เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 133 ความขัดแย้ง1

น่ารังเกียจ? เธอกล้าว่าเขาว่าน่ารังเกียจ?
เขาถึงกับวิ่งมาที่นี่ ใช้เธอเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ก็ถือว่าให้ความสำคัญแล้ว!
หลังจากที่เมื่อกี้วนรอบแม่น้ำข้างๆ สุดท้ายเขาก็จอดรถไว้ที่นี่ ความจริงเขาสามารถไปหาผู้หญิงคนอื่นก็ได้ แค่โทรไป ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงแบบไหนก็มีหมด แต่เขากลับมาที่นี่ ขนาดตัวเขาเองยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเลือกเธอ
หรือนี่คือการแก้แค้น? แต่การแก้แค้นมันมีหลายวิธี เขาสามารถปฏิบัติเหมือนกับไป๋ยิ่งอันได้ หาผู้ชายสักคนที่ร่างกำยำให้เธอจนเธอทนไม่ไหว แต่เขากลับไม่ได้ทำแบบนี้
ถ้าเกลียดเธอขนาดนั้นจริงๆ รังเกียจเธอ เขาจะให้เธอสัมผัสร่างกายเขาทำไม?
หนานกงเฉินยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจตัวเองก็ยิ่งใจร้อนควบคุมตัวเองไม่ได้ ถึงขนาดไม่สนใจไป๋มู่ชิงที่ขอให้ยกโทษอีกครั้ง บีบบังคับเธอใต้ร่างอย่างรุนแรง
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ภายในห้องนอนสงบลงอีกครั้ง
ในที่สุดหนานกงเฉินก็เหนื่อยจนหลับไปแล้ว ไป๋มู่ชิงที่ถูกเขาโอบอยู่ในอ้อมกอดกลับไม่มีแม้แต่ความง่วง ได้ยินเสียงหายใจของเขาเป็นจังหวะสม่ำเสมอกัน เธอหลับตาลง หลังจากหายใจลึกๆก็บังคับให้ตัวเองสงบลง หลังจากนั้นเอาแขนของเขาย้ายออกไปจากตัวเองอย่างระมัดระวัง ลงจากเตียงให้เสียงเบาที่สุด
เธอเดินตามทางของห้องรับแขกออกไป เก็บมือถือของตัวเองกับชุดนอนขึ้นมา ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วส่องดูตัวเองในกระจกพร้อมทั้งจัดผม
สีหน้าเธอในกระจกแดงก่ำ ผมยุ่งเป็นกระเซิง ทั้งตัวส่งกลิ่นคนที่เพิ่งผ่านฉากรักมา ร่างกายปวดเมื่อยและแข้งขาอ่อนปวกเปียก คล้ายกับคนที่เพิ่งจะผ่านสงครามมา
เธอควรจะรู้สึกยินดีที่หนานกงเฉินไม่ได้ทำนิสัยออกนอกกรอบมากเกินไป และก็ไม่ได้ทำให้เธอบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นผ่านไปหนึ่งถึงสองชั่วโมง เธอต้องถูกทรมานจนหาทางกลับไม่ถูกอย่างแน่นอน
เธอใช้มือมาปิดหน้าตัวเองอย่างรู้สึกอับอาย เวลานี้ ขนาดตัวเธอเองยังดูถูกตัวเองเลย
หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เธอเอามือทั้งสองข้างที่อยู่บนหน้าวางลง เปิดประตูกลับไปยังห้องของตัวเองเหมือนกับว่าหนีมา
ได้ยินเสียงประตูใหญ่ถูกปิดลง หนานกงเฉินที่อยู่บนเตียงก็ค่อยๆลืมตาขึ้น กลิ่นอายความชั่วร้ายออกมาจากดวงตาของเขา
หลังจากกลับมาบนเตียงของตัวเอง ไป๋มู่ชิงพลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ พอหลับตาก็นึกถึงฉากที่หนานกงเฉินกดตัวเองไว้ใต้ร่างของเขา
ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอกับหนานกงเฉิน ขนาดลูกก็เคยเกิดมาแล้ว แค่ในตอนนี้สถานะไม่เหมือนกัน เขาเป็นสามีของไป๋ยิ่งอัน และในอีกไม่กี่วันเธอก็ต้องกลายเป็นภรรยาของหลินอันหนาน
ถ้าให้หลินอันหนานรู้เรื่องระหว่างเธอกับหนานกงเฉินที่สู้รบกันหลายร้อยรอบ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง? คงโกรธจนอยากจะเด็ดหัวเธอให้ขาดสินะ?
พอนึกถึงหลินอันหนาน เธอก็คิดได้ว่าเมื่อสักครูนั้นตัวเองไม่ได้รับสายโทรศัพท์เขา ก็เลยหยิบมือถือที่อยู่หัวเตียงลงมา กดเปิดดู สายที่ไม่ได้รับทั้งหมดยี่สิบกว่าสาย ทั้งหมดเป็นสายของหลินอันหนานที่โทรมา
ทำยังไงดี? ไม่ได้รับสายเยอะขนาดนี้ เขาต้องกำลังคิดมากอยู่แน่เลย? เดิมทีหลินอันหนานแกล้งทำว่าไม่ได้ถือสาเรื่องหนานกงเฉินในใจเธอ คราวนี้คงกำลังสงสัยแน่ๆ
ไป๋มู่ชิงลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ตัดสินใจไม่โทรหาเขาสักพักแล้วกัน ทุกอย่างไว้รอเคลียร์พรุ่งนี้เถอะ
นอนไม่หลับทั้งคืนจนฟ้าสว่าง ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเตียง ดูเวลาแล้วหลินอันหนานน่าจะตื่นและกำลังเตรียมตัวไปทำงานแล้ว ก็เลยหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเขา
เสียงโทรศัพท์ดังสองเสียงก็ถูกคนรับทันที เสียงของหลินอันหนานดังออกมา:“มู่ชิง ทำไมคุณตื่นเช้าขนาดนี้?”
“วันนี้ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอก……” ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลาย พูดอย่างละอายใจเล็กน้อย:“เมื่อคืนคุณโทรหาฉันหลายสาย ฉันเพิ่งเห็นเมื่อกี้ อืม……มีธุระอะไรเหรอ?”
หลินอันหนานที่อยู่ปลายสายนั้นเงียบลงสักพัก เผลอหัวเราะเสียงเบาออกมา:“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้นง่ายไปหน่อย อยากโทรไปหาเธอก่อนนอน”
“อ๋อ ขอโทษนะ ฉันปิดเสียงเอาไว้ตอนนอนน่ะ” ไป๋มู่ชิงไม่แน่ใจว่าหลินอันหนานความจริงแล้วกำลังสงสัยอะไรอยู่ โชคดีที่เขาไม่ได้บังคับถามว่าได้เจอหนานกงเฉินบ้างหรือเปล่า ไม่งั้นเธอก็คงไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
หลังจากที่หลินอันหนานไตร่ตรองสักพัก ก็เปลี่ยนคำถาม:“มู่ชิง วันนี้คุณไปทำธุระอะไรเหรอ? ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?”
“ไม่ต้องหรอก ฉันแค่ไปส่งลูกอมมงคลในวันแต่งงานที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร” ไป๋มู่ชิงยังคงไม่ได้บอกเขาเรื่องที่เธอกำลังจะไปเจอลูกสาว
เมื่อวานซูซี่บอกกับเธอว่าที่โรงพยาบาลมีทารกเพศหญิงคนหนึ่งหน้าตาคล้ายกันกับเธอมาก วันนี้จะไปที่คลินิก ให้เธอมาดูหน่อย
เด็กทารกที่เพิ่งจะสองขวบสามารถมองออกเลยเหรอว่าคล้ายกับเธอ? เธอสงสัยนิดหน่อย แต่กลับมีความหวัง
หลังจากวางสาย ไป๋มู่ชิงเดินไปเปลี่ยนเสื้อที่หน้าตู้เสื้อผ้า พอถอยออกมามองชุดนอนบนตัวของเธอเองก็พบว่าเต็มไปด้วยร่องรอยจากเมื่อคืนที่หนานกงเฉินทิ้งไว้ให้เธอ
เธอมองตัวเองในกระจกอย่างตะลึงงัน ในใจคิดว่าผู้ชายคนนี้อำมหิตเกินไปหน่อย ถึงทำให้ร่างกายเธอเป็นแบบนี้ได้ แบบนี้ สามวันให้หลังเธอจะใส่ชุดแต่งงานยังไง? คืนแต่งงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอีกสามวันถ้าถูกหลินอันหนานเห็นร่องรอยพวกนี้จะทำยังไงอีก?
ให้ตายเถอะ เธอไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ
เพื่อปกปิดรอยที่น่าอายพวกนี้ เธอต้องหาเสื้อผ้าแขนยาวใส่
ขณะที่ไป๋มู่ชิงเดินออกมาจากห้องนอน จูฮุ่ยกำลังทำอาหารเช้า ก็เลยเรียกไปใช้งาน:“มู่ชิง เอาขยะไปทิ้งหน่อย เหม็นจะตายแล้ว”
ไป๋มู่ชิงขานตอบรับ หิ้วขยะแล้วเดินไปที่หน้าประตู
เอาขยะไปทิ้งในถังขยะใหญ่ที่อยู่ตรงบันไดดับเพลิง ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังเดินกลับ เห็นว่าประตูห้องข้างๆเปิดพอดี จะหลบก็คงไม่ทัน เงาของหนานกงเฉินปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ
แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนแล้ว แม้ว่าหลบไม่ทันก็ต้องหลบ เธอหมุนตัวแล้วเริ่มกดรหัสที่ประตูห้องอย่างเร่งรีบ เธอกลับกดผิดไปสองครั้ง
ขณะที่เธอรีบจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาที่ขมับนั้น หนานกงเฉินที่มองดูเหตุการณ์ในที่สุดก็ก้าวเท้าเดินมาหาเธอ ยื่นมือมาจับข้อมือเธอให้หันกลับไป จ้องเขม็งเธอแล้วยิ้มเยาะ:“ทำไม? เมื่อคืนยังสู้รบกับฉันอยู่เลย วันนี้ส่ายหน้าไม่ยอมรับกันแล้ว”
ตอนพูด ร่างกายของเขาก็ดันเข้ามา ดันเธอไปติดกับประตู
“หนานกงเฉิน คุณช่วยทำตัวให้เหมาะสมหน่อย!” ไป๋มู่ชิงเตือนเสียงต่ำ เขากำลังทำอะไร? นี่มันที่สาธารณะนะ ถ้าถูกแม่ของเธอได้ยินหรือเห็นเข้าจะทำยังไง?
หนานกงเฉินไม่สนใจการข่มขู่ของเธอ พูดยิ้มๆ:“เธอเป็นฝ่ายยั่วฉันตลอด ตอนนี้ฉันก็แค่อยากเป็นเธอบ้าง ทำไม? มีสามีแล้วก็ไม่ต้องการชายชู้แล้ว?”
เขากลับบอกว่าตัวเองอยู่ในสถานะชายชู้ ไป๋มู่ชิงหมดคำจะพูด
เธอใช้แรงผลักเขาไปด้านข้าง ข้อมือเขาออกแรงดันที่กำแพง ไม่ขยับเลยสักนิด เธอโมโหแล้ว:“คุณจะเอายังไงกันแน่?”
“ไม่ยังไง? ก็แค่อยากจะมอนิ่งคิสให้คุณเท่านั้นเอง” หนานกงเฉินระหว่างที่พูด ฝ่ามือของเขาก็ลูบไปที่ใต้คางของเธออย่างเบามือ หลังจากนั้นก็ใช้แรงดันหน้าให้เงยขึ้นมา ก้มหน้าไปจูบที่ริมฝีปากของเธอ
เธอยิ่งคิดที่จะขับไล่เขา เขาก็ยิ่งอยากทรมานเธอ เมื่อคืนเขาตั้งใจทำรอยประทับไว้บนร่างเพื่อหลงเหลือไว้ให้เขา
ไป๋มู่ชิงดิ้นเพื่อจะหันศีรษะกลับ หนานกงเฉินกลับใช้มือข้างหนึ่งรั้งที่ท้ายทอยเธอไว้ ทำให้เธอไม่สามารถขยับตัวได้
กลัวว่าจะถูกแม่ที่อยู่ด้านในห้องได้ยินเข้า ไป๋มู่ชิงไม่กล้าพูดเสียงดัง และไม่กล้าทำอะไรที่มันเอิกเกริก เพราะเวลานี้เธอถูกหนานกงเฉินดันไปติดที่ประตู ถ้ามีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเกรงว่าคนด้านในก็จะได้ยิน
จนกระทั่งได้ยินเสียงหลงของจูฮุ่ยจากด้านใน น้ำเสียงวิตกกังวล:“เสี่ยวอี้……เสี่ยวอี้เป็นอะไรไป”
ไป๋มู่ชิงตกใจ คิดไปถึงเสี่ยวอี้จะเกิดเรื่องขึ้นตามสัญชาตญาณ
“มู่ชิง! มู่ชิงเธอไปมุดหัวอยู่ที่ไหน? รีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ……!” จูฮุ่ยยังคงพูดอย่างต่อเนื่อง
หนานกงเฉินถึงแม้ว่าจะไม่รู้สถานการณ์ที่ชัดเจน แต่เขาสามารถรับรู้ได้ว่าเกิดเรื่องขึ้น เขาถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ไป๋มู่ชิงก็กดรหัสอย่างเร่งรีบ หลังจากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป
พอเธอเข้าไป ก็เห็นว่าเสี่ยวอี้เป็นลมอีกแล้ว
“เสี่ยวอี้……” เธอรีบพยุงเสี่ยวอี้ขึ้นมาจากที่พื้นอย่างกระวนกระวายใจ กอดเขาไปด้วยพูดอย่างร้อนใจไปด้วย:“แม่ รีบโทรหาแผนกฉุกเฉิน……เร็วเข้า”
จูฮุ่ยล้มลุกคลุกคลานรีบวิ่งไปโทรศัพท์หาแผนกฉุกเฉิน ไป๋มู่ชิงจะอุ้มเสี่ยวอี้ลงมาชั้นล่างเพื่อรอรถพยาบาล แต่ถึงแม้ว่าเสี่ยวอี้จะผอมมาก แต่ยังไงซะเขาเป็นถึงเด็กอายุหกเจ็ดขวบ น้ำหนักยี่สิบกว่ากิโลกรัมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะอุ้มขึ้นมา
ในช่วงที่เธอกำลังออกแรงนั้น ขณะที่กำลังอุ้มเสี่ยวอี้ขึ้นมาจากพื้นอย่างยากเย็น ข้อพับด้านในของเสี่ยวอี้ก็ถูกคนรับไป
“ฉันเอง” หนานกงเฉินรับเสี่ยวอี้เสร็จก็รีบหมุนร่างเดินเร็วออกไปทางประตู
ไป๋มู่ชิงมึนๆงงๆ แล้วรีบร้อนเดินตามออกไป
หนานกงเฉินไม่ได้ให้เสี่ยวอี้รอรถพยาบาลด้านล่าง แต่กลับอุ้มเสี่ยวอี้ไปที่รถของเขา และขับด้วยความเร็วสูงสุดไปยังโรงพยาบาลหงเอิน
จูฮุ่ยร้องไห้ตลอดทาง ไป๋มู่ชิงนั้นกอดร่างของเสี่ยวอี้และก็สั่นไปด้วย ถึงขนาดว่าเธอไม่ได้สนใจว่าในเวลานี้ที่นั่งของคนขับเป็นหนานกงเฉิน
ชีวิตของเสี่ยวอี้สำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ข้อนี้เธอรู้ดี
หลังจากที่อุ้มร่างของเสี่ยวอี้มาที่แผนกฉุกเฉิน เสี่ยวอี้ก็ถูกคุณหมอพาเข้าห้องไอซียู หลังจากที่ประตูของห้องไอซียูปิดลง โถงทางเดินก็เงียบสงัดได้ยินเพียงแต่เสียงร้องไห้ของจูฮุ่ย
ไป๋มู่ชิงเดินมาที่ข้างๆจูฮุ่ย จับมือของเขาแล้วปลอบใจ:“แม่ แม่อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย เสี่ยวอี้ไม่เป็นไรหรอก”
พอเจอกับการปลอบใจของเธอ จูฮุ่ยกลับเอามือของทั้งสองเธอสะบัดออกไปจากแขนของตัวเอง แล้วตำหนิอย่างโมโห:“ให้เธอไปทิ้งขยะทำไมเธอไปนานขนาดนั้นล่ะ? ถ้าเกิดว่าเสี่ยวอี้จากไปอย่างนี้จริงๆจะทำยังไง? เธอไม่ละอายใจต่อเขาเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงชินกับความไม่มีเหตุผลของแม่นานแล้ว และก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกลับ กลับเงยหน้ากวาดสายตาไปที่หนานกงเฉินที่กำลังจะเตรียมตัวหมุนร่างออกไปจากที่นี่ สัมผัสได้ถึงสายตาที่เขามองมาพอดี
สายตาอันเยือกเย็นของเขา กลับไม่มีแม้แต่ความละอายใจ
ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะโมโห ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธอจะไปนานขนาดนั้นเหรอ?
เวลานี้จูฮุ่ยก็นึกถึงหนานกงเฉิน นึกถึงความดีของเขาที่อุ้มเสี่ยวอี้ลงมาด้านล่างแล้วส่งมาที่โรงพยาบาล ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ช่วงเวลาเร่งด่วนอย่างนี้ คาดว่าพวกเขาคงต้องรอรถพยาบาลอยู่ที่บ้าน
เธอปาดน้ำตาที่อยู่บนหน้า แล้วพูดกับหนานกงเฉินว่า:“คุณชายหนานกง ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือเมื่อกี้นี้”
หนานกงเฉินมองไปที่ไป๋มู่ชิงแวบนึง พูดว่า:“ผมไม่ได้กำลังช่วยพวกคุณ แต่กำลังช่วยเสี่ยวอี้ พวกคุณไม่ต้องรู้สึกว่าเกรงใจหรอก”
พูดจบ เขาหมุนร่างเดินจากไป
ไป๋ยิ่งอันถูกทรมานทั้งคืน จนถึงตอนที่ฟ้าใกล้จะสว่าง ในที่สุดหลัวเซินก็เหนื่อยจนได้ นอนหลับพิงอยู่บนเตียง
ไป๋ยิ่งอันปวดเมื่อยทั้งตัว ใกล้จะเป็นเหน็บชา เธออยากจะใช้เท้าถีบผู้ชายที่น่าสะอิดสะเอียนคนนี้ลงจากเตียงไป กลับไม่มีแรง ถึงขนาดว่าแรงลงจากเตียงยังไม่มีเลย
เธอที่ไม่มีแรงจะโต้เถียงกับผู้ชายคนนี้นั้น ทำได้แค่ดิ้นรนลงมาจากบนเตียง ย้ายไปทางห้องนอน
เธอทั้งเหนื่อยทั้งง่วง พอได้สัมผัสกับเตียงก็ง่วงจนหลับไป
ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน จนกระทั่งประตูห้องมีเสียง’ปังๆ’ เธอถึงจะตื่นขึ้นมาจากหลับไหล ได้ยินเสียงของหลัวเซินดังมาจากประตู:“คุณหนูไป๋ คุณอยู่ข้างในหรือเปล่า?”
พอได้ยินเสียงที่น่ารังเกียจนี้ ไป๋ยิ่งอันก็รีบเอาตัวเองขดตัวเข้าไปในผ้าห่ม กลั้นหายใจ สักนิดก็ไม่กล้าที่จะขยับ
หลังจากที่หลัวเซินส่งเสียงอยู่ที่ประตูสักพัก ก็พูดเสียงดัง:“คุณหนูไป๋ ผมมาลาคุณ ผมจะไปทำงานแล้ว” เว้นช่วงสักพักแล้วพูดต่อ:“เมื่อคืนมีความสุขมาก หวังว่าครั้งหน้าจะยังมีโอกาสได้เจอกับคุณหนูไป๋อีกนะครับ”
“ออกไป!” ไป๋ยิ่งอันทนไม่ไหวก็เลยตะโกนออกไป
หลัวเซินที่อยู่หน้าประตูยิ้ม:“ก็ได้ ดูแล้วคุณหนูไป๋ยังคงอายอยู่ งั้นไว้เจอกันนะครับ”
เสียงเท้าที่ด้านนอกประตูห่างไกลออกไป หลังจากที่รู้ว่าหลัวเซินออกไปแล้ว ไป๋ยิ่งอันก็แอบถอนหายใจออกมา
นอนไปงีบนึง ความเจ็บปวดบนร่างกายก็เริ่มเบาลง แต่ความปวดเมื่อยยังคงหนักอยู่
จู่ๆโทรศัพท์ที่วางไว้บนหัวเตียงก็ดังขึ้น เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู ขณะที่เธอเห็นว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นเป็นหนานกงเฉิน ก็รีบลุกจากเตียงขึ้นมาอย่างตกใจ
หนานกงเฉินโทรมาหาเธอตอนนี้? เพื่ออะไรกันแน่? คงไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกตัวเรื่องที่เมื่อคืนเธอกับคนขับรถอยู่ด้วยกันหรอกนะ?
กำโทรศัพท์ในมือ ไป๋ยิ่งอันทนไม่ไหวเริ่มจิตใจว้าวุ่น ถ้าให้หนานกงเฉินรู้ว่าเมื่อคืนเธอกับคนขับรถทำอะไรกันทั้งคืน คงจะโมโหจนอยากจะเด็ดหัวเธอให้ขาดเป็นแน่? ไม่ เธอจะให้เขารู้ไม่ได้ ไม่เด็ดขาด!
เธอเอาโทรศัพท์ปิดเข้าที่หน้าอกแล้วหายใจเข้าลึกๆ หลังจากที่กระแอมเสียงในลำคอแล้วค่อยกดปุ่มรับสาย
“คุณชายใหญ่……” เธอเรียกเสียงเบา
“ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรอ?” หนางกงเฉิน เสียงปลายสายที่ถามอย่างนุ่มนวล
“อือ เพิ่งตื่น”
“เมื่อคืนนอนหลับดีไหม?”
“ก็ดีนะ……” ในใจไป๋ยิ่งอันสงสัยนิดหน่อย เมื่อคืนหนานกงเฉินดื่มยาในไวน์นั่นเหมือนกับเธอ เธอรู้สึกว่าตนเองถูกไฟราคะดันจนเกือบจะระเบิดอยู่แล้ว เขากลับสามารถออกจากบ้านพักตากอากาศไปจัดการเรื่องเร่งด่วนได้? เป็นไปได้ยังไง?
“คุณ……เมื่อคืนไปไหนเหรอ? ทำไมจู่ๆก็หายไป” เธอถามสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจ
หนานกงเฉินยิ้มเล็กน้อย:“เดิมทีมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ แต่สุดท้ายดื่มเยอะเกินไปจัดการไม่ไหวจริงๆ ก็เลยพักอยู่ที่คอนโดทั้งคืน”
“อ๋อ……” ไป๋ยิ่งอันตอบรับ ในใจเก็บความรู้สึกไม่ค่อยจะอยู่
เธออยู่ข้างเขาชัดๆ เขากลับวิ่งไปพักที่คอนโด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจู่ๆวิ่งออกไป เธอจะถูกคนขับรถที่น่ารังเกียจคนนั้นยึดเอาไว้ทั้งคืนได้ยังไง?
“ขอโทษนะ เมื่อคืนมีเรื่องด่วนจริงๆ งั้นเพื่อจะชดเชยให้คุณ อีกสักพักผมจะไปทานอาหารเช้ากับคุณนะครับ” หนานกงเฉินพูด
ไป๋ยิ่งอันนิ่งอึ้งไป นึกว่าตนเองฟังผิด เขาจะมาทานอาหารเช้าเป็นเพื่อนเธอ? มาตอนนี้?
“ทำไม? ไม่ต้อนรับเหรอ?” หนานกงเฉินถามยิ้มๆ
“แน่นอนว่าต้อนรับอยู่แล้วสิคะ” ในสถานการณ์เร่งรีบไป๋ยิ่งอันก็รีบพูดออกไป:“คุณจะมาเมื่อไหร่? ฉันจะทำอาหารเช้าให้คุณทาน”
“ผมอยู่ระหว่างทางแล้ว อีกอย่างอาหารเช้าผมก็เตรียมมาด้วย”
พอได้ยินเขาพูดว่าอยู่ระหว่างทาง ไป๋ยิ่งอันก้มหน้ามองรอยที่เป็นจ้ำๆบนร่างกายของตัวเอง รีบลงจากเตียง วิ่งไปทางห้องนอนใหญ่ไปด้วยพูดไปด้วย:“โอเค งั้นฉันรอคุณอยู่ที่บ้านนะคะ”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ ไป๋ยิ่งอันก็เริ่มล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ยืนอยู่ที่หน้ากระจกห้องน้ำ มองตัวเองที่เหมือนจะตกที่นั่งลำบากในกระจก ไป๋ยิ่งอันโมโหกัดฟันกรอด เกลียดจนอยากจะจับผู้ชายน่ารังเกียจที่ชื่อหลัวเซินนั่นมาหั่นเป็นชิ้น
ผู้ชายน่ารังเกียจ ฉันจะทำให้นายต้องชดใช้อย่างแน่นอน เธอแอบสาบานในใจ
ไม่มีเวลาให้เธอคิดมากมายนัก เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเร็วที่สุด หวีผมให้ดี
ขณะที่รอเธอจัดการทุกอย่างให้เสร็จ ด้านนอกก็มีเสียงรถเข้ามาพอดี คาดว่าหนานกงเฉินคงจะมาแล้ว
เธอหันตัวหนึ่งรอบหน้ากระจก หลังจากที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรไม่เหมาะสมแล้วก็หันร่างเดินลงไปยังด้านล่าง ร่างกายของเธอยังคงเจ็บอยู่นิดหน่อย โดยเฉพาะตอนที่กำลังลงจากบันได แต่เธอก็ไม่ได้เผยความรู้สึกอะไรที่ไม่เหมาะสมออกมา ในทางกลับกันยังยินดีต้อนรับเหมือนก่อนหน้านี้ โอบแขนของหนานกงเฉินยิ้มเบาๆ:“คุณมาแล้ว? เอาของอร่อยๆอะไรมาให้ฉันทานเหรอ?”
“ก๋วยเตี๋ยวซี่โครงหมูกับซุปตุ๋นไก่กระดูกดำ จะได้บำรุงร่างกายให้คุณ” หนานกงเฉินเอาหารเช้าที่นำมาวางไว้บนโต๊ะทานข้าว หันกลับมาแล้วเอามือทั้งสองจับเข้ากับไหล่ทั้งสองของเธอแล้วถามเธอว่า:“เรื่องเมื่อคืน โทษฉันหรือเปล่า”
ไป๋ยิ่งอันสายหน้า:“คุณไม่ใช่ว่ามีเรื่องด่วนหรอ? ฉันจะโทษคุณได้ยังไง”
ความจริงในใจเธอโทษเขาที่สุด ยังไงซะเรื่องที่เธอถูกคนขับรถทรมานทั้งคืนเป็นความผิดของเขา แต่โทษเขาจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? เธอจะพูดอะไรได้? ไม่ใช่ว่าร้องออกมาตะโกนออกมา แล้วจะทำให้เขาช่วยเธอแก้แค้น ฆ่าผู้ชายคนนั้นให้ตาย
นอกจากการทุบฟันแล้วกลืนเข้าไปเธอยังจะสามารถทำอะไรได้อีก?
“ก็รู้อยู่แล้วว่าคุณคงไม่ได้ไม่รู้ความขนาดนั้น มีแค่แบบคุณนี่แหละ ถึงจะเหมาะสมกับตำแหน่งคุณผู้หญิงตระกูลหนานกง” หนานกงเฉินกดเธอให้นั่งลงที่เก้าอี้ทานข้าว หลังจากนั้นก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ
กิริยาท่าทางของเขาสง่า เขาเปิดอาหารเช้าออกด้วยท่าทางสุขุม แล้วเอาซุปตุ๋นไก่กระดูกดำมาวางไว้ตรงหน้าเธอ
“ขอบคุณค่ะ” ไป๋ยิ่งอันใช้ช้อนทานหนึ่งคำ รสชาติอร่อยมาก ในใจเธอรู้สึกดีขึ้น
“อร่อยไหม?” หนานกงเฉินมองเธอแล้วถาม
“อร่อยค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว” หนานกงเฉินก้มหน้าทานก๋วยเตี๋ยวของตัวเอง
หลังจากที่ไป๋ยิ่งอันทานไปสักพัก เงยหน้าเล็กๆขึ้นมามองเขา:“จริงด้วย คุณชายใหญ่ อีกไม่กี่วันก็จะเป็นงานแต่งงานของอันหนานกับมู่ชิงแล้ว คุณจะไปเป็นเพื่อนฉันไหม?”
