บทที่ 731 หุ้นส่วน
หานมู่จื่อไม่ได้ถามว่าเธอโอเคไหม แต่เสี่ยวเหยียนกลับรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาจึงส่ายหัว: “ไม่เป็นอะไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหานมู่จื่อจึงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ซูจิ่วอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ทำเพียงยิ้มและพูดว่า “คุณมาก็ดีเลย ฉันมีธุระต้องไปทำนิดหน่อย มู่จื่อเลยจะให้คุณดูแล”
เสี่ยวเหยียนมองไปที่ซูจิ่วด้วยความซาบซึ้งก่อนจะพยักหน้าอย่างแข็งขัน “วางใจเถอะ ให้ฉันดูแลได้เลย”
หลังจากซูจิ่วออกไปแล้ว เสี่ยวเหยียนก็เดินไปหาหานมู่จื่อ “มู่จื่อ เธออยากดื่มน้ำไหม? เดี๋ยวฉันรินให้สักหน่อยนะ?”
หานมู่จื่อขมวดคิ้วมุ่นอย่างช่วยไม่ได้ เธอมองไปที่เสี่ยวเหยียนอย่างครุ่นคิด เสี่ยวเหยียนที่ถูกมู่จื่อมองแบบนั้นก็รู้สึกผิดดังนั้นเธอจึงก้มหน้าลง
“ฉันไม่เป็นไร ที่จริงพวกเธอไม่ต้องมาอยู่ที่นี่เพื่อดูแลฉันก็ได้ แถมฉันไม่ใช่คนป่วยและก็ไม่ใช่เด็กแล้วด้วย ฉันดูแลตัวเองได้”
“หา? ไม่ได้นะ!” เสี่ยวเหยียนส่ายหัวอย่างแรง “ถึงเธอจะไม่ใช่คนป่วยหรือเด็ก แต่เธอกำลังท้องอยู่ ฉันจะปล่อยให้เธออยู่คนเดียวได้ยังไง?”
ตั้งท้อง……
หานมู่จื่อจึงก้มหน้าลงก่อนจะลูบท้องนูนของตัวเอง เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีชีวิตเล็กๆอยู่ในท้องของเธอในเวลานี้…..
หานมู่จื่อหลับตาลงและถอนหายใจหนักๆ
เธอหวังว่าเย่โม่เซินจะกลับมาอย่างปลอดภัย
*
ภายในประเทศ
ไม่นานหลังจากข่าวอุบัติเหตุของเย่โม่เซินเผยแพร่ออกไป ผู้ถือหุ้นอาวุโสของบริษัทตระกูลเย่ก็ได้ทราบเรื่องนี้แล้ว แต่ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครพูดอะไร พวกเขากลับเงียบทั้งหมด ทำงานก็ทำงาน มีความสุขก็มีความสุขไปราวกับว่าข่าวอุบัติเหตุทางเครื่องบินของเย่โม่เซินไปไม่ถึงหูพวกเขาเลย
ทุกคนดูสบายเกินไป
เย่หลิ่นหานรออยู่สองสามวันที่บริษัทของตัวเองแต่แทบไม่ได้รับข่าวใดๆเลย ไม่มีแม้แต่สายโทรศัพท์เข้า
ตัวเขาเองไม่ได้รีบร้อน แต่ผู้ช่วยของเขาดันเป็นกังวลจนเกินไป เขาตรงไปที่บริษัทตระกูลเย่ ใครจะรู้กันล่ะว่าหลังจากแสดงความคิดเห็นตัวเองออกไป พวกกลุ่มคนอาวุโสในคณะกรรมการก็ไม่แม้แต่จะสนใจเขาและปล่อยให้พวกกลุ่มรักษาความปลอดภัยลากเขาออกไป
ในเวลานั้นเขาโกรธมาก หลังจากเขากลับมาที่บริษัทเขาก็ไปหาเย่หลิ่นหานเพื่อบ่นอย่างคนอารมณ์เสีย
“คุณชายหาน พวกคนอาวุโสกลุ่มนั้นทำเกินไปมากจริงๆ พวกเขาว่าผม ผมไม่ว่า และถ้าผมเป็นท่านผมจะเมินพวกนั้นไปเลย!”
เย่หลิ่นหานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บริษัทด้วยท่าทางที่สงบ แต่หลังจากฟังสิ่งที่อีกคนพูดจบแล้วดวงตาที่อยู่หลังเลนส์แว่นก็สว่างวาบขึ้นมา
แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนจะยืนขึ้นพร้อมกับเม้มริมฝีปาก
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องกังวล” น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
ผู้ช่วยเขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหดคอก้มหน้าและพูดว่า “ผมแค่โมโห ไม่มีใครมาหาเรามาหลายวันแล้ว คุณชายหานคุณยังเป็นลูกชายของตระกูลเย่นะครับ ทำไมเย่โม่เซินถึงใช้อิทธิพลปิดบังไว้ได้ ในขณะที่คุณกลับต้องอยู่ภายใต้บริษัทเล็กๆแห่งนี้แถมยังต้องถูกตระกูลเย่ข่มอยู่ทุกวัน ผมละโกรธมากจริงๆ นี่มีสิทธิอะไรกันหรือไง? หรือเพราะท่านเป็นลูกนอกสมรส…..”
สายตาเย็นเฉียบกวาดมองจนคำพูดของผู้ช่วยก็หยุดลงทันทีเมื่อเห็นว่าเหมือนมีแสงวาววาบอะไรบางอย่างออกมาจากตัวเย่หลิ่นหานมันน่ากลัวและมืดมนมากดูไม่เข้ากลับภาพลักษณ์ปกติที่แสนอ่อนโยนและสง่างามนั้นเลย
เขาผงะและไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก
ลูกนอกสมรส ไอ้คำนี้มันรุนแรงเกินไปสำหรับเย่หลิ่นหาน
เพราะเขาเป็นลูกนอกสมรส และเพราะเย่โม่เซินเป็นลูกชายคนโต ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะได้สืบทอดทรัพย์สินของตระกูลเย่ได้อย่างเปิดเผยถึงแม้ว่าเขาจะเกิดก่อนเย่โม่เซินก็ตาม และเขายังมีชื่อของลูกนอกสมรสแปะไว้อยู่ แม้ว่าแม่ของเขาจะกลายเป็นคนในตระกูลในภายหลัง แต่ทุกคนในแวดวงก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้วแม่และลูกชายเช่นเขาจริงๆเป็นเพียงบ้านเล็ก
แต่หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากัน
หากเขามีกำลังเพียงพอเขาสามารถบอกให้พวกนั้นหุบปากได้
แต่น่าเสียดายที่ตาแก่เย่นั่นไม่รอที่จะพบเขา แม้ว่าจะบอกเป็นการส่วนตัวแล้วว่าจะให้ตระกูลเย่แก่เขา เพราะเขาไม่ไว้ใจเย่โม่เซิน แต่ผลสุดท้ายล่ะ? เย่โม่เซินขึ้นเป็นประธานแต่ตัวเขาเป็นเพียงรองประธานเท่านั้น เขาทำได้เพียงแค่ฟังคำสั่งของของเย่โม่เซินและตราบใดที่เย่โม่เซินไม่ตอบรับและเซ็นต์สัญญาณโครงการที่เขาต้องการจะทำตัวเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ทั้งสองเกิดมาเป็นศัตรูกันและเขาก็ต้องการรับและแทนที่อีกคน โดยปกติเย่โม่เซินไม่ได้สุภาพกับเขาแถมยังเคยจงใจให้เขาอับอายกลางห้างสรรพสินค้า
เพราะฉะนั้นสงครามระหว่างเขาสองคนจึงแทบจะไม่เคยสงบลงเลย
“เนื่องจากพวกเขาไม่รอพบคุณ งั้นคุณก็ไม่ต้องไปแล้ว อดทนรอไปก่อน”
ผู้ช่วยไม่มีหนทางอื่นใดแล้ว แต่เย่หลิ่นหานก็ไม่รีบร้อนและก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นกัน
ความอดทนครั้งนี้ใช้เวลาไม่ได้นานเท่าไร เพราะตอนเย็นก็มีคนเรียกเย่หลิ่นหานไป
“คุณน่าจะเข้าใจที่ลุงหลินโทรหานะครับว่าหมายถึงอะไร?”
ลุงหลินเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในตระกูลเย่ลุงหลินดูแลเขาดีมาก แต่….เย่หลิ่นหานรู้ดีว่าบุคคลนี้เป็นนกสองหัว
หลังจากที่เย่หลิ่นหานได้สอดแนมทั้งกลุ่มนี้แต่เขาก็ไม่เคยพบใครเป็นการส่วนตัว
ตอนนี้จุดประสงค์การโทรหาเขามันช่างชัดเจนเสียจริง
เย่หลิ่นหานหัวเราะในใจ แต่ใบหน้ายังคงความสุภาพเอาไว้ “คุณลุงหลินมีธุระอะไรหรือเปล่าครับถึงโทรหาผม?”
ลุงหลินหัวเราะแห้งๆไปทีหนึ่งและพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม “ตอนบ่ายผู้ช่วยแกมาหาน่ะ และฉันได้ยินคนในบอร์ดพูดว่าตอนนี้ข่าวยังไม่ได้บอกว่าเย่โม่เซินปลอดภัยหรือไม่ แต่ฉันได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีคนเสียชีวิตค่อนข้างเยอะ และคนที่รอดชีวิตนั้นถือว่าโชคดีมากจริงๆ”
“แล้วหมายถึงอะไรครับลุงหลิน?”
“ก็คาดเดากันว่าเย่โม่เซินคงกลับมาไม่ได้ ถ้าเขาตายแล้วบริษัทของตระกูลเย่ก็ต้องการแกเป็นผู้นำคนต่อไปแน่นอน”
เย่หลิ่นหานยังคงท่าทีสงบนิ่งและไม่กังวล รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขาอย่างมั่นใจ
เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปอีกฝ่ายจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “คุณมีความคิดเห็นว่ายังไง?”
เย่หลิ่นหานแสยะยิ้มแผ่วเบา “คุณลุงหลินพูดเล่นแล้ว เรื่องเมื่อตอนบ่ายคุณลุงก็ได้ยินมาแล้วนี่ครับผมกลัวว่าจะเข้าบริษัทตระกูลเย่อีกครั้งจะยากไป”
“แกอยากจะเข้าบริษัทตระกูลเย่แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีหนทาง”
เย่หลิ่นหานหรี่ตาลงอย่างอันตราย
“สาเหตุที่คนเก่าคนแก่ในคณะกรรมการบริษัททำลายคนลงไป เพราะแกไม่มีหุ้นของบริษัทตระกูลเย่”
ในความจริงแล้วเย่หลิ่นหานได้คาดเดาเรื่องนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว พวกกลุ่มคนที่อยู่ในวงการธุรกิจล้วนแต่เป็นพวกคนเจ้าเล่ห์หัวหมอทั้งสิ้น หากต้องการสั่งให้พวกมันพยักหน้าเชื่องๆก็แค่ต้องมีหุ้น
“เท่าที่ดูนายท่านตระกูลเย่….ช่วงนี้อาการดีขึ้นแล้ว บางทีแกก็ลองไปหาเขาดู” เสียงหัวเราะของลุงหลินดูเจ้าเล่ห์และไม่จริงใจเลย
เย่หลิ่นหานเม้มริมฝีปากแน่น แววตาขุ่นมัว
หลังจากที่เย่โม่เซินเข้าคุมกลุ่มตระกูลเย่ทั้งหมด นายท่านตระกูลเย่ก็มีปัญหาทางจิตและถูกส่งตัวไปยังสถานจิตเวช
ไม่รู้ว่า….ตอนนี้หายหรือยัง
“หุ้นอยู่ในมือของเย่โม่เซิน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเย่โม่เซินจริงๆแล้วล่ะก็หุ้นพวกนี้….. หลิ่งหาน แกต้องไม่ทำให้ลุงผิดหวังนะ ตอนที่แกยังอยู่ในตระกูลเย่ ลุงรู้ว่าแกเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก”
ผิดหวังเหรอ?
เย่หลิ่นหานยิ้มอย่างเย็นชา เขาจะต้องไม่ทำให้ตัวเองผิดหวังแน่นอน