอีกเลย หรือเขาไม่เห็นความหวังอะไรจากหล่อนแล้ว จึงกลับต่างประเทศไปแล้ว จะมาทำเรื่องแบบนี้แทนหล่อนได้อย่างไร?
แต่ทว่าสีหน้าอารมณ์ของหล่อนเมื่อครู่เปิดโปงข้อมูลออกมามากมาย ดังนั้นสายตาของหลินสวี่เจิ้งจึงจดจ้องมองหล่อนอยู่ตลอดไม่ไปไหน บทที่สวี่เย็นหวั่นรู้สึกว่าแทบจะทนไม่ไหวแล้ว สายตาที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายคู่นั้นค่อยๆเลือนหายออกไป จากนั้นก็มีเสียงเปิดประตูรถดังขึ้น
“ขึ้นรถเถอะ ไปโรงพยาบาลก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวี่เย็นหวั่นจึงจะถอนหายใจโล่งอก และตามหลินสวี่เจิ้งขึ้นรถไป
บทที่หลินสวี่เจิ้งขับรถ เขาคิดพลางว่า อันที่จริงเขาไม่ได้สงสัยสวี่เย็นหวั่นเลยแม้แต่น้อย ถ้าหล่อนจะทำอะไร ก่อนหน้านี้หล่อนมีโอกาสเยอะมาก ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้นบทที่หล่อนคุยกับคนอื่นอยู่ หลินสวี่เจิ้งก็คอยดูอยู่ข้างๆ
บทที่ได้ยินว่าไฟไหม้กับหานชิงได้รับบาดเจ็บ สีหน้าของสวี่เย็นหวั่นตกใจจริงๆ หล่อนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นเลยด้วยซ้ำ นั่นก็หมายความว่าหล่อนไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้
แต่ถึงแม้ว่าหล่อนไม่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหล่อนด้วยรึเปล่า?
เกรงว่า คงไม่ง่ายขนาดนั้น
แน่นอนว่าคำพูดพวกนี้หลินสวี่เจิ้งไม่ได้พูดออกมา ความจริงต้องรอการตรวจสอบอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจแล้วจึงจะสามารถปักใจเชื่อได้
หลังจากสวี่เย็นหวั่นคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว หล่อนก็คิดไปไกล แม้ว่าช่วงนี้หล่อนจะไม่ได้เจอเห้อเหลียนจิ่ง แต่เมื่อคืนหล่อนดื่มเหล้าอยู่ข้างนอก แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับมาอยู่ในบ้านของตัวเอง คนที่สามารถส่งหล่อนกลับถึงบ้านได้ นอกจากเห้อเหลียนจิ่งยังมีใครอีก?