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมา หลังจากมองเธอชั่วครู่ก็พยักหน้า:“แน่นอน”
“จริงเหรอ?” ไป๋ยิ่งอันไม่ได้คาดการณ์ไว้ว่าเขาจะตอบรับ รีบดีใจทันที
เธอก็แค่อยากให้หนานกงเฉินได้เห็นฉากที่มีความสุขของไป๋มู่ชิงกับหลินอันหนานอยู่ด้วยกันกับตา แบบนี้ในภายหลังเขาก็จะได้ไม่ต้องถูกไป๋มู่ชิงยั่วยวนเอาได้
“อือ ต่อให้ผมไม่เห็นแก่หน้าน้องสาวของคุณ ก็คงต้องเห็นแก่หน้าของอันนั้นบ้างใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ คุณพูดถูก” ไป๋ยิ่งอันดีอกดีใจ หลังจากดื่มซุปก็ถามต่อ:“งั้นคุณว่าพวกเราจะส่งของขวัญแต่งงานอะไรให้พวกเขาดี”
“ของขวัญแต่งงาน……” หนานกงเฉินไตร่ตรองเล็กน้อย:“เรื่องนี้ให้ฉันจัดการก็พอแล้ว”
“อืม โอเค”
หลังจากที่ทั้งสองคนทานอาหารเช้าด้วยกันเสร็จ ก็ออกมาจากห้องอาหาร หนานกงเฉินจู่ๆก็หันร่างกลับมา โอบเอวบางของเธอให้ร่างกายเธอเข้ามาหาร่างตัวเอง ยิ้มอย่างอบอุ่น:“ที่รัก พวกเรามาต่อจากสเต็ปเมื่อคืนดีไหม?”
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ได้ยินว่าเขาเป็นคนพูดคำพูดพวกนี้เธอคงดีใจมากอย่างแน่นอน แต่วันนี้……
เธอทำได้แค่ตั้งใจส่ายหน้าอย่างเขินอาย มือเล็กๆจัดการกับโบว์ที่อยู่ตรงหน้าอกเขา:“คุณยังต้องไปทำงานนะ ระวังจะสายดีกว่า”
เมื่อคืนถูกหลัวเซินทรมานร่างกายเธอจนถึงตอนนี้ก็ยังเจ็บปวดไม่หาย ถ้าคิดอยากจะได้ลูกอีก ก็คงต้องผ่านการทรมานนี้ไปก่อน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ทั้งร่างกายเธอเต็มไปด้วยรอยประทับที่หลัวเซินหลงเหลือไว้ให้ ถ้าเกิดถูกหนานกงเฉินเห็นเข้าจะทำยังไง?
“คุณแน่ใจ?” หนานกงเฉินอมยิ้มซักไซ้ถามเพื่อความแน่ใจ
ไป๋ยิ่งอันพยักหน้า
“งั้นก็ได้ ผมไปบริษัทก่อนนะ” หนานกงเฉินจูบที่หน้าผากของเธอ ปล่อยมือแล้วหันร่างเดินออกไปทางประตู
เห็นว่ารถของหนานกงเฉินออกไปจากบริเวณบ้านแล้ว ไป๋ยิ่งอัน ถอยหลังอย่างหมดอาลัยตายอยาก ล้มนั่งลงที่โซฟา หลังจากนั้นก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อโทรไปยังเบอร์ของสวีหย่าหรง
ได้ยินเสียงของสวีหย่าหรงดังมาจากปลายสายของโทรศัพท์ ไป๋ยิ่งอันก็รีบอ้าปากร้องไห้อย่างน้อยใจ
“ยิ่งอัน เธอเป็นอะไรไป?” สวีหย่าหรงได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอก็รู้เลยว่าเมื่อคืนไม่สำเร็จอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่ได้ถามรายละเอียด และพูดกับเธอว่า:“ยิ่งอัน เธออย่าเพิ่งร้อง รอแม่กลับไปมีเรื่องอะไรค่อยว่ากัน”
“แม่ แม่รีบกลับมานะ หนูอยู่ที่นี่คนเดียวรู้สึกทุกข์ใจมาก”
“หนานกงเฉินล่ะ? เมื่อคืนเขาไม่ได้กลับเหรอ?”
“กลับแล้ว”
“งั้นก็ไม่มีอะไรน่าร้องไห้นะ” สวีหย่าหรงเหมือนจะมีเรื่องด่วน รีบพูดต่อว่า:“ยิ่งอัน เมื่อกี้พ่อเธอเป็นลมในห้องประชุม ตอนนี้ฉันกำลังรีบไปที่โรงพยาบาล”
พอได้ยินว่าพ่อเป็นลมล้มลง ไป๋ยิ่งอันก็เก็บน้ำตาเอาไว้ หลังจากสูดหายใจทางจมูกก็ถามต่อ:“แม่ พ่อหนูเขาเป็นอะไรไป?”
“ฉันได้ยินผู้ช่วยหวงพูดช่วงนี้บริษัทมีปัญหาวิกฤตทางการเงินอย่างรุนแรง เพราะงั้นช่วงไม่กี่วันมานี้พ่อเธอยุ่งจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน เลยทำให้ตัวเองป่วยล้มไป”
“บริษัทเกิดวิกฤตทางการเงินได้ยังไง?” ไป๋ยิ่งอันลุกขึ้นมาจากโซฟา กลับไปยังห้องนอนแล้วหยิบกระเป๋าเตรียมจะออกไปข้างนอก
“ไม่รู้สิ ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย”
“แม่ อีกสักพักพวกเราค่อยคุยกันก็แล้วกัน อยู่ที่โรงพยาบาลไหน? หนูจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“อยู่ที่โรงพยาบาลหงเอิน”
หลังจากไป๋ยิ่งอันจดที่อยู่ ก็รีบวางโทรศัพท์แล้วเดินออกไปทางประตูใหญ่
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงกว่ากับการช่วยชีวิตให้พ้นจากขีดอันตราย เสี่ยวอี้ถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉิน สองแม่ลูกก็รีบรีบร้อน จูฮุ่ยจับมือของเสี่ยวอี้แล้วเรียกชื่อของเขา ไป๋มู่ชิงหันไปถามคุณหมออยากเร่งรีบว่า คุณหมอคะ น้องชายฉันเขาเป็นยังไงบ้าง?
คุณหมอมองเสี่ยวอี้แล้วตอบ ใบหน้ามีสีหน้าเคร่งขรึม:“อาการไม่ค่อยสู้ดี ต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลหนึ่งอาทิตย์นะ”
“ไม่ค่อยสู้ดี?” จูฮุ่ยได้ยินคุณหมอพูดแบบนี้ ก็รีบร้องไห้ออกมาอีก
“ผ่าตัดล่ะ? การผ่าตัดจะช่วยให้เขาดีขึ้นได้ไหม” ไป๋มู่ชิงรีบถาม
คุณหมอคิดแล้วพูดออกมา:“โอกาสในการผ่าตัดนั้นมีแค่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งต้องให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ วางใจเถอะครับ พวกเราจะจัดการทุกอย่างให้ดีเอง”
คุณหมอพูดจบ เข็นเสี่ยวอี้ไปทางห้องผู้ป่วย
ไป๋มู่ชิงจับมือของจูฮุ่ย ปลอบใจเสียงเบา:“แม่ อย่าร้องไห้เลย คุณหมอก็บอกแล้วว่ายังเหลือโอกาสในการผ่าตัด”
“โอกาสเพียงแค่สิบห้าเปอร์เซ็นต์เอง จะไม่ให้ฉันกังวลได้ยังไง” จูฮุ่ยปาดรอยน้ำตาบนหน้า ร้องอย่างเป็นกังวล
ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าจะปลอบแม่อย่างไรดี ทำได้แค่เงียบลง เดินไปทางห้องผู้ป่วยกับเขา
ทั้งสองเดินมาถึงแผนกอายุรกรรมโรคหัวใจ จูฮุ่ยมองไป๋จิ้งผิงและครอบครัวเขาสามคนอย่างแปลกใจ สวีหย่าหรงกับไป๋ยิ่งอันช่วยกันพยุงไป๋จิ้งผิงที่ดูเหมือนไม่มีแรงคนละข้าง
รู้สึกได้ว่าก้าวเดินของแม่หยุดลง ไป๋มู่ชิงก็มองเขา แล้วมองตามสายตาของเขาไปด้านหน้า และได้เผชิญกับครอบครัวสามคนนั้นที่มองมาพอดี
ทั้งสองฝ่ายจ้องตากัน ในใจของทุกคนเริ่มที่จะไม่สงบ
ไป๋จิ้งผิงกับจูฮุ่ยต่างฝ่ายต่างจ้องฝ่ายตรงข้ามนานกว่าใครๆ ไม่มีใครคิดจะจะถอนสายตากลับไป
ไป๋จิ้งผิงที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะไม่มีชีวิตชีวาในวันธรรมดาแล้ว มักจะหวีผมที่ห้อยลงมาที่ขมับไปด้านหลัง ร่างกายที่ใส่เสื้อผ้าผู้ป่วยนั้นสงบเสงี่ยมลง ขนาดความกล้าในตาของเขายังหายไปไม่น้อย
ไป๋มู่ชิงเห็นเขาแค่ไม่กี่ครั้ง นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เห็นท่าทางที่เขาไม่มีแรงแบบนี้ แต่เธอนั้นไม่ได้สงสารเขา กลับคล้องแขนของแม่แล้วหมุนร่างเดินไป:“แม่ พวกเราไปกันเถอะ”
จูฮุ่ยถึงจะเก็บสายตาจากไป๋จิ้งผิงกลับมา พยักหน้า:“โอเค”
“รอเดี๋ยวสิ” ไป๋จิ้งผิงจู่ๆก็เรียกสองแม่ลูกไว้ เดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวแล้วสังเกตพวกเขา แล้วใช้สายตาจ้องไปที่จูฮุ่ยเพื่อถามว่า:“ฮุ่ย? คุณสบายดีไหม? ตอนนี้พักอยู่ที่ไหน?”
จูฮุ่ยหันกลับมา ไม่กล้าปะทะสายตาของสวีหย่าหรงกับไป๋ยิ่งอัน มองซ้ายขวายังไม่เป็นตัวเอง:“ก็ดีค่ะ ตอนนี้พักอยู่ที่เขตเซียงตี”
ไป๋มู่ชิงร้อนใจดึงแขนของแม่ ขณะที่ไม่ได้ป้องกันแม่กลับเผยความลับนี้ออกไป
เธอมองไปยังไป๋ยิ่งอันอย่างรวดเร็ว เห็นว่าสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปจริงๆด้วย สายตาเย็นชานั้นยิงกราดมายังเธอ:“เซียงตี? พวกเธอพักอยู่ในเขตเซียงตี?”
ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไร คล้องแขนของแม่แล้วเดินไปอย่างไม่สนใจเขา
แม่ลูกเพิ่งจะเดินเข้าไปในแผนกอายุรกรรมที่หนึ่ง สวีหย่าหรงจู่ๆก็อ้อมจากอีกทางเดินมาขวางทางทั้งสองเอาไว้ หลังจากนั้นก็สะบัดฝ่ามือมาทางจูฮุ่ย
“คุณจะทำอะไร?” ไป๋มู่ชิงตาไวมือไวใช้แรงรับแล้วโยนมือนั้นกลับไป พูดอย่างเต็มไปด้วยความโมโห:“คุณผู้หญิงไป๋ทางที่ดีคุณสำรวมหน่อย แม่ฉันไม่ใช่ทาสของคุณที่จะลงมือตบตีเขายังไงก็ได้!”
สวีหย่าหรงชี้หน้าเธออย่างโมโห:“ฉันจะบอกเธอให้นะยัยผู้หญิงต่ำช้า!แม่เธอสู้ทาสไม่ได้หรอก เขาก็แค่โสเภณีที่ไร้ยางอาย ตอนเขาวัยรุ่นก็ยั่วผู้ชายไปทั่ว ตอนนี้แก่แล้วยังไม่ให้เกียรติตัวเองอีก……”
“คุณพอได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงพูดแทรกอย่างโมโห
สวีหย่าหรงกลับยิ้มเยาะ:“ทำไม? ท่าทางของแม่เธอที่ไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัวเมื่อกี้นี้เธอมองไม่เห็นหรือไง? อายุปูนนี้แล้วยังคิดจะแย่งสามีของฉันอีก? ยังกล้ายุ่งวุ่นวายกับสามีฉันอีก?”
แค่คิดถึงตอนเมื่อกี้ที่ไป๋จิ้งผิงกับจูฮุ่ยปะทะสายตากัน คิดถึงตอนที่จูฮุ่ยบอกไป๋จิ้งผิงเรื่องที่อยู่ของตัวเองออกมา สวีหย่าหรงก็โกรธจนแทบอยากจะพุ่งไปฉีกจูฮุ่ยให้ย่อยยับ
จูฮุ่ยถูกเขาทำให้ตกใจกลัวจนหน้าซีด ก้าวเท้าถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
ไป๋มู่ชิงถึงแม้ว่านิสัยจะไม่เด็ดเดี่ยว แต่เธอก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นแม่ของเธอถูกคนเหยียดหยามถึงขนาดนี้ เอาร่างไปขวางไว้ด้านหน้าของจูฮุ่ย ชี้ไปที่จมูกของสวีหย่าหรงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะรีบโทรหาหนานกงเฉิน”
พูดจบ เธอก้มหน้าเริ่มหาควานโทรศัพท์ในกระเป๋า
สวีหย่าหรงพอได้ยินเธอจะโทรหาหนานกงเฉิน สีหน้าก็เปลี่ยนกระทันหัน เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ
ไป๋มู่ชิงหยิบโทรศัพท์ออกมาแกล้งทำว่ากดเบอร์ สวีหย่าหรงตะโกนออกมาอย่างโกรธเคือง:“เธอกล้าเหรอ!”
“คุณจะขอโทษหรือไม่ขอโทษ” ไป๋มู่ชิงถกแขนเสื้อขึ้น
“พอแล้ว มู่ชิง พวกเรารีบไปกันเถอะ” จูฮุ่ยดึงมือของไป๋มู่ชิง เขาไม่อยากมีเรื่องในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้
สวีหย่าหรงถอนหายใจเบาๆ ยิ้มอย่างเยือกเย็น:“งั้นเธอก็ไปบอกเขาสิ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ถ้าไม่มีชีวิตอยู่ ใครจะดูแลแม่ที่ไร้ยางอายกับน้องชายของเธอล่ะ?”
“คุณ……”
“พอแล้ว มู่ชิง!” จูฮุ่ยเริ่มออกหน้ามาห้ามเธออย่างไม่สบายใจ
หลังจากที่ไป๋ยิ่งอันพยุงไป๋จิ้งผิงกลับไปที่ห้องผู้ป่วย ก็ออกมาหาสวีหย่าหรง มองเห็นไป๋มู่ชิงถกแขนเสื้อขึ้นอย่างคนต้องการมีเรื่องอย่างไกลๆ แต่ทว่าเรื่องที่ไป๋มู่ชิงกล้าตำหนิสวีหย่าหรงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เธออับอายจนโกรธ แต่เป็นเรื่องรอยคิสมาร์กบนแขนของเธอ!
นึกถึงเรื่องเมื่อคืนหนานกงเฉินดื่มยาที่อยู่ในไวน์เหมือนกับเธอชัดๆ เธอเกือบถูกไฟราคะเผาจนสุก หนานกงเฉินกลับสามารถวิ่งออกไปพักที่คอนโดได้ ที่แท้ความจริงก็อยู่ตรงนี้
เธอพุ่งเข้ามาอย่างฉับพลัน จับคอเสื้อของไป๋มู่ชิงดึงออก เผยให้เห็นครึ่งไหล่ของไป๋มู่ชิง ผิวที่ขาวสะอาดเต็มไปด้วยรอยจูบสีแดงคล้ำ
ถ้าไม่ใช่ว่าคืนนี้เห็นว่าตัวเองนั้นทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยจูบ เธอก็คงไม่รู้สึกไวขนาดนั้น คงไม่แวบเดียวก็มองออก
เธอไม่เชื่อว่าผู้ชายธรรมดาอย่างหลินอันหนานจะจูบได้รอยแบบนี้ คงจะถูกหนานกงเฉินที่โดนวางยาทำอย่างบ้าคลั่งถึงได้ออกมาแบบนี้แน่นอน!

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset