โรงน้ำชาอี้สื่อนับเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเมืองลี่โจว ทั้งงานประลองยุทธ์นับวันก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผู้ที่เข้ามาฟังอาจารย์อี้สื่อบรรยายเรื่องราวจึงไม่ได้เป็นคนธรรมดาที่สนุกไปเป็นวันๆ อีกแล้ว แต่แปรเปลี่ยนเป็นชาวยุทธภพที่เข้าออกสถานที่แห่งนี้แทน เยี่ยนมี่เอ๋อร์แปลงโฉมเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล ปรากฏตัวที่นี่ในเครื่องแต่งกายของผู้ชาย สั่งชาหนึ่งกา ทั้งเลือกนั่งที่มุมหนึ่ง มองพินิจคนในโรงน้ำชาแห่งนี้ ฟังคนพวกนั้นพูดคุยกันอย่างครื้นเครง เหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะว่าใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แขกที่มานั้นไม่นับว่ามาก ต่างพากันนั่งกระจัดกระจายอยู่ในโรงน้ำชา “พี่หลิน เจ้ามาถึงเมื่อใดกัน?” จู่ๆ แขกที่นั่งโต๊ะด้านหน้าไม่ไกลมาก ก็ลุกยืนขึ้นประสานมือทักทายชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีดำแดงคนหนึ่งที่เข้ามาหลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งประจำที่แล้ว “เพิ่งมาถึงตอนเที่ยงของวันนี้ เพียงแค่อยากจะหาที่นอนสักหน่อยก็เลยเข้ามา!” ชายหนุ่มผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่หลินหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเข้าไปนั่งรวมกับคนเหล่านั้น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่? ออกรสถึงเพียงนี้เชียว?” “จะอะไรได้อีกล่ะ? ก็สงครามฉากใหญ่ที่เรือนข้างสระบัวของตระกูลซั่งกวนเมื่อคืนวานน่ะสิ!” คนผู้หนึ่งบอกกล่าวแก่คนสกุลหลินผู้นั้น “เจ้าไม่รู้หรอกรึ? ทุกคนต่างพากันคาดเดาต่างๆ นานา ว่าเป็นใครที่ก่อคดีขึ้น!” “ข้ารู้ที่ไหนกันล่ะ ข้าเพิ่งมา แม้แต่ชาร้อนถ้วยเดียวยังไม่ทันจะได้ดื่มด้วยซ้ำ!” คนสกุลหลินผู้นั้นกล่าวอย่างแปลกใจ “แล้วตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่? พี่จางก็ได้ยินมาเช่นกันรึ?” “จะไม่ได้ยินได้อีกรึ? ความจริงยังมีคนมากมายที่พบเห็น เพียงแค่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ใจกล้าถึงขนาดไหนจึงได้กล้าก่อเรื่องในอาณาเขตของตระกูลซั่งกวน รนหาที่ตายจริงๆ เชียว!” คนสกุลจางที่อยู่ในโต๊ะเดียวกันตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องนี้ได้กระจายไปทั่วลี่โจวแล้ว ว่ากันว่าคนพวกนั้นล้วนพ่ายแพ้จนสิ้นท่า ไม่มีใครหนีรอดได้สักคน เพียงแต่ไม่รู้ว่าตระกูลซั่งกวนจับพยานปากที่รอดชีวิตได้บ้างหรือไม่?” “นั่นยังต้องพูดอีกหรือ? คนฝีมือดีของตระกูลซั่งกวนมีมากมายดุจมวลเมฆ หากสามารถทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ยับเยินได้ ก็ย่อมจับพยานปากที่มีชีวิตรอดได้อยู่แล้ว นี่แทบไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่ข้าสนใจยิ่งกว่าคือ…” ชายคนนั้นมองซ้ายแลขวา กล่าวอย่างมีลับลมคมนัย “เป็นใครที่กล้ากระตุกหางเสือ แล้วทำไปเพื่อเหตุใดกัน? พวกเจ้าลองคิดดู หากไม่มีของล่อใจอันใด จะกล้ารนหาที่ตายถ่อไปถึงหน้าประตูรึ? ที่นี่คือลี่โจว ที่ซึ่งตระกูลซั่งกวนเป็นใหญ่ค้ำฟ้าเชียวนะ!” “จริงด้วย!” คนแซ่จางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หากไม่ใช่ว่ามีของที่ล่อตาจนทำให้คนเสี่ยงชีวิตอย่างไม่สนอะไร ใครจะเลือกรนหาที่ตายกันล่ะ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง คาดไม่ถึงว่าเรื่องทางเรือนสดับวายุจะโหมสะพัดไปทั่วแล้ว นางแสร้งทำเป็นโบกมือเรียกเด็กร้านน้ำชาอย่างสงสัย ควักเงินกว่าสองตำลึงออกมา กล่าวถาม “เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองลี่โจวแห่งนี้กันแน่ ไฉนทุกคนจึงพากันพูดคุยเกี่ยวกับตระกูลซั่งกวนและเรือนสดับวายุ?” “ตายจริง ท่านคงเพิ่งมาถึงลี่โจววันนี้กระมัง?” เด็กร้านน้ำชารีบกวาดเงินตำลึงนั้นไว้อย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ก็กล่าวอย่างเริงร่า “เมื่อคืนวาน ลี่โจวได้เกิดเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั่ว ท่านก็คงรู้จักตระกูลซั่งกวนกระมัง เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่เรือนนอกริมสระบัวแห่งหนึ่งของตระกูลซั่งกวน คนชุดดำร้อยกว่าคนไม่รู้ว่าทำไมจึงฉวยโอกาสยามวิกาล ลักลอบเข้าไปในเรือนนอกของตระกูลซั่งกวน ท่านก็น่าจะรู้ คนของตระกูลซั่งกวนล้วนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป จับความผิดปกติได้ทันที จึงได้เกิดการปะทะกันขึ้นมา ต่อสู้กันกว่าหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เสียงฟาดฟันดังสะท้อนไปทั่ว ผู้ที่บุกเข้ามานั้นหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนแต่พากันคาดดาว่าเป็นใครที่ใจกล้าไม่เกรงกลัวฟ้าดิน บุกเข้าไปในอาณาเขตของตระกูลซั่งกวน สิ่งที่ทำให้คนสงสัยยิ่งกว่าก็คือ เรือนนอกนั้นมีของสิ่งใดกันแน่ เพราะไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้คนแอบมอง แต่ยังมีคนคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา จนเปิดฉากห้ำหั่นอย่างน่าตกอกตกใจเช่นนี้ขึ้นมา!” “แล้วคือสิ่งใดรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความสงสัย ทว่าในใจกลับลอบยิ้ม ร้อยกว่าคน มีคนเยอะขนาดนั้นที่ไหนกัน? เพียงแค่สี่สิบกว่าคนเท่านั้น เมื่อวานตนเองก็ไปลอบมองอยู่เช่นกัน เดิมทียังคิดจะจับปลาที่รอดแหมาได้สักตัวสองตัว ผลลัพธ์กลับหนีไม่พ้นสักคนเดียว ทำเอาผิดหวังเสียยกใหญ่ หอยุทธภพอี้สื่อแห่งนี้ก็ล้วนเป็นตัวเองที่ลอบกระพือข่าวเช่นกัน ให้พวกเขาส่งคนไปดูเรื่องนี้อย่างผ่านหูผ่านตา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกระพือเรื่องลุกลามจนใหญ่โตถึงขั้นนี้ ยิ่งนึกไม่ถึงอีกว่าเพิ่งจะช่วงบ่าย เรื่องนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว ไม่รู้ว่าซั่งกวนจิ่นจะปวดหัวบ้างหรือไม่? ทั้งคนแก่คนหนุ่มสกุลทั่วป๋านั้นจะเจ็บใจทั้งกังวล หวั่นวิตกจนทำอะไรไม่ถูกแล้วกระมัง? “อันนี้ก็…” เด็กร้านน้ำชายิ้มอย่างมีลับลมคมนัย “คนของหอยุทธภพอี้สื่อในยามนี้กำลังกางแหดักจับข่าวกันอยู่ ต้องการจะตรวจสอบความจริงของเรื่องนี้ให้ปรากฏ! หากท่านสนใจ มิสู้ มานั่งเล่นที่นี่ทุกวัน หรือไม่ก็พรุ่งนี้ หรืออาจจะวันมะรืน ท่านย่อมต้องรู้เบื้องลึกเบื้องหลังได้แน่ขอรับ!” “ขอบคุณมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ประสานมือเล็กน้อย ควักเงินออกมาอีกสองตำลึงอย่างใจกว้าง กล่าวถาม “เช่นนั้นอาจารย์อี้สื่อที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่คือท่านใด คนที่อยู่ชั้นบนสุดนั่นหรือ?” เด็กร้านน้ำชารับมาด้วยยิ้มเริงร่า คล้อยหลังก็ชี้ไปที่อาจารย์อี้สื่อด้านบน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว! ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร? เขาคืออาจารย์หวา ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในการเขียนบทประพันธ์ หากไม่ใช่ว่างานประลองยุทธ์ของปีนี้จัดที่ลี่โจว ท่านก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสพบเจออาจารย์หวาได้หรอก! อาจารย์หวาความรู้กว้างไกล ฝีมือการประพันธ์ดุจเทพเนรมิตนั่นก็แทบไม่ต้องพูดถึง ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์หวายังรู้จักมักคุ้นกับจอมยุทธ์หญิงร้อยอันดับแรกของยุทธภพเป็นอย่างดี เขานับเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการชื่นชมบุปผาคนหนึ่ง! เหมือนคนงามอย่างคุณหนูก็ล้วนต้องชื่นชอบทำความรู้จักกับอาจารย์หวา” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคุณหนู?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม ถามอย่างตั้งใจ แม้ว่านางจะแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่กลับไม่ได้แปลงโฉมอำพรางอันใด อย่าพูดเลยว่าคนที่รับแขกไปใครมาอย่างเด็กร้านน้ำชานั้นหูตาว่องไวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่แม้ว่าจะเป็นคนที่โลดแล่นในยุทธภพไม่กี่วัน ก็สามารถมองนางออกได้เช่นกัน “อันนี้ยังต้องให้ผู้น้อยปากมากอีกหรือขอรับ? ย่อมเป็นเพราะว่าคุณหนูงดงามแต่กำเนิด!” เด็กร้านน้ำชานับว่ารู้จักใช้ปากเป็นอย่างมาก เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มหวาน ควักจ่ายให้เขาอีกห้าตำลึง “เช่นนั้นถ้าหากตอนเย็นต้องการหาตัวอาจารย์หวาควรต้องไปที่ใดรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กดน้ำเสียงต่ำลง นอกจากทั้งสองคนแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นได้ยินอีก “ด้านหลังโรงน้ำชามีเรือนหลังเล็กแห่งหนึ่ง โดยปกติพวกอาจารย์อี้สื่อมักจะพักอยู่ที่นั่นขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์ตอบอย่างกำกวม “เช่นนั้น อาจารย์หวาก็อยู่ที่นั่นใช่หรือไม่? แล้วถ้าหากอยู่ เขาพักที่เรือนใดรึ?” ครั้งนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ควักทองก้อนเล็กๆ ออกมา แสงที่ระยิบระยับนั้นทำเอาเด็กร้านน้ำชาถึงกับตาตั้ง “อาจารย์หวาอยู่เรือนเล็กๆ ที่แยกตัวอยู่เพียงลำพังในตรอกตรงข้าม เดินเข้าไปเป็นหลังที่หก หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้วเขาก็มักจะอยู่ที่เรือนเล็ก ไม่ค่อยออกไปไหนขอรับ” เด็กร้านน้ำชากลืนน้ำลาย เขาไม่กังวลว่าสาวน้อยที่แต่งตัวเป็นผู้ชายตรงหน้านี้คิดจะทำอะไรไม่ดีต่ออาจารย์หวาหรอก เรือนเล็กหลังนั้นยังมีผู้คุ้มกันอีกสองคนที่หอยุทธภพอี้สื่อตั้งใจส่งมาคุ้มครองอาจารย์หวา คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เห็นได้ชัดว่าไม่อาจนับเป็นศัตรูได้ “นี่ต้องให้เจ้าแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางทองนั้นลงบนโต๊ะ กล่าวราบเรียบ “หากข้าหาอาจารย์หวาไม่พบ เจ้าก็ชั่งน้ำหนักคิดให้ดีแล้วกัน!” “ท่านโปรดวางใจ!” เด็กร้านน้ำชายิ้มหน้าบานรับเงินมา “คุณหนูที่ตามหาอาจารย์หวานั้นมีไม่น้อย ท่านรีบตามไปโดยเร็วจะดีที่สุด มิเช่นนั้น หากมีจอมยุทธ์หญิงคนงามหน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้นก็ใช่ว่าจะมีตำแหน่งให้ท่านเสมอไป ต้องรู้ว่าการจะให้อาจารย์หวาลงนามในหนังสือนั้น เป็นเรื่องที่จอมยุทธ์หญิงในยุทธภพต่างก็ปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตะลึงไปเล็กน้อย มิน่าเล่าสามารถสืบถามที่พักของอาจารย์อี้สื่อคนนั้นออกมาได้ง่ายขนาดนี้ ที่แท้ก็เพราะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างนี้นี่เอง! —————–
โรงน้ำชาอี้สื่อนับเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งทางตะวันตกของเมืองลี่โจว ทั้งงานประลองยุทธ์นับวันก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผู้ที่เข้ามาฟังอาจารย์อี้สื่อบรรยายเรื่องราวจึงไม่ได้เป็นคนธรรมดาที่สนุกไปเป็นวันๆ อีกแล้ว แต่แปรเปลี่ยนเป็นชาวยุทธภพที่เข้าออกสถานที่แห่งนี้แทน เยี่ยนมี่เอ๋อร์แปลงโฉมเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล ปรากฏตัวที่นี่ในเครื่องแต่งกายของผู้ชาย สั่งชาหนึ่งกา ทั้งเลือกนั่งที่มุมหนึ่ง มองพินิจคนในโรงน้ำชาแห่งนี้ ฟังคนพวกนั้นพูดคุยกันอย่างครื้นเครง เหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะว่าใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แขกที่มานั้นไม่นับว่ามาก ต่างพากันนั่งกระจัดกระจายอยู่ในโรงน้ำชา
“พี่หลิน เจ้ามาถึงเมื่อใดกัน?” จู่ๆ แขกที่นั่งโต๊ะด้านหน้าไม่ไกลมาก ก็ลุกยืนขึ้นประสานมือทักทายชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีดำแดงคนหนึ่งที่เข้ามาหลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งประจำที่แล้ว
“เพิ่งมาถึงตอนเที่ยงของวันนี้ เพียงแค่อยากจะหาที่นอนสักหน่อยก็เลยเข้ามา!” ชายหนุ่มผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่หลินหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเข้าไปนั่งรวมกับคนเหล่านั้น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่? ออกรสถึงเพียงนี้เชียว?”
“จะอะไรได้อีกล่ะ? ก็สงครามฉากใหญ่ที่เรือนข้างสระบัวของตระกูลซั่งกวนเมื่อคืนวานน่ะสิ!” คนผู้หนึ่งบอกกล่าวแก่คนสกุลหลินผู้นั้น “เจ้าไม่รู้หรอกรึ? ทุกคนต่างพากันคาดเดาต่างๆ นานา ว่าเป็นใครที่ก่อคดีขึ้น!”
“ข้ารู้ที่ไหนกันล่ะ ข้าเพิ่งมา แม้แต่ชาร้อนถ้วยเดียวยังไม่ทันจะได้ดื่มด้วยซ้ำ!” คนสกุลหลินผู้นั้นกล่าวอย่างแปลกใจ “แล้วตกลงเกิดเรื่องอะไรกันแน่? พี่จางก็ได้ยินมาเช่นกันรึ?”
“จะไม่ได้ยินได้อีกรึ? ความจริงยังมีคนมากมายที่พบเห็น เพียงแค่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ใจกล้าถึงขนาดไหนจึงได้กล้าก่อเรื่องในอาณาเขตของตระกูลซั่งกวน รนหาที่ตายจริงๆ เชียว!” คนสกุลจางที่อยู่ในโต๊ะเดียวกันตอบกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องนี้ได้กระจายไปทั่วลี่โจวแล้ว ว่ากันว่าคนพวกนั้นล้วนพ่ายแพ้จนสิ้นท่า ไม่มีใครหนีรอดได้สักคน เพียงแต่ไม่รู้ว่าตระกูลซั่งกวนจับพยานปากที่รอดชีวิตได้บ้างหรือไม่?”
“นั่นยังต้องพูดอีกหรือ? คนฝีมือดีของตระกูลซั่งกวนมีมากมายดุจมวลเมฆ หากสามารถทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ยับเยินได้ ก็ย่อมจับพยานปากที่มีชีวิตรอดได้อยู่แล้ว นี่แทบไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่ข้าสนใจยิ่งกว่าคือ…” ชายคนนั้นมองซ้ายแลขวา กล่าวอย่างมีลับลมคมนัย “เป็นใครที่กล้ากระตุกหางเสือ แล้วทำไปเพื่อเหตุใดกัน? พวกเจ้าลองคิดดู หากไม่มีของล่อใจอันใด จะกล้ารนหาที่ตายถ่อไปถึงหน้าประตูรึ? ที่นี่คือลี่โจว ที่ซึ่งตระกูลซั่งกวนเป็นใหญ่ค้ำฟ้าเชียวนะ!”
“จริงด้วย!” คนแซ่จางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หากไม่ใช่ว่ามีของที่ล่อตาจนทำให้คนเสี่ยงชีวิตอย่างไม่สนอะไร ใครจะเลือกรนหาที่ตายกันล่ะ?
เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง คาดไม่ถึงว่าเรื่องทางเรือนสดับวายุจะโหมสะพัดไปทั่วแล้ว นางแสร้งทำเป็นโบกมือเรียกเด็กร้านน้ำชาอย่างสงสัย ควักเงินกว่าสองตำลึงออกมา กล่าวถาม “เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองลี่โจวแห่งนี้กันแน่ ไฉนทุกคนจึงพากันพูดคุยเกี่ยวกับตระกูลซั่งกวนและเรือนสดับวายุ?”
“ตายจริง ท่านคงเพิ่งมาถึงลี่โจววันนี้กระมัง?” เด็กร้านน้ำชารีบกวาดเงินตำลึงนั้นไว้อย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ก็กล่าวอย่างเริงร่า “เมื่อคืนวาน ลี่โจวได้เกิดเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั่ว ท่านก็คงรู้จักตระกูลซั่งกวนกระมัง เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่เรือนนอกริมสระบัวแห่งหนึ่งของตระกูลซั่งกวน คนชุดดำร้อยกว่าคนไม่รู้ว่าทำไมจึงฉวยโอกาสยามวิกาล ลักลอบเข้าไปในเรือนนอกของตระกูลซั่งกวน ท่านก็น่าจะรู้ คนของตระกูลซั่งกวนล้วนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป จับความผิดปกติได้ทันที จึงได้เกิดการปะทะกันขึ้นมา ต่อสู้กันกว่าหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เสียงฟาดฟันดังสะท้อนไปทั่ว ผู้ที่บุกเข้ามานั้นหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนแต่พากันคาดดาว่าเป็นใครที่ใจกล้าไม่เกรงกลัวฟ้าดิน บุกเข้าไปในอาณาเขตของตระกูลซั่งกวน สิ่งที่ทำให้คนสงสัยยิ่งกว่าก็คือ เรือนนอกนั้นมีของสิ่งใดกันแน่ เพราะไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้คนแอบมอง แต่ยังมีคนคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา จนเปิดฉากห้ำหั่นอย่างน่าตกอกตกใจเช่นนี้ขึ้นมา!”
“แล้วคือสิ่งใดรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความสงสัย ทว่าในใจกลับลอบยิ้ม ร้อยกว่าคน มีคนเยอะขนาดนั้นที่ไหนกัน? เพียงแค่สี่สิบกว่าคนเท่านั้น เมื่อวานตนเองก็ไปลอบมองอยู่เช่นกัน เดิมทียังคิดจะจับปลาที่รอดแหมาได้สักตัวสองตัว ผลลัพธ์กลับหนีไม่พ้นสักคนเดียว ทำเอาผิดหวังเสียยกใหญ่
หอยุทธภพอี้สื่อแห่งนี้ก็ล้วนเป็นตัวเองที่ลอบกระพือข่าวเช่นกัน ให้พวกเขาส่งคนไปดูเรื่องนี้อย่างผ่านหูผ่านตา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกระพือเรื่องลุกลามจนใหญ่โตถึงขั้นนี้ ยิ่งนึกไม่ถึงอีกว่าเพิ่งจะช่วงบ่าย เรื่องนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว ไม่รู้ว่าซั่งกวนจิ่นจะปวดหัวบ้างหรือไม่? ทั้งคนแก่คนหนุ่มสกุลทั่วป๋านั้นจะเจ็บใจทั้งกังวล หวั่นวิตกจนทำอะไรไม่ถูกแล้วกระมัง?
“อันนี้ก็…” เด็กร้านน้ำชายิ้มอย่างมีลับลมคมนัย “คนของหอยุทธภพอี้สื่อในยามนี้กำลังกางแหดักจับข่าวกันอยู่ ต้องการจะตรวจสอบความจริงของเรื่องนี้ให้ปรากฏ! หากท่านสนใจ มิสู้ มานั่งเล่นที่นี่ทุกวัน หรือไม่ก็พรุ่งนี้ หรืออาจจะวันมะรืน ท่านย่อมต้องรู้เบื้องลึกเบื้องหลังได้แน่ขอรับ!”
“ขอบคุณมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ประสานมือเล็กน้อย ควักเงินออกมาอีกสองตำลึงอย่างใจกว้าง กล่าวถาม “เช่นนั้นอาจารย์อี้สื่อที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่คือท่านใด คนที่อยู่ชั้นบนสุดนั่นหรือ?”
เด็กร้านน้ำชารับมาด้วยยิ้มเริงร่า คล้อยหลังก็ชี้ไปที่อาจารย์อี้สื่อด้านบน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว! ท่านรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร? เขาคืออาจารย์หวา ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในการเขียนบทประพันธ์ หากไม่ใช่ว่างานประลองยุทธ์ของปีนี้จัดที่ลี่โจว ท่านก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสพบเจออาจารย์หวาได้หรอก! อาจารย์หวาความรู้กว้างไกล ฝีมือการประพันธ์ดุจเทพเนรมิตนั่นก็แทบไม่ต้องพูดถึง ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์หวายังรู้จักมักคุ้นกับจอมยุทธ์หญิงร้อยอันดับแรกของยุทธภพเป็นอย่างดี เขานับเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการชื่นชมบุปผาคนหนึ่ง! เหมือนคนงามอย่างคุณหนูก็ล้วนต้องชื่นชอบทำความรู้จักกับอาจารย์หวา”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคุณหนู?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้ม ถามอย่างตั้งใจ แม้ว่านางจะแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่กลับไม่ได้แปลงโฉมอำพรางอันใด อย่าพูดเลยว่าคนที่รับแขกไปใครมาอย่างเด็กร้านน้ำชานั้นหูตาว่องไวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่แม้ว่าจะเป็นคนที่โลดแล่นในยุทธภพไม่กี่วัน ก็สามารถมองนางออกได้เช่นกัน
“อันนี้ยังต้องให้ผู้น้อยปากมากอีกหรือขอรับ? ย่อมเป็นเพราะว่าคุณหนูงดงามแต่กำเนิด!” เด็กร้านน้ำชานับว่ารู้จักใช้ปากเป็นอย่างมาก เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มหวาน ควักจ่ายให้เขาอีกห้าตำลึง
“เช่นนั้นถ้าหากตอนเย็นต้องการหาตัวอาจารย์หวาควรต้องไปที่ใดรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กดน้ำเสียงต่ำลง นอกจากทั้งสองคนแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นได้ยินอีก
“ด้านหลังโรงน้ำชามีเรือนหลังเล็กแห่งหนึ่ง โดยปกติพวกอาจารย์อี้สื่อมักจะพักอยู่ที่นั่นขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์ตอบอย่างกำกวม
“เช่นนั้น อาจารย์หวาก็อยู่ที่นั่นใช่หรือไม่? แล้วถ้าหากอยู่ เขาพักที่เรือนใดรึ?” ครั้งนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ควักทองก้อนเล็กๆ ออกมา แสงที่ระยิบระยับนั้นทำเอาเด็กร้านน้ำชาถึงกับตาตั้ง
“อาจารย์หวาอยู่เรือนเล็กๆ ที่แยกตัวอยู่เพียงลำพังในตรอกตรงข้าม เดินเข้าไปเป็นหลังที่หก หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้วเขาก็มักจะอยู่ที่เรือนเล็ก ไม่ค่อยออกไปไหนขอรับ” เด็กร้านน้ำชากลืนน้ำลาย เขาไม่กังวลว่าสาวน้อยที่แต่งตัวเป็นผู้ชายตรงหน้านี้คิดจะทำอะไรไม่ดีต่ออาจารย์หวาหรอก เรือนเล็กหลังนั้นยังมีผู้คุ้มกันอีกสองคนที่หอยุทธภพอี้สื่อตั้งใจส่งมาคุ้มครองอาจารย์หวา คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เห็นได้ชัดว่าไม่อาจนับเป็นศัตรูได้
“นี่ต้องให้เจ้าแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางทองนั้นลงบนโต๊ะ กล่าวราบเรียบ “หากข้าหาอาจารย์หวาไม่พบ เจ้าก็ชั่งน้ำหนักคิดให้ดีแล้วกัน!”
“ท่านโปรดวางใจ!” เด็กร้านน้ำชายิ้มหน้าบานรับเงินมา “คุณหนูที่ตามหาอาจารย์หวานั้นมีไม่น้อย ท่านรีบตามไปโดยเร็วจะดีที่สุด มิเช่นนั้น หากมีจอมยุทธ์หญิงคนงามหน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้นก็ใช่ว่าจะมีตำแหน่งให้ท่านเสมอไป ต้องรู้ว่าการจะให้อาจารย์หวาลงนามในหนังสือนั้น เป็นเรื่องที่จอมยุทธ์หญิงในยุทธภพต่างก็ปรารถนาด้วยกันทั้งสิ้น!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตะลึงไปเล็กน้อย มิน่าเล่าสามารถสืบถามที่พักของอาจารย์อี้สื่อคนนั้นออกมาได้ง่ายขนาดนี้ ที่แท้ก็เพราะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างนี้นี่เอง!
—————–