เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 132 เปลี่ยนแผนไม่ทัน

“พี่ ผมอยากทานเนื้อตุ๋น” เสี่ยวอี้พิงอยู่ข้างตู้เก็บความเย็น มือเล็กๆพูดแล้วชี้ไปยังเนื้อที่หั่นเป็นชิ้นเรียบร้อยแล้วด้านใน
“เนื้อตุ๋นเหรอ? แต่ว่าพี่สาวทำไม่อร่อยเท่าที่ร้านนะ” ไป๋มู่ชิงตอบอย่างลำบากใจ
“ไม่เป็นไรฮะ ผมชอบทานฝีมือพี่สาว”
“เสี่ยวอี้! ” จูฮุ่ยพูดแทรกขึ้นมาอย่างโมโห:“คุณหมอเพิ่งจะพูดไว้ว่ายังไง? ให้เธอกินอาหารอ่อนๆ”
จูฮุ่ยตำหนิเสี่ยวอี้เสร็จ ก็หันไปตำหนิไป๋มู่ชิงต่อ:“เธอก็เหมือนกัน รู้ว่าไม่กี่วันมานี้อาการป่วยของเสี่ยวอี้ยังไม่คงที่ก็ยังจะพาเขามาที่ห้างเดินเล่นไปเรื่อย”
ถูกแม่ดุแบบนี้ เสี่ยวอี้กับไป๋มู่ชิงก็มองตากัน ต่างคนต่างทำหน้าตลก แล้วหันกลับเดินออกไปจากตู้เก็บความเย็น
พอไป๋มู่ชิงหันกลับ ก็เห็นว่าไป๋ยิ่งอันปรากฏอยู่ตรงหน้าตนเองเธอก็รู้สึกแปลกใจ
ในมือของไป๋ยิ่งอันเข็นรถเข็นสำหรับช๊อปปิ้งอยู่ ในรถเข็นมีวัตถุดิบในการทำอาหารหลายอย่าง เขาออกมาซื้อกับข้าวเป็นด้วย? น่าจะเป็นครั้งแรกล่ะมั้ง
ไป๋มู่ชิงไม่ได้สนใจเขา จูงมือของเสี่ยวอี้:“เสี่ยวอี้ พวกเราไปเดินเล่นฝั่งนั้นกัน”
ไป๋ยิ่งอันเข็นรถมาที่ด้านหน้าเธอ ขวางทางที่เธอจะไป สายตาที่อมยิ้มนั้นสังเกตเธออยู่:“เดินเล่นอย่างสบายใจเหรอ ไม่คิดว่าเธอจะมีเวลาออกมาเดินเล่นกับคนอื่นเขาด้วย”
ไป๋มู่ชิงมองที่เขา พูดออกมาเบาๆ:“เธอก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
ไป๋ยิ่งอันยักไหล่:“ฉันจะเหมือนกันได้ยังไง? ฉันเป็นคนว่างงานที่ไม่มีงานอะไรต้องทำ แต่เธอไม่เหมือนกัน อีกไม่กี่วันก็ต้องแต่งงานกับหลินอันหนานแล้ว เวลานี้ไม่ใช่ว่ายุ่งจนวุ่นหรอกเหรอ?”
จูฮุ่ยเหมือนกับว่าถูกแม่ลูกตระกูลไป๋ขู่ทำให้หวาดกลัวมาแล้ว พอเห็นไป๋ยิ่งอันก็เดินอ้อมไป รีบช่วยไป๋มู่ชิงพูดตรงหน้า:“เรื่องแต่งงานมีตระกูลหลินเขาจัดการอยู่ฝ่ายเดียว พวกเราไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ นี่ยิ่งอัน เธอก็เดินช๊อปปิ้งไปละกันนะ พวกเราต้องกลับก่อนแล้ว”
“คุณน้า อย่าเพิ่งรีบกลับก่อนสิคะ” ไป๋ยิ่งอันยิ้ม:”วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันออกมาซื้อกับข้าว เดินมาครึ่งวันแล้วไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี ไม่สู้ให้พวกเธอมาช่วยคิดสักหน่อยดีไหม?”
“จริงสิ พวกเธอคงยังไม่รู้สินะ? ฉันกับคุณชายเฉินย้ายไปอยู่ที่ชายเขาด้วยกันสองคนแล้ว วันนี้ตอนเย็นฉันว่าจะกลับไปทำอาหารค่ำใต้แสงเทียน แต่ฉันไม่รู้ว่าอาหารค่ำใต้แสงเทียนเนี่ยต้องเตรียมอะไรบ้าง”
ชายเขา เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าตระกูลหนานกงมีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่ชายเขา และยังเป็นหลังที่ดีที่สุดในที่นั่นด้วย มิน่าล่ะไป๋ยิ่งอันถึงได้ยิ้มได้อย่างมีความสุขขนาดนี้
เธอขยับริมฝีปาก:”ขอโทษนะ ฉันก็ไม่เคยทำอาหารค่ำใต้แสงเทียน เลยไม่รู้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง” พูดจบ เธอก็จูงเสี่ยวอี้อ้อมทางเขาไป
หลังจากเดินผ่านร่างของไป๋ยิ่งอัน เสี่ยวอี้หันกลับไปปะทะกับเขาแล้วทำหน้าตลกใส่:”คนไม่ดี! ”
“เสี่ยวอี้! ” จูฮุ่ยตบที่หัวของเขาเพื่อเตือนให้ระวัง
เดินออกมาจากห้าง หลังจากกลับมาที่รถ จูฮุ่ยก็ทนไม่ไหวถามออกมา:”มู่ชิง เมื่อกี้เธอก็ได้ยินที่คุณหมอพูด บอกว่าการผ่าตัดของเสี่ยวอี้ต้องรีบทำให้เร็วที่สุด ไม่งั้นนานวันเข้าก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”
“หนูรู้” ไป๋มู่ชิงลูบหัวเสี่ยวอี้:”หนูจะคิดวางแผนดีๆ”
“ช่วงนี้เธอก็ยุ่งเรื่องงานแต่งของตัวเอง แล้วยังมีเวลามาห่วงน้องชายเธออีกเหรอ?” จูฮุ่ยพูดอย่างไม่สบายใจ เธอเคยพูดไว้นานแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็ได้พูดออกมาในสิ่งที่อัดอั้น
ไป๋มู่ชิงมองแม่อย่างแปลกใจนิดหน่อย แล้วพูด:”แม่ พวกเราไม่ได้คุยกันดีแล้วเหรอ รอเสร็จงานแต่งงานของหนูกับอันหนาน ก็จะไปผ่าตัดเป็นเพื่อนเสี่ยวอี้”
“สรุปงานแต่งสำคัญหรือว่าชีวิตของน้องชายสำคัญกันแน่? วันนี้เมื่อเช้าน้องชายเธอก็เป็นลมอีก เธอยังมีกะจิตกะใจจัดงานแต่ง?” จูฮุ่ยน้ำเสียงหนักแน่น
ไป๋มู่ชิงเหมือนจะไม่มีความผิด แต่ก็กอดเสี่ยวอี้อย่างละอายใจ:”แน่นอนว่าชีวิตของเสี่ยวอี้สำคัญสิ แต่การผ่าตัดก็ต้องนัดล่วงหน้า อันหนานเขานัดไว้แล้ว หลังจากสองสัปดาห์ก็สามารถผ่าตัดได้เลย”
“สองสัปดาห์? งั้นเธอก็หมายความว่าหลังพวกเธอแต่งงานเสร็จแล้ว ยังต้องไปฮันนีมูนอีกครึ่งเดือน ถึงจะกลับมาจัดการเรื่องเสี่ยวอี้? นี่เธอไม่เป็นห่วงเลยเหรอว่าระหว่างที่รอพวกเธอฮันนีมูน เสี่ยวอี้อาจจะตายที่นี่ก็ได้?”
“แม่……”
“พอแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” เสี่ยวอี้พูดแทรกระหว่างคนสองคนที่ขัดแย้งกัน มือเล็กๆนั้นจับที่แขนของจูฮุ่ยโยกไปมา:”แม่ แม่อย่าไปโทษพี่เลย พี่รักผมที่สุดแล้ว ไม่มีทางที่จะไม่ห่วงผม”
พูดจบก็มาพูดปลอบใจไป๋มู่ชิงต่อ:”พี่ฮะ พี่อย่าโมโหไปเลยนะ แม่แค่เป็นห่วงผม”
ไป๋มู่ชิงมองน้องชายตัวเอง ถอนหายใจเบาๆ:”แม่ เพื่อแม่กับน้อง หนูได้ลิ้มรสถึงความเจ็บปวดของชีวิตแล้ว ถ้าแม่ยังรู้สึกว่าไม่พอ งั้นงานนี้หนูไม่แต่งแล้วโอเคไหม? พรุ่งนี้พวกเราก็พาเสี่ยวอี้ไปรอเวลาผ่าตัดที่โรงพยาบาล”
“ฉัน……” ท่าทางของจูฮุ่ยก็เบาลง ใบหน้ามีความรู้สึกผิด:”มู่ชิง ขอโทษ ฉันพูดพวกนี้ออกไปก็เพราะเป็นห่วงอาการป่วยของเสี่ยวอี้เกินไป เธออย่าเอามาใส่ใจเลย”
ได้ยินคำขอโทษของเขา ไป๋มู่ชิงยิ้มเจื่อนๆ:”หนูชินตั้งนานแล้ว ยังไงซะในใจของแม่ก็มีแต่เสี่ยวอี้ แต่ว่าแม่วางใจได้ ในใจหนูเสี่ยวอี้สำคัญที่สุด หนูกับแม่ต่างก็เป็นห่วงอาการป่วยของเขาเหมือนกัน”
ในใจเธอก็สำคัญเหมือนกับเสี่ยวอี้ รวมถึงลูกสาวที่ขาดการติดต่อของเธอด้วย
นึกถึงลูกสาวที่น่าสงสารของตัวเองแล้ว เบ้าตาของไป๋มู่ชิงก็เริ่มร้อนอย่างอดไม่ได้
หลังจากจัดการทำความสะอาดเสร็จแล้ว ไป๋ยิ่งอันก็สังเกตฉากอบอุ่นโรแมนติกอย่างละเอียด รู้สึกว่าแสงไฟยังอบอุ่นไม่พอ ก็เลยหันไฟข้างๆปรับให้มืดลงนิดนึง
ดอกไม้สด ไวน์ อาหารตะวันตกชั้นเลิศ……แล้วยังมีไวโอลินที่ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความโรแมนติก ไม่จำเป็นต้องดื่มเหล้า ไป๋ยิ่งอันก็ถูกมอมเมาไปก่อนแล้ว
ได้ยินเสียงรถที่หน้าประตู ไป๋ยิ่งอันดีใจ เปิดมุ้งลวดเพื่อดูด้านนอก เป็นหนานกงเฉินที่กลับมาจริงๆด้วย
เธอให้สัญญาณมือนักไวโอลินกับพ่อครัว แล้วเธอก็วิ่งไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ประตูรถเบนซ์ถูกคนเปิดออก คนผิวดำคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ออกมากจากที่นั่งคนขับ ไป๋ยิ่งอันนิ่งอึ้งไป กลับเห็นว่าคนผิวดำเดินไปส่วนเบาะหลังแล้วเปิดประตูออก พูดภาษาจีนไม่ค่อยคล่องออกมาหนึ่งประโยค:”คุณชายเฉิน ถึงแล้วครับ”
หนานกงเฉินก้าวออกมาจากเบาะหลัง ใบหน้าของไป๋ยิ่งอันก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ไปกอดแขนต้อนรับ:”คุณชายใหญ่ คุณกลับมาได้ทันเวลาพอดี”
“คุณหญิงลงครัวครั้งแรก ผมจะเมินเฉยได้ยังไง?” หนานกงเฉินยื่นมือไปจับหลังมือของเธออย่างอ่อนโยน ยิ้มอย่างสบายๆ
“ไปกันเถอะ ฉันจะให้คุณดูเซอร์ไพร์สที่ฉันเตรียมไว้สำหรับคืนนี้เป็นพิเศษ” ไป๋ยิ่งอันจับมือของหนานกงเฉินเดินไปในห้อง ขณะที่ผ่านคนผิวดำคนนั้น เธอมองเขาอย่างไม่รู้ตัว แล้วถามหนานกงเฉินที่อยู่ข้างๆอย่างเสียงเบา:”เขาคือใครเหรอคะ?”
“คนขับรถที่บริษัทเชิญมาใหม่” หนานกงเฉินอมยิ้มตอบ
“ทำไมต้องเชิญคนผิวดำขนาดนี้ล่ะ มองแล้วทำให้คนตกใจกลัว”
“คนผิวดำร่างกายแข็งแรงทำงานได้ดี” หนานกงเฉินใช้มือจับหน้าเธอ:”ไว้ภายหลังเดี๋ยวเธอเข้าใจเอง”
“พอแล้ว แค่คุณรู้สึกว่าดีก็พอแล้ว ยังไงซะเขาก็ขับรถให้คุณ” ไป๋ยิ่งอันพูด เขาไม่สนใจเรื่องเล็กๆพวกนี้หรอก
หนานกงเฉินกวาดสายตาดูรอบๆห้องอาหารที่ถูกไป๋ยิ่งอันตกแต่งให้บรรยากาศอบอุ่นโรแมนติก เอียงข้างไปยิ้มให้เธอเบาๆ:”ผมนึกว่าคุณจะทำอาหารจีนซะอีก ไม่คิดว่าจะเป็นอาหารตะวันตก”
“ตอนแรกฉันก็อยากจะทำอาหารจีนค่ะ หลังจากนั้นพอคิดถึงอาหารตะวันตกก็ยิ่งอยากจะทำมากกว่า ยังไงก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันทำอาหารให้คุณ ก็ต้องทำให้คุณติดใจจนลืมไม่ลงหน่อยสิ” ไป๋ยิ่งอันเข้าไปโอบกอดใกล้ๆร่างกายของเขา หยอดคำหวานในอ้อมกอดเขาแล้วยิ้มเบาๆ:”ทำไมคะ? ไม่ชอบเหรอ?”
“แน่นอนว่าชอบ” หนานกงเฉินพยักหน้า ก้มหน้าไปจูบที่ขมับของเธอ:”พวกเราเข้าไปนั่งได้แล้วหรือยัง?”
“ได้แน่นอนค่ะ” ไป๋ยิ่งอันลากเขาไปนั่งที่โต๊ะอาหารทรงยาว ตัวเองนั้นก็นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา รินไวน์บนโต๊ะ:”มื้อค่ำของคืนนี้ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ทำคนเดียว แต่ทุกขั้นตอนในการทำก็มีฝีมือฉันด้วยนะคะ รวมถึงไวน์นี่ก็เป็นไวน์ที่ฉันเลือกมาจากโรงเหล้าของพ่อฉันด้วยตัวเองเลยนะ ลองชิมดูรสชาติเป็นยังไง?”
“ได้สิ” หนานกงเฉินยกแก้วไวน์ขึ้นแกว่งเบาๆ เขาดื่มไปอึกนึงค่อยๆผ่านลำคอไป แล้วพยักหน้าทันที:”ไม่เลว รสชาติถูกปากมาก”
“จริงเหรอคะ? งั้นคุณก็อย่าลืมดื่มเยอะๆนะ คืนนี้พวกเราไม่เมาไม่เลิก” ไป๋ยิ่งอันยิ้มตาหยีพูด
“โอเคครับ” หนานกงเฉินเห็นด้วย
อาหารมื้อค่ำชั้นเลิศค่อยๆถูกทยอยส่งขึ้นมา ทุกอย่างล้วนมีฝีมือที่ละเอียดและงดงาม หลังจากที่ไป๋ยิ่งอันเห็นว่าหนานกงเฉินตัดชิ้นเนื้อตุ๋นเอาเข้าไปปากไปแล้วก็ถามขึ้น:”อร่อยไหมคะ?”
“ไม่เลว คุณก็ทานด้วยสิ” หนานกงเฉินพยักหน้า พร้อมกับตัดเนื้ออีกชิ้นส่งให้เธอที่อยู่ตรงหน้า ไป๋ยิ่งอันอ้างปากรับเข้าไป หลังจากทานเนื้อตุ๋นเสร็จก็ยิ้มตาหยี:”นี่เป็นวัตถุดิบที่ฉันเลือกมาทำด้วยตัวเองเลยนะ”
“อืม เพื่อตอบแทนที่คุณเหนื่อยกับการเตรียมอาหารมื้อนี้ ผมดื่มให้คุณหนึ่งแก้ว” หนานกงเฉินยกแก้วไวน์ขึ้นแกว่งแก้วเบาๆ
ไป๋ยิ่งอันอดใจรอไม่ไหว อยากจะให้เขาเมาซะเหลือเกิน เธอยกแก้วไวน์ขึ้นชนแก้วกับเขาอย่างไม่ปฏิเสธ หลังจากนั้นอ้าปากจิบหนึ่งคำ
ในบรรยากาศที่มีเสียงดนตรีคลอ มื้อค่ำของทั้งสองคนดำเนินการได้อย่างโรแมนติกและอบอุ่น ถึงขนาดว่าไป๋ยิ่งอันเป็นฝ่ายเชิญหนานกงเฉินมาเต้นรำด้วยกัน และหนานกงเฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
ในใจไป๋ยิ่งอันรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ พอเพลงจบ ไป๋ยิ่งอันที่หยุดเต้นรำเอนร่างไปพิงในอ้อมกอดของหนานกงเฉินอย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็เอาไวน์ที่เคาท์เตอร์บริการเครื่องดื่มที่ถูกเตรียมพร้อมไว้แล้วส่งให้ข้างๆปากของหนานกงเฉิน ต้องการที่จะป้อนเขา
หนานกงเฉินก้มลงมองไวน์ในมือเธอ ดื่มไวน์ในแก้วหมดไปครึ่งนึงอย่างไม่เกรงกลัว แล้วเอาครึ่งนึงที่เหลือไปที่ข้างๆปากเธอ กระซิบข้างหูด้วยเสียงยั่วยวน:”ที่รัก ให้ผมดื่มคนเดียวจะไปสนุกอะไรล่ะ? พวกเราดื่มด้วยกัน……”
ลมหายใจของเขารดอยู่ที่ข้างๆหูของไป๋ยิ่งอัน มือเท้าทั้งสี่ข้างไม่มีกำลังและชาไม่นานก็มาถึงร่างกายของไป๋ยิ่งอัน เธอเหมือนกับคนที่ถูกสะกดจิต อ้าปากดื่มไวน์แก้วที่เหลือเข้าไปอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
หนานกงเฉินเอาแก้วไวน์วางไว้บนโต๊ะ ถามข้างๆหูเธอด้วยเสียงนุ่มนวล:“อยากทานอย่างอื่นอีกไหม?”
“ได้สิคะ” ไป๋ยิ่งอันยิ้มตอบเขา ทั้งสองคนกลับไปยังที่นั่ง
ไป๋ยิ่งอันมองข้ามผ่านแสงเทียนไปยังหนานกงเฉินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ใต้แสงเทียน ใบหน้าของเขาด้านข้างอีกครึ่งซ่อนอยู่ในเงามืด มองแล้วเป็นสามมิติและเซ็กซี่มีสเน่ห์ได้มากกว่าแสงไฟปกติเสียอีก
ไม่รู้ว่าถูกความหล่อของเขาดึงดูด หรือเพราะว่าไวน์ครึ่งแก้วเมื่อกี้ เธอถึงมีความคิดที่จะโผตัวเข้าไปหา ใจร้อนอยากจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเขาจนตายกันไปข้างหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ไวน์แก้วนั้นคือแก้วที่เธอเตรียมไว้ อีกทั้งใส่ลงไปในปริมาณมากด้วย เพราะกลัวว่าหนานกงเฉินจะมองออก ก็เลยรอสถานการณ์จนกว่าเขาจะเริ่มเมาและไม่คิดจะป้องกันถึงจะให้เขาดื่ม
ถึงแม้ว่าดื่มไปแค่ครึ่งแก้ว เธอคิดว่าคืนนี้เขาก็คงหนีไม่พ้นแล้ว
คืนนี้ เขาต้องกลายเป็นของเธอ!
พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็ทนไม่ไหวยิ้มออกมา
“เป็นอะไร? มีเรื่องอะไรถึงดีใจขนาดนั้น?” สายตาของหนานกงเฉินทะลุผ่านแสงเทียนมา อ่อนโยนอย่างกับน้ำ
“ไม่มีอะไรนี่คะ ฉันดีใจที่ได้ทานอาหารมื้อค่ำใต้แสงเทียนกับคุณชายใหญ่” ไป๋ยิ่งอันยืนขึ้นจากเก้าอี้ เดินอ้อมไปหาหนานกงเฉินด้านหน้า หลังจากที่นั่งลงบนขาของเขา ก็เอามือคล้องไปที่คอของเขาต่อ จูบไปริมฝีปากของเขา:“คุณชายใหญ่ ต่อไปพวกเราทำอะไรกันดีคะ?”
เธอรู้สึกได้ถึงร่างกายของตัวเองเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด เริ่มร้อนรุ่มทีละหน่อย เธอเชื่อว่าหนานกงเฉินก็กำลังเริ่มเปลี่ยนไปเหมือนกับเธอ เพราะเขากับเธอก็ดื่มปริมาณเท่ากัน
“คุณอยากทำอะไร?” หนานกงเฉินยกมือข้างหนึ่ง ลูบไล้ไปที่บริเวณเข็มขัดของกระโปรงชุดนอนเธอ
ปลายนิ้วปาดเบาๆ ชุดนอนผ้าไหมหลุดลงจากหัวไหล่ของเธอ ทันใดนั้นรูปร่างที่เซ็กซี่ยั่วยวนก็เผยให้เห็นอยู่ตรงหน้าเขา
สิ่งที่เธอใส่อยู่ด้านใน คือเสื้อตัวเล็กๆที่วันนั้นเธอตั้งใจไปซื้อที่หัวม่าวเป็นพิเศษ ตั้งไว้ในห้องอยู่หลายวัน วันนี้ในที่สุดเธอก็ได้เอามันออกมาใช้แล้ว
หนานกงเฉินมองร่างกายที่ยั่วยวนของเธอนั้น ริมฝีปากเฉียดผ่านแก้มของเธอแล้วพูดเสียงต่ำอย่างอบอุ่นข้างๆหูเธอว่า:“วันนี้ไม่ง่ายเลยที่จะหาเวลาออกมาอยู่กับคุณ คุณคิดไว้หรือยังว่าจะตอบแทนผมยังไง?”
“คุณคิดว่าฉันจะตอบแทนยังไงล่ะคะ” ไป๋ยิ่งอันออดอ้อนในอ้อมกอดของเขา ความกระหายภายในร่างกายยิ่งนานเข้าก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“คุณต้องให้คุณอยู่กับผมทั้งคืน! ”
“ได้สิคะ……” ไป๋ยิ่งอันพยักหน้าเกือบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว เธออยากได้กลับไม่ได้!
“งั้นอีกสักพักพวกเราจะเล่นแบบไหนดี? ที่นี่เหรอ? ห้องรับแขก? บนเตียง? หรือห้องน้ำ? หรือว่า……”
“ฉันต้องการทุกที่” ไป๋ยิ่งอันเอาร่างของตัวเองมาแนบชิดกับเขา ยิ้มอย่างออดอ้อน
หนานกงเฉินเผลอยิ้มออกมา:“ผมคงไม่แข็งแรงขนาดนั้น”
ไป๋ยิ่งอันกลับยกมือสองข้างประคองหน้าของเขาไว้ จูบบนริมฝีปากของเขา:“ไหวสิคะ ฉันมั่นใจว่าคุณไหว คุณชายเฉิน” พูดจบ เธอจะก้มหน้าจูบให้ลึกซึ้งขึ้น หนานกงเฉินกลับเอนหน้าไปด้านข้าง แล้วรีบอุ้มเธอในท่านอนเดินเข้าห้องนอนไป
เขาไม่ได้เปิดไฟ หลังจากวางไป๋ยิ่งอันลงบนเตียงอย่างเบามือ เขาก็กัดเบาๆที่ข้างหูของเธอ:“ที่รัก เป็นเด็กดีรอผมเดี๋ยวเดียวนะ”
แสงไฟจากห้องรับแขกส่องเข้ามา ส่องมาที่หน้าของทั้งสองคนอย่างลางๆ ไป๋ยิ่งอันพยักหน้า ภายในร่างกายของเธอร้อนรุ่มปกคลุมเกือบจะทั้งร่าง รู้สึกได้ถึงอวัยวะทั่วร่างกายเธออ่อนปวกเปียกไปหมดแล้ว
หลังจากหนานกงเฉินออกมา เธอขดตัวออดอ้อนอยู่บนเตียลำพัง ปากก็พร่ำเรียกหา:“คุณชายเฉิน……ฉันคิดถึงคุณ คุณรีบกลับมาหน่อยสิ……เฉิน……”
จนถึงประตูห้องนอนถูกเปิดใหม่ แล้วถูกปิดลงอีกครั้ง เธออยากได้จนสติหายไปหมดแล้ว
เธอลุกขึ้นมาจากบนเตียง กระเสือกกระสนโถมตัวไปทางที่เขาอยู่ พุ่งตรงไปยังอ้อมแขนของเขา ร่างกายกำยำ ผู้ชายที่เปลือยกายตรงหน้าเธอนี้มีความดึงดูดร้ายแรงยิ่งนัก
ช่วงเวลาต่อมา เธอก็ถูกต้อนไปถึงมุมกำแพง ขณะเดียวกันปากและร่างกายก็ถูกควบคุมไปเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนหลังของเธอถูกออกแรงไปชนกับกำแพงที่หนาวเย็น
แต่ทว่า เธอกลับชอบ
หนานกงเฉินขับรถออกมาจากเขตชายเขาตามลำพัง รถถูกขับอย่างไม่เร็ว เพราะว่าไม่มีจุดหมายปลายทาง
ขมับของเขามีเหงื่อไหลออกมา ภายในร่างกายร้อนระอุ ขนาดเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำที่สุดก็ไม่สามารถขับไล่มันออกไปได้ เขาหายใจเข้าออกลึกๆ ลดระดับของกระจกในรถทุกบาน
ในระยะเวลาสั้นๆภายในรถก็ถูกลมเย็นๆจากทั้งสี่ด้านมาแทนที่ โดนเสื้อผ้าและเส้นผมของเขาอย่างรุนแรง แต่ทว่า ก็ไม่สามารถทำไมให้อุณหภูมิในร่างกายเขาลดลงได้เลย
เขาใจร้อนอยู่ไม่เป็นสุขแล้วสบถคำออกมาเยอะขึ้น ในใจคิดว่าผู้หญิงคนนั้นใส่ปริมาณลงไปในแก้วไวน์มากแค่ไหนกันแน่ นี่แค่ครึ่งแก้วยังทำให้เขาทนไม่ไหวได้ขนาดนี้ ถ้าเขาดื่มหมดแก้ว คาดว่าประตูของบ้านพักตากอากาศก็คงเดินออกมาไม่พ้น
อีกอย่างอุณหภูมิในร่างกายก็ยิ่งมากขึ้นทุกที ไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลยสักนิด
เขาใช้เท้าเบรกรถให้หยุดที่ข้างถนน นิ้วมือเรียวยาวบีบพวงมาลัยรถแน่น
ผู้หญิงน่าเกลียด!
และเวลานี้ ไป๋ยิ่งอันที่ดื่มอีกครึ่งเหมือนกับเขานั้นได้ปลดปล่อยจนถึงที่สุดและอิ่มอกอิ่มใจแล้ว
ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังทำอย่างที่เธอปรารถนาไว้จริงๆ จากห้องนอนถึงห้องรับแขก ห้องอาหารต่อด้วยห้องน้ำ ตอนนี้ก็เปลี่ยนสถานที่มาเป็นบนเตียงใหญ่ ไป๋ยิ่งอันเริ่มขอให้ไว้ชีวิต
“เฉิน หยุดก่อนได้ไหม!” ไป๋ยิ่งอันพูดขอร้องอ้อนวอน ผู้ชายที่อยู่ด้านหลังนั้นกลับไม่คิดจะหยุด
เทียบกับตอนเริ่มแรกที่เซลล์ทั้งร่างกายถูกกระตุ้นใจร้อนอยากจะทำ ครั้งนี้เธอเริ่มขับไล่ความรู้สึกนี้แล้ว
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ผ่านไปราวสองชั่วโมงเต็ม จู่ๆเธอก็ไม่ระวัง ขมับของเธอไปชนกับสวิตช์ไฟบนกำแพง
แสงไฟส่องสว่างขึ้น ตามด้วยสว่างจ้าไปทั้งห้องนอน
ขณะที่เธอเปิดตา แล้วพบว่าตนเองกำลังกอดร่างกายที่ดำปี๋อยู่ ตกใจร้องเสียงแหลม ขณะเดียวกันก็ผลักผู้ชายที่อยู่ในอ้อมกอดออกไป ร่างล้มไปด้านหลัง
“นาย……!” ไป๋ยิ่งอันสับสนมึนงง จ้องผู้ชายผิวดำคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน ทำไมถึงเป็นเขา? เกิดอะไรขึ้น?
ผู้ชายคนนี้กลับไม่ใช่หนานกงเฉิน!แต่เป็นคนตรงหน้าคนนี้……คนผิวดำที่ดำปี๋เหรอ?
จ้องผู้ชายตรงหน้าคนนี้ที่เจอกันเพียงแค่ครั้งเดียว สีหน้าของไป๋ยิ่งอันเริ่มซีด ผู้ชายคนนี้……เธอจำได้ คนขับรถที่หนานกงเฉินเพิ่งจะเชิญมาไม่ใช่เหรอ?
แต่ทำไมเป็นเขาล่ะ? ทำไม?
หนานกงเฉินล่ะอยู่ที่ไหน? คนที่อุ้มเธอเข้ามาในห้องนอน วางลงบนเตียงเป็นหนานกงเฉินนี่ ทำไมถึง……?
ไป๋ยิ่งอันจ้องเขาครู่ใหญ่ ถึงจะพูดเสียงสั่นออกไปหนึ่งคำ:“นาย……”
“Hi ผมชื่อหลัวเซิน” พี่ชายคนผิวดำเผยรอยยิ้มกว้างให้เธอ กวาดสายตาแล้วชมรูปร่างที่เพอร์เฟคของเธอ:“คุณหนูไป๋ไม่เพียงแต่รูปร่างดี ฝีมือนับว่าดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยเจอมาเลย คราวหลังพวกเรามาเล่นกันบ่อยๆได้ไหม?”
“นาย……คนเลว!ออกไป!” ไป๋ยิ่งอันเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองนั้นเปลือยอยู่ ก็เลยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งตัว ร้องตะโกนอย่างโกรธแค้นเขา:“ทำไมเป็นนาย? หนานกงเฉินล่ะ? เขาอยู่ที่ไหน?”
“คุณชายเฉินบริษัทเขามีงานด่วนก็เลยออกไปแล้ว ให้ผมมาบอกคุณหนูไป๋สักดำ ใครจะไปรู้คุณหนูไป๋……” หลัวเซินยักไหล่ไปทางเธอ ใบหน้าไม่มีความละอายใจอยู่เลย:“คุณหนูไป๋เข้ามากอดผมก่อนนะ ถ้าผมปฏิเสธไปอย่างนี้ ผมก็ดูไร้น้ำยาหรือเปล่า?”
“นาย……นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?” ไป๋ยิ่งอันโกรธจนอยากจะถีบเขาลงจากเตียง แต่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์ ต้องนั่งต่อบนเตียง
หลัวเซินส่ายหน้า:“ผู้หญิงของคุณชายเฉินเยอะเกิน ผมไม่สามารถรู้จักทุกคนหรอก”
“ฉันเป็นภรรยาของเขา!นายรู้ไหมว่าเมื่อกี้นายเพิ่งทำอะไรลงไป? ถ้าคุณชายดฉินรู้ว่านายทำอะไรภรรยาเขาล่ะก็ เขาต้องลงโทษนายจนถึงที่สุดแน่ ยังไม่รีบออกไปอีก?” ไป๋ยิ่งอันโกรธจนบ้าคลั่งแล้ว
หลัวเซินกลับยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยักไหล่ด้วยความเคยชิน:“วันนั้นมีคุณหนูแซ่เหอก็พูดเหมือนกันว่าเป็นภรรยาของคุณชายเฉิน แต่คุณหนูเหอเปรียบเทียบกับคุณหนูไป๋แล้วยังห่างกันมาก ผมชอบคุณหนูไป๋มากกว่านิดหน่อย”
หลัวเซินพูดอยู่ก็ฉุดผ้าห่มบนตัวไป๋ยิ่งอันทิ้งไปแล้วดึงเธอจากมุมเตียงออกมา
ไป๋ยิ่งอันตกใจ ร้องเสียงแหลมต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต
เธอทั้งโกรธทั้งกลัว ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกทำให้ตกใจหรือทำให้โกรธ น้ำตาก็ไหลลงมา เธอไม่เคยคิดเลยว่าเดิมทีค่ำคืนที่แสนงดงาม จะกลายมาเป็นแบบนี้
เธอปิดตา กัดฟัน น้ำตาก็ไหลเพิ่มมากขึ้น
ไป๋มู่ชิงดูเวลาบนกำแพง พูดกับหลินอันหนานที่กำลังเล่นไฟฟ้าเป็นเพื่อนเสี่ยวอี้:“อันหนาน นี่ก็ดึกแล้ว คุณควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องทำงานนะ”
หลินอันหนานวางด้านจับไฟฟ้าลง มองยิ้มมาที่เธอ:“ทำไม? ไล่ผมแล้วเหรอ?”
“นี่มันก็สิบโมงแล้ว ไล่คุณไปเป็นเรื่องปกติ” ไป๋มู่ชิงดึงให้เขาลุกจากพื้น ดันเขาให้เดินไปยังประตูด้านนอก:“ต่อให้คุณไม่อยากพักผ่อน เสี่ยวอี้ก็ควรต้องนอนแล้ว”
“พี่ พี่ให้พี่เขยอยู่เป็นเพื่อนผมอีกหน่อยสิ” เสี่ยวอี้ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วประท้วง
“ไม่ได้ คุณหมอบอกว่าเธอต้องรีบนอนถึงจะดีต่อร่างกาย” ไป๋มู่ชิงพูด
หลินอันหนานเดินมา ลูบหัวของเสี่ยวอี้:“ใช่แล้ว พี่สาวพูดถูก นายควรรีบนอน พรุ่งนี้พี่เขยจะมาเล่นเป็นเพื่อนอีกโอเคไหม?”
“งั้นก็ได้”
“งั้นพี่เขยไปก่อนนะ”
“ลาก่อนฮะพี่เขย”
ไป๋มู่ชิงส่งหลินอันหนานที่หน้าลิฟต์ ลิฟต์มาแล้ว หลังจากที่หลินอันหนานใช้มือข้างนึงกดแป้นควบคุม อีกข้างนึงโอบรอบเอวของไป๋มู่ชิงเข้ามาในอ้อมกอด ก้มหน้าจูบที่หน้าผากของเธอ ยิ้มบางๆ:“’งั้นผมไปก่อนนะ คุณรีบนอนล่ะ”
“โอเคค่ะ เดินทางปลอดภัยนะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
“ผมทำได้อยู่แล้ว”
“รีบเข้าไปเถอะ” ไป๋มู่ชิงใช้กรามชี้ไปทางประตูลิฟต์ที่ถูกเปิดออกกว้าง
หลินอันหนานปล่อยเธอแล้วเดินเข้าลิฟต์ไป ขณะที่ลิฟต์ลื่นตรงไปยังชั้นหนึ่ง เขาเห็นหนานกงเฉินใช้มือข้างนึงดันกำแพงอีกข้างนึงดึงคอเสื้อของเสื้อเชิ้ตมีกระดุมพอดี บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ
หลินอันหนานไม่คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่ หลังจากที่นิ่งอึ้งไปก็สังเกตเขาอย่างละเอียด แล้วถามอย่างมีมารยาท:“พี่? พี่ไม่เป็นอะไรนะ?”
หนานกงเฉินเหลือบตาขึ้นมองเขา สายตามีความตกใจเหมือนกัน พยายามยิ้มให้เขา:“ฉันไม่เป็นไร”
หลังจากนั้น เขาก็เดินก้าวไปข้างหน้าเข้าลิฟต์ไป ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดเข้าหากัน
หลินอันหนานใจลอยอยู่ที่โถงลิฟต์สักพัก ถึงจะก้าวเท้าเดินออกไป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจอกับหนานกงเฉินหรือเปล่า พอหลินอันหนานกลับมาถึงที่รถก็รู้สึกกระวนกระวายใจ หลังจากที่เขาไตร่ตรองอยู่สักพักก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปที่เบอร์ของไป๋มู่ชิง
ขณะที่มีโทรศัพท์เข้ามา ไป๋มู่ชิงปีนขึ้นเตียงเตรียมจะนอนพอดี เธอดูโทรศัพท์รู้สึกงงนิดหน่อย:“อันหนาน มีอะไรเหรอ? คุณกลับไปหรือยัง?”
“ผมอยู่บนรถ อยากดูว่าตอนนี้คุณกำลังทำอะไร” หลินอันหนานถือโทรศัพท์พูด
“ฉันจะทำอะไรล่ะ? เตรียมตัวนอนไง”
“อยู่บนเตียงหรือยัง?”
“เพิ่งจะปีนขึ้นมาเมื่อกี้” ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วรีบพูดต่อ:“พอแล้ว ตั้งใจขับรถของคุณไปเถอะ”
“งั้น……พอผมถึงบ้านแล้วจะโทรหาคุณนะ”
“โอเคค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า แล้ววางโทรศัพท์
เธอเพิ่งเอามือถือวางกลับไปบนเตียง มือถือก็ดังขึ้นอีก เธอดึงผ้าห่มไปด้วยยื่นมือกดปุ่มรับสายไปด้วย:“คุณชายใหญ่ของฉัน คุณมีอะไรอีกคะ?”
แต่ทว่า มือถือกลับไม่มีเสียงของหลินอันหนาน มีแค่เสียงหอบหายใจลางๆ ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้ง วางผ้าห่มในมือลง ถามอย่างลังเล:“ฮัลโหล……คุณเป็นใครคะ?”
“ยังไงซะก็ไม่ใช่คนที่เธอคนที่เธอรอคอยหรอก” น้ำเสียงเย็นชาของหนานกงเฉินดังมาจากปลายสายจากโทรศัพท์
ไป๋มู่ชิงมึนงงอีกครั้ง รีบเอาโทรศัพท์มาดู ด้านบนเป็นเบอร์โทรของหนานกงเฉินจริงๆด้วย ไม่รอให้เธอได้พูดอะไร เสียงของหนานกงเฉินก็ดังขึ้นอีก:“เปิดประตู ออกมา”
น้ำเสียงเย็นชานั้นยังคงทำให้คนตกใจกลัว
ไป๋มู่ชิงอ้าปาก รีบพูด:“คุณชายเฉิน……มีธุระอะไรหรือเปล่า? ฉันนอนแล้ว”
ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมเขาถึงโทรหาเธอ? แล้วยังให้เธอออกไปอีก? ไป๋มู่ชิงคิดไม่ออกจริงๆ อีกไม่กี่วันเธอก็ต้องแต่งงานแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสที่มากเกินไปของทั้งสองฝ่าย หลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเธอก็ไม่สามารถออกไปได้
“คือว่า……คืนนี้คู่หมั้นฉันอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นฉันไม่สามารถออกไปเจอคุณได้” ไป๋มู่ชิงตั้งใจทำเสียงให้ต่ำลง ในใจคิดว่าตนเองพูดแบบนี้แล้ว หนานกงเฉินก็คงรู้สถานการณ์ดีว่าควรทำอย่างไรนะ?
ใครจะไปรู้หนานกงเฉินกลับพูดน้ำเสียงเย็นชา:“งั้นก็ให้คู่หมั้นเธอออกมาช่วยด้วยกันเลย ช่วยฉันเรียกหมอที”
“เรียกหมอ? คุณชายเฉินเป็นอะไร?” ไป๋มู่ชิงตกใจ
“ล้มป่วยน่ะ”
“คุณล้มป่วย?” ไป๋มู่ชิงท่าทางตกใจ เขาเนี่ยนะล้มป่วย? มิน่าล่ะหอบหายใจรุนแรงขนาดนั้น
สติทั้งหมดจู่ๆก็แตกกระเจิง เธอตัดสินใจออกไปข้างนอกแม้เพียงวินาทีเดียวก็ไม่มีลังเล แน่นอนว่าขณะที่เธอดึงประตูให้เปิดนั้น ก็เห็นเสื้อเชิ้ตของหนานกงเฉินไม่เรียบร้อย เหงื่อหยดตรงที่เขายืนพิง ท่าทางเจ็บปวดไม่น้อยเลย
เธอรีบพยุงร่างกายเขา สังเกตเขาไปด้วยรีบถามไปด้วย:“คุณชายเฉิน ยาของคุณล่ะ? ได้พกยาหรือเปล่า?”
ไม่รอให้หนานกงเฉินได้พูดอะไร เธอก็หันไปทางห้องเขา กดรหัสที่ประตูห้องแล้วเข้าไป แต่เขาก็ไม่รอให้วิ่งเข้านอน ข้อมือของเธอก็ถูกดึงมามัดรวบ ร่างเธอล้มไปในอ้อมกอดของเขา
“อะ!” ไป๋มู่ชิงร้องเสียงต่ำ ต่อมาก็ถูกเขาจูบอย่างร้อนแรง ขณะเดียวกันร่างกายของเธอก็ถูกดันไปชนบนตู้รองเท้า
ระหว่างริมฝีปากและฟัน ลมหายใจที่รุนแรงของเขาทำให้ได้กลิ่นหอมของไวน์ที่ส่งมายังเธอ
เธอตกใจอึ้ง นี่เขาทำอะไร? เมาจนบ้าคลั่งเหรอ?
ไม่นานเธอก็ได้สติคืนมา หลังจากนั้นก็ดิ้นรนออกมาตามสัญชาตณาณ:“คุณชายเฉิน คุณดูให้ชัด……ฉัน……ฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณ……”
เพราะว่าเตรียมตัวจะนอน ตัวเธอนั้นนอกจากชุดกระโปรงนอนผ้าฝ้ายแล้ว เสื้อผ้าอย่างอื่นเธอก็ไม่ได้ใส่
แต่ทว่าสิ่งที่เธอไม่รู้คือ คำพูดประโยคที่ตนเองพูดไปเมื่อกี้ไปกระตุ้นความรู้สึกของเขา รวมถึงเพิ่มความโมโหในร่างกายเขาให้รุนแรงขึ้น
ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ่ง หลังจากนั้นก็หยุดดิ้น ครู่ใหญ่ถึงทุบตีเขาที่ไหล่ด้วยความโกรธ:“หนานกงเฉินกำลังทำอะไรกันแน่? คุณมันไร้ยางอาย!ไม่มีศักดิ์ศรี!ขนาดภรรยาน้อยของตัวเองยังทำแบบนี้ได้!คุณปล่อยเลยนะ……!”
เพราะไวน์แก้วนั้นปริมาณความร้อนในร่างหนานกงเฉินเพิ่มขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทนมาหลายชั่วโมงแล้ว ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้ปลดปล่อย เขาจะปล่อยเธอไปได้ยังไง?
เธอพูดว่าเขาไร้ยางอาย? คนหลอกลวงอย่างเธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าเขาไร้ยางอาย?
พอนึกถึงสิ่งที่เธอทำไว้ก่อนหน้านี้ นึกถึงสิ่งที่เธอปั่นหัวเขาหลอกลวงเขา เขาก็ไม่สามารถทำตัวเองให้สงบลงได้ เขาหนานกงเฉินทั้งชีวิตมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ถูกผู้หญิงสองคนปั่นหัวจนยุ่งเหยิง!
เขาไม่เพียงแต่ไม่ปล่อย ถึงขนาดบ้าคลั่งกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็หัวเราะเยาะข้างๆหูเธอ:“ตอนแรกเธอวิ่งมาหาฉันที่ห้องดึกๆดื่นๆ ตอนถลกเสื้อผ้าออกยั่วฉัน ทำไมไม่คิดบ้างว่าตัวเองเป็นภรรยาน้อยของฉัน?”
“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก
เธอผิดไปแล้ว เธอไม่ควรวิ่งออกมากลางดึกเพราะเป็นห่วงอาการป่วยเขาตั้งแต่แรก แล้วยังเมื่อกี้นี้อีก พอได้ยินว่าเขาล้มป่วยเธอไม่ควรขาดสติแล้ววิ่งออกมาแบบนี้
เธอดิ้นออกจากเขาไม่หลุด อีกทั้งผู้ชายที่เมารัดแน่นขนาดนั้นอีก
ในตอนที่เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไง มือถือเธอก็ดังขึ้น
เมื่อกี้ตอนเธอออกมาจากห้อง เธอได้ซ่อนมือถือใส่ในกระเป๋ากระโปรงชุดนอนมาด้วย เธอคลำหามือถือไปทั่ว กลับเอาไม่ออก
หนานกงเฉินเห็นแล้วก็ทนไม่ไหว หยิบมือถือของเธอขึ้นมาจากด้านในกระเป๋าเสื้อ ตอนเขาเห็นหน้าจอมือถือปรากฏชื่อสองคำขึ้นมา‘สามี’ ก็โกรธจนเกือบเป็นลม
ในความสงสัยนั้น ไป๋มู่ชิงรีบหยิบมือถือมา เวลานี้กลับคิดว่าควรจะรับหรือไม่รับดี เมื่อกี้หลินอันหนานโทรมาถามเธอว่านอนหรือยัง ตอนนี้คิดว่าคงเป็นเพราะเจอกับหนานกงเฉินด้านล่าง ก็เลยโทรมาถามเธอเพราะไม่สบายใจ
ถ้าเธอไม่รับโทรศัพท์ตอนนี้ หลินอันหนานโทรมาไม่หยุดอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นอาจจะต้องวิ่งกลับมา ถ้ารับ……จะให้เธอรับยังไง?
“คุณชายเฉิน……ให้ฉันรับโทรศัพท์ก่อนได้ไหม……” เธอพูดอ้อนวอนเขา
“เธอจะบอกเขา ว่าเธอแอบคบชู้กับคนข้างห้องเหรอ?” หนานกงเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น แล้วดึงเธอลงมาจากตู้รองเท้า โยนไปบนโซฟา หลังจากนั้นก็ตามไป
ในตอนนี้ มือถือของไป๋มู่ชิงถูกทำหล่นลงไปแล้ว
มือถือที่หล่นอยู่ที่พื้นดังมาตลอด น่าเสียดายที่เธอหยิบไม่ถึง ความจริงหยิบได้ก็ไม่มีประโยชน์ เธอรับสายไม่ได้ ตอนนี้เธอถูกเขาบังคับขนาดหายใจยังไม่ค่อยจะทัน แล้วจะรับโทรศัพท์ยังไง?
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นหลายรอบ ไป๋มู่ชิงหยุดดิ้นและยอมแพ้ ให้หนานกงเฉินที่อยู่บนร่างเธอระบายอารมณ์ใส่เธอได้อย่างเต็มที่ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นอยู่บนเตียงได้ยังไง รู้แค่ไม่ง่ายเลยกว่าทุกอย่างจะนิ่งลง เธอลืมตา พบว่าตัวเองนั้นอยู่บนเตียงใหญ่นุ่มๆแล้ว
ริมฝีปากและฟันของหนานกงเฉินแทะโลมบนไหล่เธอไปเรื่อยๆ หยุดที่ข้างๆหูเธอแล้วพูดเสียงกระซิบอย่างเย้ยหยัน:“เป็นยังไง? ออกนอกลู่นอกทางก่อนแต่งงานรู้สึกฟินไหม?”
ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ไป๋มู่ชิงไม่รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องขัดขืน กลับกันเธอนิ่งเงียบมาก
“เป็นอะไร? ฟินไม่พอ?” หนานกงเฉินยิ้ม
เขาทำตามที่สองพี่น้องชอบ ไม่ว่าห้องไหนก็สามารถทำกิจกรรมได้
ผ่านไปครู่ใหญ่ ไป๋มู่ชิงถึงจะพูดออกมาเบาๆ:“ไม่ใช่ว่าคุณต้องกำลังทานอาหารมื้อค่ำใต้แสงเทียนที่ชายเขาอยู่เหรอ?” เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั่นพ่นประโยคนี้ออกมาทำไม หรือเพราะว่าหึงงั้นเหรอ?
เธอยอมรับว่าตอนที่อยู่ที่ห้างได้ยินไป๋ยิ่งอันบอกว่าจะทำอาหารมื้อค่ำใต้แสงเทียนด้วยตัวเอง ในใจมีความหึงหวงอยู่นิดหน่อย
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเฉินไม่ทานอาหารมื้อค่ำใต้แสงเทียนดีๆ วิ่งมาที่นี่เพื่อทำเรื่องแบบนี้กับเธอ
หนานกงเฉินมอง แล้วยิ้มบางๆ:“ที่แท้เธอรู้?”
ที่แท้เธอก็รู้ หรือว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนพวกเธอสองพี่น้อง? ไม่ง่ายเลยที่ในใจเขากว่าจะระบายอารมณ์ออกมาได้ ตอนนี้อารมณ์ร้อนกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีกแล้ว
“ฉันเจอเขาไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารที่ห้าง” ไป๋มู่ชิงขยับร่างกาย ย่นคิ้ว:“ปล่อยฉันได้หรือยัง?”
หนานกงเฉินกลับไม่ปล่อยเธอ แต่จูบไปที่บนไหล่ของเธอแทน ยิ้มเบาๆ:“ฉันก็มาจากชายเขาที่นั่นนั่นแหละ พี่สาวเธอเขา……ทนเรื่องแบบนี้ไม่ไหวเท่าเธอ เลยหลับไปนานแล้ว”
“คุณ……น่ารังเกียจ!” ไป๋มู่ชิงพยายามดิ้นให้หลุดพ้นออกมาจากเขา หลังจากนั้นเอาผ้าห่มมาห่อร่างกายตัวเองไว้ ถลึงตาใส่เขา:“คุณเป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจที่สุดตั้งแต่ฉันเคยเจอมา”
เขาพูดเรื่องนี้อย่างสบายใจได้ยังไง?
แค่นึกถึงเรื่องที่เขาเพิ่งจะทำกับไป๋ยิ่งอันไป นึกถึงบนร่างกายเขาน่ามีกลิ่นของผู้หญิงดุร้ายคนนั้นหลงเหลืออยู่ ไป๋มู่ชิงก็อยากจะอาเจียนขึ้นมา
เธอหันร่างจะกลับไป กลับถูกหนานกงเฉินดึงกลับมาเตียง ร่างกายแข็งแรงนั่นกดทับเธอไว้อีกครั้ง มือลูบไปที่กรามของเธอแล้วยิ้มเยาะ:“เมื่อกี้เธอไม่ได้รู้สึกว่าฉันน่ารังเกียจนี่ กลับมีความสุขด้วยซ้ำไป”
“คุณปล่อยฉันนะ” ไป๋มู่ชิงใช้มือทั้งสองดันไปที่หน้าอกของเขา กัดฟันขู่
เสียดายก็แต่เขาไม่เคยสนใจการขู่ของเธอเลยแม่แต่นิด กลับก้มหน้าลงไปจูบบนริมฝีปากเธออย่างยั่วยุ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset