เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 218 หลังจากเปรียบเทียบเรือนดูแล้ว…

“ฮ่าวเอ๋อร์ เหตุใดจึงให้ค่าตกแต่งเรือนของอวี่ไข่แค่สามหมื่นตำลึง?” ตั้งแต่เช้าตรู่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ไปเที่ยวชมเรือนที่แบ่งให้อวี่ไข่ รู้สึกว่าค่อนข้างไม่เลว พื้นที่กว้างขวาง ทั้งมีความงดงามและทันสมัย แต่ข้อบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวก็คือเครื่องตกแต่งหรูหรานั้นแทบไม่มี พอถาม ก็รู้ว่าซั่งกวนฮ่าวเพียงเจียดเงินให้เขาแค่สามหมื่นตำลึง

เวลานั้นก็คิดว่าพอแล้ว…รวมกับมูลค่าร้านค้า ที่ดินทั้งยังเรือนหลังนี้ ทั้งหมดทั้งมวลก็สองแสนตำลึงแล้ว แม้สำหรับตระกูลใหญ่ สิ่งของพวกนี้จะนับว่าน้อยไปบ้าง แต่อวี่ไข่ก็เป็นลูกอนุภรรยา ได้รับส่วนแบ่งขนาดนี้ก็ถือว่ามากแล้ว ดังนั้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่รู้สึกพอใจแล้วก็ ‘ถือโอกาส’ เป็นห่วงสถานการณ์ด้านอวี่ฮ่าวเช่นกัน ทว่าเมื่อได้ดูแล้ว กลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา พอกลับมาตระกูลซั่งกวนก็มุ่งไปยังห้องหนังสือของซั่งกวนฮ่าวทันที

“ท่านแม่เชิญนั่งก่อน!” ซั่งกวนฮ่าวเชิญทั่วป๋าซู่เยวี่ยนั่งลงอย่างใจเย็น กล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ดูเอาเถิด ตรงนี้คือรายการส่วนแบ่งทรัพย์สินทั้งหมดของอวี่ไข่ ประมาณดู ทั้งหมดก็ราวๆ หนึ่งแสนเก้าหมื่นสี่พันตำลึง แต่ไหนแต่ไรตระกูลซั่งกวนก็ไม่เคยมีลูกอนุภรรยาที่ได้ทรัพย์สินมากมายถึงเพียงนี้ แต่เพราะอวี่ไข่แต่งกับคุณหนูลูกภรรยาเอกตระกูลทั่วป๋า จำต้องเชิดหน้าชูตา ไม่อาจจะทำให้น่าเกลียดได้ ดังนั้นข้าและพวกผู้ดูแลจึงปรึกษาและตัดสินใจกันว่า ให้ไปมากมายขนาดนี้ ทั้งเรือนแห่งนั้นเพิ่งสร้างได้ไม่ถึงห้าปี การดูแลรักษาก็ดีเช่นกัน ข้าคิดว่าหากจะปรับปรุงเติมแต่ง เงินหมื่นสองหมื่นตำลึงก็คงเพียงพอแล้ว ดังนั้นจึงให้ไปสามหมื่นตำลึง”

“เช่นนั้นแล้วอวี่ฮ่าวเล่า?” ที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่พอใจก็คือสิ่งของที่เห็นในเรือนของอวี่ฮ่าว ในห้องโถงล้วนเปล่งประกายไปด้วยปะการังสามฉื่ออย่างสวยงาม หินอ่อนกั้นผนังห้องที่เป็นรูปทิวทัศน์แม่น้ำและภูเขา ล้วนแต่ทำให้บ้านหลังนั้นดูหรูหราเหนือชั้นขึ้นมา เรือนภายในนั้นน้อยไปอยู่บ้าง มีเพียงสี่ห้าเรือน แต่กลับงดงามประณีต ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนสวยงามยิ่งนัก

“อวี่ฮ่าวก็พอๆ กับอวี่ไข่เช่นกัน บ้านร้านค้าและที่ดินรวมแล้วก็ประมาณหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพันตำลึง ไม่อาจจะน้อยกว่าอวี่ไข่มากเกินไปได้ ดังนั้นลูกจึงให้เงินเขาห้าหมื่นตำลึง นับรวมกันก็เป็นเงินสองแสนหนึ่งหมื่นแปดพันตำลึง น้อยกว่าอวี่ไข่ไปหกพันตำลึง คนที่อวี่ฮ่าวแต่งด้วยนั้นไม่เพียงแต่เป็นคุณหนูลูกภรรยาเอก แต่ยังเป็นลูกสาวภรรยาเอกคนโตเสียด้วย แม้จะกล่าวว่าไม่มีความจำเป็นต้องนำมาเทียบกับอวี่ไข่ แต่ก็ไม่อาจจะน้อยเกินไปได้ ต่างกันไม่เกินหนึ่งหมื่นตำลึงก็ถือว่ากำลังดีแล้ว” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวอธิบาย

“เงินห้าหมื่นตำลึงก็สามารถซื้อปะการังสามฉื่อ หินอ่อนกั้นผนังห้องที่สูงห้าฉื่อ กว้างแปดฉื่อ ทั้งตกแต่งบ้านอย่างประณีตสวยงามได้ทุกซอกทุกมุมด้วยหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่เชื่อแม้แต่น้อย แค่ปะการังและฉากกั้นห้องนั้น ไม่มีเงินสี่หมื่นตำลึงก็ซื้อไม่ได้แล้ว จุดนี้นางยังคงรู้ดี

“ปะการัง? หินอ่อนกั้นผนัง?” ซั่งกวนฮ่าวเผยสีหน้างุนงง “นี่มันเรื่องอะไร? ไฉนข้าจึงไม่รู้สักนิด!”

“เจ้าไม่รู้?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยขึ้นเสียงสูง ปักใจว่าซั่งกวนฮ่าวกำลังจะทำกับนางอย่างขอไปทีเท่านั้น “หรือพวกลูกๆ กำลังตกแต่งเรือนใหม่ของตัวเอง เจ้าก็ไม่คิดสนใจเลยอย่างนั้นหรือ?”

“ท่านแม่ ข้าไหนเลยจะมีเวลามากมายมายุ่งเรื่องของพวกเขา!” ซั่งกวนฮ่าวถอนหายใจ กล่าวด้วยความจนใจ “ช่วงปลายปีของทุกปีมีภาระยุ่งมากขนาดไหนท่านน่าจะรู้ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นอวี่ไข่อวี่ฮ่าวก็เป็นคนที่กำลังจะแต่งงาน กำหนดงานมงคลของพวกเขาก็ใกล้เข้ามาถึงแล้ว ปีนี้เป็นปีที่ยุ่งที่สุดปีหนึ่งของตระกูลซั่งกวน ข้าไหนเลยจะมีเวลาไปยุ่งเรื่องเล็กๆ พวกนี้? อีกอย่าง บ้านเรือนก็เป็นพวกเขาที่เลือกเอง และก็เป็นที่ที่พวกเขาอยู่เอง จะปรับปรุงตกแต่งอย่างไรพวกเขาดูกันเอาเองก็พอ แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องให้ข้าไปยุ่งด้วยตัวเองหรอกกระมัง?”

“ความแตกต่างของสองคนนั้นจะมากเกินไปหน่อยแล้ว ข้าไม่สน ย่อมต้องให้อวี่ไข่ได้รับของที่ดีเช่นกัน!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่สนใจคำอธิบายของซั่งกวนฮ่าว นางตั้งใจวิ่งโร่มาไม่ใช่เพราะมาฟังคำอธิบาย แต่ต้องการได้คำตอบจากซั่งกวนฮ่าวต่างหาก

“ไม่ได้!” ซั่งกวนฮ่าวตอบปฏิเสธอย่างตรงๆ คำขอของทั่วป๋าซู่เยวี่ยเดิมทีก็ไม่อยู่ในส่วนแบ่งของตัวเอง ทั้งนิสัยของนาง หากได้ตกปากรับคำครั้งหนึ่ง ก็อาจมีครั้งที่สองเป็นแน่ ไม่อาจจะผ่อนปรนให้นางซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้

“เจ้ามันลูกอกตัญญู…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงร่ำไห้ พร่ำกล่าวอย่างโศกเศร้า “ข้าลำบากลำบนเลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ขนาดนี้ พอถึงยามแก่เฒ่า แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เจ้าก็ยอมให้ข้าไม่ได้…”

“ใครอยู่ด้านนอก ไปเรียกอวี่ไข่และอวี่ฮ่าวเข้ามา!” ซั่งกวนฮ่าวรู้ว่าหากทั่วป๋าซู่เยวี่ยอยู่ที่นี่ เขาก็คงไม่ได้ทำอะไรแล้ว ทั้งยังไม่อาจทำได้ด้วย ถอนหายใจ ก่อนจะตะโกนเสียงดัง

“เจ้าจะเรียกอวี่ไข่เข้ามาทำไม? มีเจ้าเป็นพ่อวางมาดอยู่เช่นนี้ จะให้เขามาพูดว่าไม่ขาดอะไร ไม่อยากได้อะไรอย่างนั้นหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยหยุดเสียงร้องเศร้าสร้อย เบิกตากว้าง อวี่ไข่นั้นได้บอกแล้วว่าเขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น แต่เป็นนางเองที่ทนดูไม่ได้ จึงเข้ามาขอให้ซั่งวนฮ่าวปฏิบัติด้วยความเป็นธรรม

“ข้าอยากจะถามพวกเขาว่าใช้จ่ายเงินอย่างไร เหตุใดจึงสามารถซื้อของหรูหราขนาดนั้นได้ และทำไมอีกฝ่ายจึงไม่มี ถามให้ชัดเจนแล้วก็จะให้คำตอบท่านได้!” ซั่งกวนฮ่าวกล่าวอย่างเรียบเย็น แม้จะมีความรักความผูกพันมากกว่านี้ แต่หลายปีที่ผ่านมาก็ถูกการกระทำของทั่วป๋าซู๋เยวี่ยทำลายจนมลายหายสิ้นไปจนหมด ยังคงเป็นความผิดของเขาเอง มักจะคิดว่าหลังจากนางแต่งให้พ่อแล้วก็แทบไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ เท่าไร ทำให้คนพวกนี้เอาแต่ตามอกตามใจทั้งยังอดทนอดกลั้นต่อนาง ผลลัพธ์จึงทำให้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอึ้งไป นี่ยังไม่ใช่ผลลัพธ์ที่นางต้องการ ไม่ได้อยากจะจับผิดอวี่ฮ่าว เพียงแค่อยากให้อวี่ไข่ได้ประโยชน์มากหน่อยก็เท่านั้น แต่ว่า…เห็นใบหน้าของซั่งกวนฮ่าวค่อยๆ มืดมนลงมา นางจึงยังคงตัดสินใจกลืนคำพูดลงคอ การใช้ชีวิตในวัดประจำตระกูลยังคงเด่นชัดในความทรงจำ ทั้งยังทำให้นางหวาดกลัวและกังวลอยู่บ้าง

“อวี่ฮ่าว ลองพูดมาสิว่ายามนี้เจ้าเสียเงินตกแต่งเรือนไปเท่าใดแล้ว?” ซั่งกวนฮ่าวเห็นลูกอนุภรรยาทั้งสองคนเข้ามา ไม่พูดพร่ำอันใดก็กล่าวถามตรงๆ ทันที

“ตอบท่านพ่อ ใช้ไปทั้งหมดประมาณหนึ่งหมื่นแปดพันตำลึง อีกทั้งเดิมทีก็ได้ตกแต่งจนเกือบเสร็จแล้ว รอหลังจากปีใหม่ขัดถูทำความสะอาดเสียหน่อยก็ใช้ได้แล้ว!” เดิมทีอวี่ฮ่าวก็ไม่ได้คิดจะใช้เงินก้อนนั้นมาสิ้นเปลืองกับการประดับบ้านเรือน เขาและชิงหวั่นได้วางแผนดีแล้ว ยามที่เพิ่งแต่งงานปีสองปีนี้ ฉวยโอกาสที่พวกเขายังหนุ่มยังสาว ไม่มีภาระอันใดที่บ้าน ออกท่องเที่ยวไปทั่ว และนั่นก็จำเป็นต้องนำเงินก้อนใหญ่มาใช้

“อวี่ไข่ เจ้าล่ะ?” ซั่งกวนฮ่าวรู้สึกว่าใช้ได้ เปลี่ยนมาถามอวี่ไข่ที่เผยสีหน้าสับสนทันที

“สองหมื่นแปดพันตำลึง!” อวี่ไข่คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะเสียเงินไปมากขนาดนั้น แต่รู้ว่าจำนวนพวกนี้อย่างไรก็ปิดไม่ได้อยู่แล้ว จึงตอบไปตามความจริง

“เจ้าโกหก!” ครานี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยถลึงตามองอวี่ฮ่าว เผยท่าทีราวกับ ‘ข้าจับข้อผิดพลาดเจ้าได้แล้ว’ กล่าวอย่างเยือกเย็น “ผู้หลักผู้ใหญ่ถามยังกล้าปิดบังพูดจาเหลวไหล ตกลงเจ้าเสียเงินไปเท่าใดกันแน่?”

“อวี่ฮ่าวไม่กล้าพูดเหลวไหล” อวี่ฮ่าวไม่ลนลานแม้แต่น้อย “จำนวนจริงๆ คือหนึ่งหมื่นเจ็ดพันหกร้อยห้าสิบตำลึง เพียงแต่วันนี้เหมือนจะยังจ่ายออกไปอีกหนึ่งร้อยกว่าตำลึง ดังนั้นจึงได้พูดประมาณจำนวนออกไป”

“เช่นนั้นข้าถามเจ้า ปะการังสูงสามฉื่อในห้องโถงนั้นเสียไปเท่าใดกัน?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองอวี่ฮ่าวอย่างเย็นเยียบ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ดูสิว่าเขาจะพูดอย่างไร!

“ปะการังอันนั้นเป็นของที่ท่านแม่มอบให้!” อวี่ฮ่าวกล่าวด้วยท่าทีปกติ เขารู้ว่าพวกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อวางแผนอะไรอยู่ ทั้ง กล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ท่านแม่กล่าวว่าตั้งแต่เด็กอวี่ฮ่าวก็รู้จักกตัญญู ยามนี้ได้โตเป็นผู้ใหญ่ จะก่อร่างสร้างตัวแล้ว ก็ไม่มีของดีๆ อะไรจะให้ จึงตั้งใจซื้อปะการังสามฉื่อให้วางไว้ในห้องโถง ทั้งเพื่อไว้หน้าให้อวี่ไข่ ท่านแม่ยังกล่าวว่า ปะการังนั้นใช้เงินส่วนตัวของนางซื้อ ไม่ได้ใช้เงินส่วนกลางแม้แต่น้อย อวี่ฮ่าวจะได้ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ!”

“ยามนี้ท่านแม่กระจ่างแล้วหรือยัง?” ซั่งกวนฮ่าวนั้นรู้ถึงการกระทำเล็กๆ ของพวกภรรยาคร่าวๆ แล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจ พวกนางก็เพียงเล่นสนุกกันเท่านั้น

“เช่นนั้นหินอ่อนกั้นผนังห้องเล่า? เป็นของขวัญที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อให้เจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยข่มกลั้นความโมโหไว้ ใช้เงินส่วนตัวซื้อ? หรือก็ต้องการให้ตัวนางใช้เงินส่วนตัวซื้อของพวกนั้นให้อวี่ไข่ด้วยเช่นนั้นหรือ?

“ย่อมไม่ใช่!” อวี่ไข่กล่าวด้วยท่าทีเช่นเคย “ของสิ่งนั้นเป็นตระกูลมู่หรงที่ส่งเข้ามาสองวันก่อน กล่าวว่าเป็นสินเดิมเจ้าสาวชิ้นหนึ่งของชิงหวั่น ของมีขนาดใหญ่ จึงรีบเอามาจัดวางให้เร็วหน่อย ป้องกันเผื่อหาที่วางที่เหมาะสมไม่ได้เท่านั้น”

สินเดิมเจ้าสาว? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคลายโทสะลงแล้ว นางรู้ว่าทั่วป๋าเชียนเย่าไม่อาจเตรียมสินเดิมของเจ้าสาวให้ทั่วป๋าฉินซินมากมายได้หรอก คนที่ทั่วป๋าฉินซินแต่งด้วยไม่ใช่ซั่งกวนเจวี๋ย ตระกูลทั่วป๋าย่อมไม่อาจให้สินเจ้าสาวมากมายเพื่อไว้หน้าทั่วป๋าฉินซินหรอก อีกทั้งเป็นไปได้อย่างมากว่า สินเดิมบางส่วนที่ทั่วป๋าฉินซินเคยเตรียมไว้ก่อนหน้านี้นานแล้ว ก็ถูกยึดไว้ ไม่ให้พวกมันหลุดออกไปอยู่ในมือลูกเขยที่เดิมทีก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด

อวี่ไข่คาดไม่ถึงว่าจะได้คำตอบแบบนี้ ใบหน้ามืดมนเล็กน้อย แม้จะกล่าวว่าผู้ที่ทั้งสองคนแต่งด้วยจะเป็นลูกคุณหนูภรรยาเอกตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นลูกคุณหนูที่ชื่อเสียงเสื่อมเสีย แต่ทั่วป๋าฉินซินก็สู้มู่หรงชิงหวั่นไม่ได้อยู่ดี รวมทั้งทั่วป๋าฉินซินนั้นแต่งงานกับตนเองเพราะไม่มีทางเลือก แต่มู่หรงชิงหวั่นและอวี่ฮ่าวกลับมีความรู้สึกดีต่อกันทั้งสองฝ่าย ตัวเองคิดจะเทียบเคียงกับอวี่ฮ่าวแทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

“ท่านแม่ยังมีอะไรที่ไม่ชัดเจนอีกบ้าง?” ซั่งกวนฮ่าวเผยยิ้มเล็กน้อย เขาก็รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ มู่หรงฉวีกุยรักและเอ็นดูลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก ย่อมไม่อาจให้ชิงหวั่นเทียบเคียงกับทั่วป๋าฉินซินที่แต่งเข้ามาในตระกูลซั่งกวนวันเดียวกันได้อยู่แล้ว…นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาจัดงานแต่งงานลูกทั้งสองคนในวันเดียวกัน ท้ายที่สุดผู้ที่ได้ประโยชน์ก็ยังคงเป็นตระกูลซั่งกวน

“ยามนี้ข้ากระจ่างใจแล้ว!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกับถูกคนตบเข้าที่หน้าฉาดใหญ่ ใบหน้าแสบร้อน แดงก่ำขึ้นมา “ยังคงเป็นอวี่ฮ่าวที่วาสนาดี ไม่เพียงแต่มีมารดาที่เอ็นดู แต่ยังเป็นที่รักของฝ่ายพ่อตาด้วย อวี่ไข่ พวกเราไปกันเถิด!”

———————–

“ท่านย่า ล้วนต้องโทษข้าที่ไร้ประโยชน์ ทำให้ท่านลำบากใจ!” ยามนี้อวี่ไข่ก็คับแค้นอยู่ในใจ เหตุใดเขาจึงไม่คว้าโอกาสเป็นฝ่ายผูกความสัมพันธ์กับมู่หรงชิงหวั่นก่อน? พูดถึงเรื่องความงาม มู่หรงชิงหวั่นก็เปรียบดั่งจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า ส่วนทั่วป๋าฉินซินกลับเป็นเพียงหิ่งห้อยที่เริงระบำอยู่บนพื้นดิน พูดถึงเรื่องชาติตระกูล ล้วนแต่เป็นหญิงสาวที่สูงส่ง แต่ในตระกูลใหญ่ทั้งหมด ตระกูลทั่วป๋าก็เป็นตระกูลที่รั้งท้ายมาโดยตลอด ไม่ว่าจะตระกูลใดก็สูงส่งกว่าตระกูลทั่วป๋าทั้งนั้น และยามนี้ เห็นได้ชัดว่าทั่วป๋าฉินซินเป็นลูกที่ไม่อาจละทิ้งได้ของตระกูลทั่วป๋า แต่มู่หรงชิงหวั่นกลับยังคงเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระ กูลมู่หรง…ดังนั้นกล่าวได้ว่า ไม่อาจจะนำคนมาเปรียบเทียบกันได้!

“นี่จะโทษเจ้าได้อย่างไร ล้วนเป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบ ไม่ได้ถามให้ชัดเจนก็หุนหันพลันแล่นเข้ามา!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้สึกเสียหน้า กล่าวอย่างโกรธเคือง “เอาเช่นนี้เถิด ปะการังห้าฉื่อในห้องข้าทิ้งไว้อย่างนั้นก็เสียเปล่า ก็ถือเป็นของขวัญที่ย่าให้เจ้าแล้วกัน พรุ่งนี้เช้าตรู่ก็ย้ายเข้าไปเสีย ดูว่าวางตรงจุดไหนดีก็จัดวางที่นั่นแหละ!”

ในยามที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพูดประโยคนี้ก็เจ็บปวดในใจ แต่ว่า…นึกถึงเครื่องเรือนทางนั้นของอวี่ฮ่าว หันกลับมามองของอวี่ไข่ ก็นับว่าไม่มีของอะไรให้เชิดหน้าชูตาได้จริงๆ ไม่อาจจะทำให้เป็นที่ขบขันของผู้อื่นได้!

“จะได้อย่างไรกัน?” ในใจของอวี่ไข่นั้นมีความสุขเสียยิ่งกว่ากระไร แต่ก็ยังคงปฏิเสธอย่างเกรงใจ “นั่นเป็นของสำคัญของท่านย่า ข้าจะแย่งชิงของรักของท่านย่ามาได้อย่างไร?”

“ของทั้งหมดของย่าล้วนทิ้งไว้ให้เจ้าอยู่แล้ว จะให้เร็วหรือช้าก็ย่อมเหมือนกัน อย่าได้ทำให้เสียหน้าเลย!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ย กล่าวเป็นฉากหน้าออกไป ทั้งปลอบตัวเองด้วยเช่นกัน

“เช่นนั้น…” อวี่ไข่แสร้งกล่าวอย่างลำบากใจ “ก็จัดวางมันในตรงที่ท่านย่าจะไปอยู่ในภายหลังแล้วกัน อย่างไรก็เป็นของท่านย่า เพียงแค่เปลี่ยนที่วางเท่านั้น”

“ไม่ได้ จะวางก็วางไว้ที่ห้องโถง ของดีไม่ควรจะเอาไปซ่อนไว้ วางให้ผู้คนได้ชื่นชมจึงจะถูก!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมาถึงยามนี้ก็พูดได้อย่างคล่องปากแล้ว

“เข้าใจแล้ว ล้วนเอาตามที่ท่านว่า!” อวี่ไข่นั้นนับว่าอยากได้แต่ก็ทำเป็นเกรงใจ ทว่าในใจกลับดีใจและตื่นเต้นจนแทบไม่ต้องพูด ปะการังห้าฉื่อ เงินหนึ่งหมื่นตำลึงก็ยังซื้อไม่ได้เลย!

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset