เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 174 คึกคักหน้าหอวีรบุรุษ (2)

“คนของตระกูลทั่วป๋ามาแล้ว!” รอไม่นานนัก ก็มีคนตะโกนเสียงดังออกมา คนที่มุงดูพากันเปิดทางให้คนที่มาได้มองเห็นพวกคนที่ถูกมัดติดกันอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนานั้นได้ชัดเจน

ผู้ที่มาคือทั่วป๋ามู่เย่ พ่อบ้านใหญ่ของตระกูลทั่วป๋าที่อาศัยอยู่ที่ลี่โจว ทั้งยังเป็นผู้ดูแลตระกูลทั่วป๋าที่ลี่โจว ในยามที่เขาได้รับข่าวจากคนของจงอี้ถัง ก็กระจ่างใจขึ้นมาทันที คนพวกนั้นย่อมเป็นคนที่ถูกส่งไปยังเรือนสดับวายุเป็นแน่ พวกเขาล้วนคิดว่าคนพวกนั้นได้ถูกตระกูลซั่งกวนฆ่าปิดปากไปหมดแล้ว แม้แต่งานศพก็ยังจัดกันแบบลับๆ คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะมาปรากฏตัวบนท้องถนนใหญ่แห่งนี้

“พ่อบ้านใหญ่ ทำอย่างไรดี?” แม่นมที่รู้ข่าวรีบตามมา กล่าวอย่างร้อนใจ “พวกเราไม่อาจยอมรับได้ หากยอมรับ ความร้าวฉานระหว่างตระกูลทั่วป๋าและตระกูลซั่งกวนก็ไม่อาจหายสนิทได้แน่”

“จะยอมรับหรือไม่ ความร้าวฉานก็ย่อมมีอยู่แล้ว!” ทั่วป๋ามู่เย่ถอนหายใจ “เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เป็นการตัดสินใจโดยพลการของซั่งกวนจิ่น หากไม่ใช่ว่าซั่งกวนเจวี๋ยกลับมา ก็ย่อมเป็นคนของเรือนอวี้ฉิงที่ออกมาควบคุมเรื่องราว ยามนี้เข้าไปก็เพียงเป็นการเอาเรื่องที่ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจมากางไว้บนโต๊ะเท่านั้น! พวกเราจำเป็นต้องไป!”

“แต่ว่า…” แม่นมกล่าวอย่างร้อนรน “หากคุณหนูรู้เข้าต้องโมโหโกรธาเป็นแน่!”

“นาง? หากไม่ใช่เพราะนาง เรื่องมันจะก้าวมาจนถึงขั้นนี้รึ?” ทั่วป๋ามู่เย่สั่นศีรษะ “เจ้าคิดว่าหากพวกเราไม่ไป ตระกูลซั่งกวนก็จะคิดว่าพวกเราบริสุทธิ์แล้วอย่างนั้นรึ? ผิดแล้ว! นั่นรั้งแต่จะทำให้พวกเราได้แบกรับชื่อเสียงที่ไร้เมตตาและคุณธรรมเท่านั้น ครั้งนี้ ตระกูลซั่งกวนได้โมโหแล้วจริงๆ แม่นมเจี่ย เจ้าไปตระกูลซั่งกวนเดี๋ยวนี้ บอกกล่าวเรื่องนี้กับคุณหนู ทั้งต้องรายงานให้ฮูหยินใหญ่ด้วย”

“คุณหนูได้ล่วงเกินฮูหยินใหญ่ ทั้งฮูหยินก็คิดถอยกลับแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก!” แม่นมเจี่ยกล่าวอย่างลังเล เรื่องที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยถูกกระตุ้นโทสะจนกระอักเลือดเป็นลมไป พวกเขาล้วนรู้กันหมดแล้ว ทั้งยังรู้สึกผิดหวังในการกระทำของนางด้วย

“คิดถอยกลับ? นางคิดว่านางอยากจะถอยก็ถอยได้อย่างนั้นรึ?” ทั่วป๋ามู่เย่กล่าวอย่างเรียบเย็น “นางไร้ทางที่จะถอยกลับตั้งนานแล้ว ยามนี้คิดจะถอยมันสายไปแล้ว! เจ้าแค่สนใจบอกกล่าวเรื่องนี้กับนางให้ชัดเจนก็พอ ให้นางได้ตรึกตรองเองก็พอแล้ว”

“เช่นนั้นข้าไปล่ะ!” แม่นมเจี่ยทำได้เพียงรับคำสั่งไป ทั่วป๋ามู่เย่ถอนหายใจ ให้คนเตรียมรถม้าให้เพียงพอแล้วตามหลังไป ส่วนตัวเขานั้นได้ขี่ม้าออกเดินทางนำไปก่อนหนึ่งก้าว ใช้เวลาหนึ่งถ้วยชา[1]ก็มาถึงหน้าหอวีรบุรุษ ทั้งอาศัยจากคนที่มามุ่งดูตั้งใจเปิดทางจึงทำให้มองเห็นคนที่นอนกองอยู่บนพื้นพวกนั้น

ทั่วป๋ามู่เย่สั่นสะท้าน เขารู้ว่าคนพวกนั้นเมื่อตกอยู่ในมือของตระกูลซั่งกวนย่อมไม่อาจได้ผลดีอะไรอยู่แล้ว แต่ก็ยังคงประเมินความโหดเหี้ยมของซั่งกวนเจวี๋ยต่ำไป คาดไม่ถึงว่าตระกูลซั่งกวนจะใช้วิธีที่โหดร้ายมาจัดการกับคนที่สูญเสียวรยุทธ์ไปแล้วเช่นนี้ เขาโผลงจากหลังม้า วาดดาบขึ้นเตรียมจะตัดโซ่นั้นให้ขาด

“ช้าก่อน!” ผู้คุมหวงขัดขวางการกระทำของทั่วป๋ามู่เย่ด้วยใบหน้าขมขื่น คุณชายใหญ่ซั่งกวนกำลังมองอยู่ด้านบน หากไม่มีข่าวของคุณหนูตระกูลทั่วป๋าคนนั้น คนพวกนี้ก็ไม่อาจถูกพาไปไหนได้

“ผู้คุมหวงคิดจะขัดขวางการช่วยคนรึ?” ทั่วป๋ามู่เย่มองผู้คุมหวงอย่างเยือกเย็น เพียงประโยคเดียวก็บีบผู้คุมหวงให้คล้ายเป็นศัตรูกับตระกูลทั่วป๋า

“หากข้าคิดจะขัดขวางไยจะต้องส่งคนไปรายงานพ่อบ้านใหญ่!” แม้ว่าผู้คุมหวงจะก่นร้องอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับมองทั่วป๋ามู่เย่อย่างไม่สะทกสะท้านอันใด เพียงประโยคเรียบง่ายประโยคเดียวก็ทำให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลทั่วป๋าทำลายน้ำใจของเขา

“น้ำใจของผู้คุมหวงข้ารับไว้แล้ว เช่นนั้นขอถามว่าเหตุใดผู้คุมหวงจึงต้องขัดขวางด้วยเล่า?” ทั่วป๋ามู่เย่รู้สึกว่าสายตาของคนที่มามุงดูแปลกประหลาดไปอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเพราะคำพูดของเมิ่งเจียงหนาน หนึ่งในผู้เขียนประพันธ์ของหอยุทธภพอี้สื่อ แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกถึงสายตาที่ทิ่มแทง ทั้งแฝงมาด้วยท่าทีพินิจและดูแคลนอย่างแปลกประหลาด

“คุณชายใหญ่ซั่งกวนกล่าวแล้ว เกิดเรื่องที่ทำให้ผู้คนแตกตื่นหน้าหอวีรบุรษเช่นนี้ จำเป็นจะต้องหาผู้ที่รับผิดชอบออกมาจัดการ ทางที่ดีพ่อบ้านใหญ่รอคนที่สามารถรับผิดชอบเรื่องของตระกูลทั่วป๋าเข้ามาแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย!” ผู้คุมหวงกล่าวด้วยยิ้มขมขื่น “ข้าได้ส่งคนไปเชิญคุณหนูสี่ทั่วป๋าที่ตระกูลซั่งกวนแล้ว พ่อบ้านใหญ่จะอยู่รอต้อนรับคุณหนูสี่ที่นี่ หรือไม่ก็ไปนั่งรอเงียบๆ ในหอวีรบุรุษดีกว่า!”

“ผู้คุมหวงคิดว่าข้าจะสามารถเบิกตามองดูคนของตระกูลทั่วป๋าได้รับบาดเจ็บที่นี่โดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้อย่างนั้นรึ?” ทั่วป๋ามู่เย่สั่นสะท้านอยู่ในใจ คุณชายใหญ่ซั่งกวน ที่แท้เขาก็กลับมาแล้ว คาดไม่ถึงว่าพอเขากลับมาก็โต้กลับตระกูลทั่วป๋าอย่างดุเดือดทันที ไม่มีการบอกกล่าวอันใดแม้แต่น้อย ก็ลงมือตีคนให้รับมือไม่ทัน

“นั่นเป็นเรื่องของพ่อบ้านใหญ่ ข้าเพียงได้รับการไหว้วาน จึงกล่าวเตือนเท่านั้น!” ผู้คุมหวงกล่าวอย่างห่างเหินและพอเป็นพิธี “แต่ว่าคุณชายใหญ่ซั่งกวนกำลังมองดูอยู่ หากพ่อบ้านใหญ่คิดว่ามีความจำเป็นที่ต้องขึ้นไปบนหอวีรบุรุษทักทายคุณชายใหญ่ก็นับเป็นเรื่องของพ่อบ้านใหญ่แล้ว”

อะไรนะ? ทั่วป๋ามู่เย่คล้ายกับถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดินถอยหลังไปสามก้าวโดยทันที ทั้งยิ่งเผยสีหน้าซีดเผือด ผ่านไปค่อนวันจึงกล่าวอย่างขมขื่น “ขอบคุณผู้คุมหวงที่เตือน ในเมื่อคุณชายใหญ่อยู่ที่นี่ ข้าก็ย่อมต้องขึ้นไปทักทายคุณชายใหญ่ก่อน เด็กๆ เอายาไปป้อนให้พวกพี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บก่อน ให้อาการบาดเจ็บของพวกเขาบรรเทาลงบ้าง!”

ไม่รอให้ลูกน้องรับคำสั่ง ทั่วป๋ามู่เย่ก็เดินขึ้นไปบนหอวีรบุรุษคล้ายกับเดินขึ้นไปบนลานประหารก็มิปาน ไม่จำเป็นต้องให้เขาเอ่ยปากถาม ก็มีคนนำทางเขาไปยังโต๊ะที่อยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง ซั่งกวนเจวี๋ยกำลังดื่มด่ำกับน้ำเต้าหูและปาท่องโก๋อย่างสุขสำราญใจเสียกว่ากระไรอยู่

“ข้าน้อย ทั่วป๋ามู่เย่คารวะคุณชายใหญ่ขอรับ!” ทั่วป๋ามู่เย่ประสานมือต่อซั่งกวนเจวี๋ยด้วยความขมขื่นในใจ “อย่างไรขอคุณชายให้อภัยข้าน้อยที่ไม่ได้มาทักทายท่านก่อนด้วย เป็นเพราะข้าน้อยเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับโทษเช่นนั้น จิตใจจึงว้าวุ่น คิดเพียงแต่จะช่วยเหลือคนกลับไปขอรับ”

“ลุงเย่ไม่ต้องเกรงใจ!” ซั่งกวนเจวี๋ยฉีกปาท่องโก๋ในมือเป็นชิ้นพอดีคำอย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะจุ่มลงไปในน้ำเต้าหู้ คล้อยหลังก็ใช้ตะเกียบคีบขึ้นมาใส่ปาก หลังจากกล่าวชมว่า ‘ดี’ ออกมาหนึ่งคำ ก็ค่อยๆ เคี้ยวกินปาท่องโก๋ช้าๆ ก่อนจะดื่มน้ำเต้าหู้ตามโดยไม่เหลือสักหยด เมื่อวางถ้วยลง จึงค่อยประสานสายตากับผู้ที่เผยใบหน้าทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงหน้า “ลุงเย่ ข้าแปลกใจอย่างมากว่า เหตุใดคนของตระกูลทั่วป๋าจึงถูกคนรัดเป็นพวงมาโยนทิ้งไว้ที่นี่? เป็นปีศาจร้ายแห่งหนใดในลี่โจวที่ชอบทรมานคนเพื่อความสนุก หรือว่าพวกเขาไปทำเรื่องที่กระตุ้นโทสะใครเข้า? ไม่รู้ว่าลุงเย่ช่วยชี้แจงให้ข้าหายสงสัยได้หรือไม่?”

ทั่วป๋ามู่เย่แข็งทื่อไปเล็กน้อย กล่าวด้วยยิ้มเจื่อน “อย่างไรขอคุณชายเห็นแก่ความสัมพันธ์ของสองตระกูล ให้ข้าน้อยได้พาคนกลับไปรักษาก่อนนะขอรับ!”

“ดูเหมือนลุงเย่จะร้อนใจ!” ซั่งกวนเจวี๋ยรับชาที่เยี่ยนเซียงถือเข้ามา ดื่มไปหนึ่งคำ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะ “เจ้าก็น่าจะรู้ ครึ่งเดือนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญต้องออกจากจวนไปไกล คาดไม่ถึงว่ามาถึงลี่โจวก็เกิดเรื่องที่น่าตกใจขนาดนี้ขึ้น และทุกเรื่องล้วนเกี่ยวกับตระกูลซั่งกวน เรือนสดับวายุถูกคนที่มีที่มาไม่แน่ชัดลอบโจมตีในยามดึก ตายเจ็บเกลือนกราด แม้แต่ประตูข้าก็ยังไม่อาจก้าวเข้าไปได้อย่างสบายๆ ทั้งภรรยาที่อยู่ในกฎเกณฑ์มาโดยตลอดของข้า จู่ๆ ก็กลายเป็นที่กล่าวขานระหว่างผู้คนว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ชั่วช้า ข้าเองก็กลายเป็นคนที่หลงใหลในความงาม อกกตัญญูไม่รู้คุณ แยกแยะถูกผิดไม่ได้ ไม่รู้ว่าลุงเย่สามารถชี้แจงแถลงไขให้ข้าได้หรือไม่?”

ทั่วป๋ามู่เย่เหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วร่าง ทั่วทั้งแผ่นหลังล้วนเปียกชื้นไปหมด ในยามที่เริ่มเรื่องนี้ขึ้นก็รู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยย่อมไม่อาจวางมือยอมยุติเรื่องราวโดยง่าย แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ออกมาพูดท่ามกลางสาธารณะชนมากมายถึงขนาดนี้ หรือไม่คิดที่จะสนใจมิตรภาพของทั้งสองตระกูลแล้ว?

“ข้าว่าลุงเย่ย่อมกำลังคิดว่าข้าเสียมารยาทไปอยู่บ้าง!” ซั่งกวนเจวี๋ยยกถ้วยชาขึ้นมา เมื่อจ่อไปที่ปากก็วางมันลงอย่างรังเกียจ ยามนี้กลับมาถึงลี่โจวแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องฝืนตัวเองให้กินน้ำชาคุณภาพต่ำที่ฉีกใบชาผสมกับน้ำร้อนเช่นนี้แล้ว เขามองไปที่ทั่วป๋ามู่เย่อย่างเยือกเย็น “ข้าคิดว่าไม่ใช่ข้าที่เสียมารยาท แต่ความอดทนของข้าได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว”

กลุ่มคนพากันกระซิบกระซาบเสียงเบา ล้วนมั่นใจในเรื่องนี้ นั่นก็คือพวกคนที่ถูกมัดเป็นพวงนอนอยู่ด้านอกนั้นก็คือคนที่ลอบโจมตีเรือนสดับวายุในยามวิกาล มิเช่นนั้นคุณชายใหญ่ของตระกูลซั่งกวนจะพูดกับพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลทั่วป๋าเช่นนี้ได้อย่างไร!

แต่ก็โทษไม่ได้! ฟังดูแล้ว แค่ไม่อยู่บ้านครึ่งเดือน ฮูหยินใหญ่ที่มีต้นกำเนิดจากตระกูลทั่วป๋าก็บีบหลานสะใภ้ออกจากตระกูล คนของตระกูลทั่วป๋าก็ยังฉวยโอกาสกลางดึกลอบสังหารคนอีก ผลลัพธ์กลับทำไม่สำเร็จ ก็ปั่นข่าวลือที่น่ารังเกียจออกมาทำลายชื่อเสียงคนอื่น  ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายคนไหนก็คงรับเรื่องเช่นนี้ไม่ไหวกระมัง!

“ขอคุณชายใหญ่ยินยอมให้ข้าน้อยช่วยคนก่อนเถิดขอรับ!” ทั่วป๋ามู่เย่ไม่กล้าพูดอย่างอื่น แม้ว่าคำพูดและการกระทำของซั่งกวนเจวี๋ยจะทำให้ผู้คนนำเรื่องคนด้านนอกหอวีรบุรุษและเรื่องของเรือนสดับวายุปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ขอเพียงแค่ไม่ได้พูดออกมาก็ยังมีทางเลือกที่สามารถรอมชอมกันได้อยู่ เขาจึงไม่อาจพูดอะไร มิเช่นนั้น หากโทษทั้งหมดตัดสินลงมา ตนเองก็ทำได้เพียงตายเพื่อรับโทษสถานเดียว

“รีบร้อนขนาดนั้นเชียว?” ซั่งกวนเจวี๋ยกลับไม่รีบสักนิด ในยามที่เขามาก็กำชับแล้ว รอหลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตื่นค่อยจัดเก็บสิ่งของไปที่เรือนหิมะสุขใจ แล้วเขาจะตามไปที่นั่นภายหลัง ดังนั้นเวลาของเขาจึงมีมากเป็นอย่างยิ่ง

“ขอคุณชายใหญ่เมตตาด้วย!” ทั่วป๋ามู่เย่ขาดเพียงไม่ได้คุกเข่าลงไปเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากคุกเข่า แต่เขากระจ่างใจดี หากเขาคุกเข่าลงไป เรื่องในวันนี้ย่อมไม่อาจจบลงได้โดยง่ายแน่

“ข้าได้ให้ผู้คุมหวงส่งคนไปเชิญคุณหนูทั่วป๋าแล้ว ในยามนี้นางเป็นเจ้านายคนเดียวที่สามารถพูดได้ รอนางเข้ามาค่อยจัดการก็ไม่สาย!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างเรียบเย็น เขาตั้งใจสร้างละครฉากนี้อย่างละเอียดลออ อยากจะให้ทั่วป๋าฉินซินมาเห็นด้วยตาของตนเอง ให้นางรู้ว่าเขาและคนของเขาล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางจะมาคิดวางแผนได้ ทั้งให้นางรู้ว่าเรื่องนี้ต้องใช้เลือดเนื้อเป็นค่าตอบแทน

“คุณชายซั่งกวน!” ยามนี้ผู้คุมหวงตามขึ้นมาอย่างเนิบช้า ประสานมือกล่าว “สหายจงอี้ถังที่ไปจวนท่านกลับมาแล้ว เขากล่าวว่าคุณหนูทั่วป๋าไม่อยากพบแขก คาดว่าคงไม่มาขอรับ!”

“สหายคนนั้นได้เล่าสถานการณ์ที่นี่ให้คุณหนูทั่วป๋าฟังหรือไม่? ไม่ได้พูดหรือว่าสิบสี่ชีวิตของตระกูลทั่วป๋ารอนางให้มาช่วยเหลืออยู่?” ซั่งกวนเจวี๋ยกลับไม่แปลกใจกับผลลัพธ์เช่นนี้ ยามนี้ทั่วป๋าฉินซินคงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแล้วกระมัง! แทบไม่ต้องพูดเลยว่า นางคล้ายกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยเป็นอย่างมาก โง่เขลาเหมือนกัน เห็นแก่ตัวเหมือนกัน โหดเหี้ยมเหมือนกัน เมื่อพบเจอกับเรื่องก็ทำได้เพียงหลีกหนีเช่นเดียวกัน

“บอกแล้วขอรับ! แต่ว่าไม่มีการตอบกลับอันใด พูดแต่ว่าคุณหนูทั่วป๋าไม่รับแขก ทั้งไม่อาจออกจากจวนขอรับ!” ผู้คุมหวงกล่าวอย่างเรียบง่าย

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกคนด้านล่างนั้นก็รบกวนลุงเย่จัดการด้วยเถิด!” ซั่งกวนเจวี๋ยสั่นศีรษะ “เพียงแค่ไม่รู้ว่ายามนี้สภาพจิตใจของพวกเขาจะมีความรวดร้าวถึงขนาดไหน!”

“ขอบคุณคุณชายขอรับ!” ทั่วป๋ามู่เย่ไม่กล้ารับบทสนทนาต่อ ยิ่งไม่กล้ามากความ ก็ลงไปจัดการเรื่องราวทันที และคนด้านล่างหอวีรบุรุษพวกนั้นก็มีความประทับใจที่ไม่ดีต่อคุณหนูทั่วป๋าที่ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาเป็นอย่างมาก

“จุๆ…นี่คือคุณหนูตระกูลทั่วป๋าอย่างนั้นรึ ผู้ใต้บังคับบัญชายอมตายเพื่อนาง แต่แค่จะมอง นางกลับไม่ยินดีที่จะมาชายตามองสักนิด ช่างทำให้คนรู้สึกสะเทือนใจจริงๆ!” หนึ่งในนั้นถอนหายใจกล่าว

“นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ? ตัวเองเป็นคุณหนูผู้สูงส่ง พวกลูกน้องนับว่าเป็นชีวิตต่ำต้อยเท่านั้น ข้าว่าในยามนี้คุณหนูคนนั้นอาจจะก่นด่าคนพวกนี้อยู่ว่าทำไมไม่ตายๆ ให้สิ้นเรื่องไป มีชีวิตอยู่กลับทำให้นางเสียหน้ามากกว่า!” คนที่สองกล่าวอย่างมองเรื่องทะลุปรุโปร่ง “ในสายตาของพวกเขา ลูกน้องก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น ในยามที่ต้องใช้ก็เอามาใช้งาน ในยามที่ไม่ได้ใช้ก็ทิ้งไว้ด้านหลัง ส่วนยามที่ใช้การไม่ถนัดก็ทำลายทิ้งไป ชีวิตคนนับว่าเป็นสิ่งใดล่ะ!”

“คุณหนูเช่นนี้ยังนับว่าเป็นคนได้อยู่รึ?” มีคนกล่าวอย่างโมโหโกรธา

“นับได้ว่าเป็นคนหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าสามารถพูดได้ อย่างไรพวกเราแค่รอดูละครน้ำดีก็พอ!” คนที่สองกล่าวอย่างเรียบนิ่ง ใช่แล้ว พวกเขาเป็นเพียงคนที่ดูละครเท่านั้น อย่างอื่นอย่าได้ปากมากจะดีกว่า

“พวกเราก็ควรไปได้แล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยหยัดกายขึ้นอย่างมั่นคง ละครของเขาได้จบลงแล้ว ต่อไปก็คงต้องรอดูจากคนอื่นๆ แล้ว…

———————————

[1] เวลาหนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราประมาณว่า 10 – 15 นาที

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset