เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 144 ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

ประตูรั้วลวดลายสไตล์ยุโรปของคฤหาสน์ ปกติแล้วยามที่เข้าเวรจะล็อคเอาไว้ตลอด วันนี้เนื่องจากฝนตกหนักยามเลยไม่ทันได้ล็อค
ยามที่ดูแลความปลอดภัยเห็นไป๋มู่ชิงกำลังจะเปิดประตูออกไปข้างนอก ก็วิ่งเข้ามาจับแขนเธอไว้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ “คุณหนูไป๋คุณออกไปไม่ได้ รีบกลับเข้าไปข้างในเถอะ!”
ถ้าเป็นเวลาปกติ ไป๋มู่ชิงจะไม่ทำให้พี่ยามลำบากใจเลย เพราะเธอรู้จักนิสัยของหนานกงเฉินดี และเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา
แต่วันนี้ เธอจะมัวคำนึงแต่ความลำบากของเขาไม่ได้แล้ว เธอทั้งดิ้นรนและกรีดร้อง:”ปล่อยฉัน! วันนี้ฉันต้องออกไป! ปล่อย!”
“คุณหนูไป๋ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ!” พี่ยามโยนร่มลงพื้น แล้วใช้สองมือจับเธอไว้
ฝนเทลงมาจนทั้งสองเปียกไปทั้งตัว
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตื่นตกใจไปกับคำขู่ของยาม เธอจับราวประตูเหล็กไว้แน่น ก่อนจะพูดข่มขู่เขา: “ถ้าพี่ยังไม่ปล่อยฉัน ฉันจะตายให้ดู ฉันจะโขกหัวให้ตายอยู่ตรงนี้เลย……..!”
ไป๋มู่ชิงพูดขู่เสร็จก็เอาหัวโขกเข้ากับประตู ยามที่เข้าเวรตกใจจนรีบเอามือไปรองรับหัวเธอไว้
หัวของไป๋มู่ชิงโขกเข้ากับหลังมือเขา พี่ยามเห็นว่าเธอเอาจริงเขาตกใจช็อคยืนนิ่งกับที่ ไป๋มู่ชิงใช้โอกาศนี้เบียดตัวออกไปด้านข้าง แล้ววิ่งหายไปท่ามกลางสายฝน
เลขาเหยียนเดินเข้ามาในห้องประชุม ตรงไปกระซิบข้างหูหนานกงเฉิน “คุณชายเฉิน ยามที่คฤหาสน์โทรฯมาแจ้งว่า นายหญิงน้อยหนีออกไปแล้วค่ะ”
ดวงตาหนานกงเฉินเข้มขึ้น: “คุณว่าอะไรนะ?”
“ทางโน้นแจ้งว่าเมื่อเช้าขณะที่นายหญิงน้อยทานข้าวเช้าอยู่ก็เห็นรายงานข่าวสองแม่ลูกกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่แม่น้ำปินช่วงถนนหงลี่ หลังจากนั้นเธอก็วิ่งออกไปเหมือนคนบ้าเลยค่ะ” เลขาเหยียนพูดต่อ: “ฉันให้คุณหวางไปหาตามทางที่ไปคฤหาสน์แล้วค่ะ และยังให้เสี่ยวหลินลองไปดูที่ริมแม่น้ำด้วย ฝนตกหนักขนาดนี้ คุณจะ……ไปดูเองมั้ยคะ?”
หนานกงเฉินนิ่งขรึม ก่อนพูด: “คุณช่วยประชุมต่อหน่อย”
“ได้ค่ะ” เลขาเหยียนตอบรับ
ไป๋มู่ชิงจำทางได้ตั้งแต่ออกมาครั้งที่แล้วเมื่อสองวันก่อน จากคฤหาสน์เดินอ้อมไปตามทางเลียบริมทะเลก็เจอกับถนนใหญ่ เธอโบกรถแท็กซี่และขึ้นไปนั่งทันที
คนขับแท็กซี่มองเธอในสภาพที่เปียกไปทั้งตัว ก่อนขับรถออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ไป๋มู่ชิงมาถึงริมแม่น้ำ ถึงแม้ว่าฟ้าจะค่อนข้างมืดสลัว แต่เธอก็ยังคงมองเห็นร่างของสองแม่ลูกที่ถูกนำขึ้นมาไว้บนฝั่งแล้ว อีกทั้งยังใช้ผ้าขาวคลุกร่างไว้ด้วย
เธอตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งร้องไห้โฮกับพื้น จนคนขับรถแท็กซี่ที่วิ่งตามมาทวนค่ารถยังต้องถอย
ด้วยว่าฝนตกหนักมาก คนที่มามุงดูเลยไม่มาก เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นเธอนั่งร้องไห้เสียใจมากจึงเดินเข้ามาถาม: “คุณครับ ไม่ทราบว่าเป็นญาติกับผู้ตายใช่มั้ยครับ?”
“ฉันไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้……….” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวร้องไห้ไม่หยุด
“ไม่ทราบว่าคนที่บ้านมีใครหายตัวไปมั้ยครับ?”
ไป๋มู่ชิงเปลี่ยนเป็นพยักหน้าแทน
“ไม่งั้นคุณไปดูหน้าศพหน่อยมั้ยครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจประคองเธอลุกขึ้นจากพื้น
ไป๋มู่ชิงมองศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวทั้งสองร่าง ก่อนจะพยักหน้าและตามด้วยส่ายหน้า เธอไม่กล้าพอที่จะเข้าไปดู เธอกลัวว่าจะเป็นแม่และเสี่ยวอี้จริงๆ
“คุณไปดูหน่อยเถอะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดด้วยความหนักใจ
“ฉันไม่กล้า……”
“แล้วจะทำยังไงดี? คุณยังมีญาติคนอื่นอีกมั้ย? เรียกพวกเขามาได้มั้ย?”
“ไม่มีแล้ว ฉันไม่มีญาติที่ไหนแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียว……” เธอยืนพิงตำรวจอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้องไห้ปานจะขาดใจ
“ถ้าคุณไม่เข้าไปดู เราจะส่งศพไปที่ห้องดับจิตแล้วนะครับ”
“ไม่! ฉันดู ฉันดู……” ไป๋มู่ชิงกำเสื้อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้แน่น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคอยประคองและกึ่งจุงเธอเข้าไปในเขตกั้นพื้นที่เกิดเหตุ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะข้ามเชือกกั้นเขต แขนอีกข้างของไป๋มู่ชิงก็ถูกจับไว้และดึงตัวเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนคนหนึ่ง
เธอเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำฝนและน้ำตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเฉินอยู่ตรงหน้า
“เธอมาทำอะไรที่นี่?” มือข้างหนึ่งของหนานกงเฉินโอบเอวบางไว้ มืออีกข้างถือร่มคันใหญ่ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“แม่กับเสี่ยวอี้พวกเขา……” ไป๋มู่ชิงเสียใจจนพูดไม่ออก
เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นหนานกงเฉินกอดไป๋มู่ชิงไว้ จึงถามเขา: “คุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าเป็นเพื่อนกับเธอคนนี้ใช่มั้ยครับ?”
“ผมเป็นสามีเธอ” หนานกงเฉินพูด
“งั้นก็ดีเลย คุณผู้หญิงท่านนี้ไม่กล้าเข้าไปดูร่างผู้เสียชีวิต คุณไปดูแทนเธอหน่อยเถอะครับ”
หนานกงเฉินปรายตามองเข้าไปในเขตพื้นที่เกิดเหตุที่มีเชือกกั้นไว้ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น: “ไม่ต้องดูก็ได้ ไม่ใช่คนในครอบครัวเราครับ”
“แต่เมื่อครู่เธอบอกว่า…..แม่และน้องเธอหายตัวไปนะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ
หนานกงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเดิม: “เธอจำผิดครับ แม่และน้องชายเธอไม่ได้หายไปไหน”
“อ้าว………..?” เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกแปลกใจ
ไป๋มู่ชิงได้ยินหนานกงเฉินพูดแบบนั้น ก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองเขานิ่งด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
พักใหญ่กว่าเธอจะเปล่งเสียงออกมาถาม: “เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“จริง” หนานกงเฉินโอบตัวเธอเข้าหาอีกนิด เพื่อไม่ให้ตัวเธอโดนฝน
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าไปมา: “ฉันไม่เชื่อ คุณโกหกฉัน”
“ถ้าเธอไม่เชื่อก็เข้าไปดูเอาเอง” หนานกงเฉินพูดขึ้นพร้อมทำท่าจะพาเธอเข้าไปดู เธอรีบกอดตัวเขาไว้แน่นไม่ยอมก้าวเข้าไป หนานกงเฉินมองท่าทางเธอที่อยากเข้าไปดูแต่ก็กลัวที่จะเข้าไป เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ : “ไป๋มู่ชิงฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีความละอายอย่างเธอ ยิ่งไม่ใช่คนขี้โกหกเหมือนเธอ ฉันบอกว่าไม่ใช่พวกเขาก็คือไม่ใช่”
ได้ยินที่เขาพูด ไป๋มู่ชิงก็หยุดร้องไห้โวยวาย เธอยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดเขาสักครู่ก่อนจะค่อยๆนิ่งไปในที่สุด
ไป๋มู่ชิงที่ตกใจจนเข่าทรุด อีกทั้งยังร้องให้เสียใจอย่างหนัก ตอนนี้เธอแทบจะอ่อนแรงไปทั้งตัว ถึงขนาดว่าหนานกงเฉินพาเธอกลับมาถึงคอนโดแล้วเธอยังไม่รู้สึกตัว
คอนโดเซียงตี๋ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิน เนื่องจากทั้งสองเปียกปอนไปทั้งตัว หนานกงเฉินกลัวว่าเธอจะเป็นหวัดจึงหาที่ใกล้ๆสำหรับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังกลับมาถึงคอนโด หนานกงเฉินก็พาเธอเข้าไปในห้องน้ำทันที ก่อนจะเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำและถอดเสื้อผ้าเปียกชื้นบนตัวเธอให้
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงกำเสื้อไว้ก่อนพูด: “ฉันถอดเอง”
อาจเป็นเพราะร่างกายที่อ่อนแรง ทำให้เธอเอื้อมมือไปรูดซิปด้านหลังไม่ได้ หนานกงเฉินเห็นว่าเธอรูดซิปลงไม่ได้ เลยยกมือไปช่วยดึงซิปลงพร้อมแกะตะขอเสื้อในให้เธอด้วย

ประตูรั้วลวดลายสไตล์ยุโรปของคฤหาสน์ ปกติแล้วยามที่เข้าเวรจะล็อคเอาไว้ตลอด วันนี้เนื่องจากฝนตกหนักยามเลยไม่ทันได้ล็อค
ยามที่ดูแลความปลอดภัยเห็นไป๋มู่ชิงกำลังจะเปิดประตูออกไปข้างนอก ก็วิ่งเข้ามาจับแขนเธอไว้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ “คุณหนูไป๋คุณออกไปไม่ได้ รีบกลับเข้าไปข้างในเถอะ!”
ถ้าเป็นเวลาปกติ ไป๋มู่ชิงจะไม่ทำให้พี่ยามลำบากใจเลย เพราะเธอรู้จักนิสัยของหนานกงเฉินดี และเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา
แต่วันนี้ เธอจะมัวคำนึงแต่ความลำบากของเขาไม่ได้แล้ว เธอทั้งดิ้นรนและกรีดร้อง:”ปล่อยฉัน! วันนี้ฉันต้องออกไป! ปล่อย!”
“คุณหนูไป๋ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ!” พี่ยามโยนร่มลงพื้น แล้วใช้สองมือจับเธอไว้
ฝนเทลงมาจนทั้งสองเปียกไปทั้งตัว
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตื่นตกใจไปกับคำขู่ของยาม เธอจับราวประตูเหล็กไว้แน่น ก่อนจะพูดข่มขู่เขา: “ถ้าพี่ยังไม่ปล่อยฉัน ฉันจะตายให้ดู ฉันจะโขกหัวให้ตายอยู่ตรงนี้เลย……..!”
ไป๋มู่ชิงพูดขู่เสร็จก็เอาหัวโขกเข้ากับประตู ยามที่เข้าเวรตกใจจนรีบเอามือไปรองรับหัวเธอไว้
หัวของไป๋มู่ชิงโขกเข้ากับหลังมือเขา พี่ยามเห็นว่าเธอเอาจริงเขาตกใจช็อคยืนนิ่งกับที่ ไป๋มู่ชิงใช้โอกาศนี้เบียดตัวออกไปด้านข้าง แล้ววิ่งหายไปท่ามกลางสายฝน
เลขาเหยียนเดินเข้ามาในห้องประชุม ตรงไปกระซิบข้างหูหนานกงเฉิน “คุณชายเฉิน ยามที่คฤหาสน์โทรฯมาแจ้งว่า นายหญิงน้อยหนีออกไปแล้วค่ะ”
ดวงตาหนานกงเฉินเข้มขึ้น: “คุณว่าอะไรนะ?”
“ทางโน้นแจ้งว่าเมื่อเช้าขณะที่นายหญิงน้อยทานข้าวเช้าอยู่ก็เห็นรายงานข่าวสองแม่ลูกกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่แม่น้ำปินช่วงถนนหงลี่ หลังจากนั้นเธอก็วิ่งออกไปเหมือนคนบ้าเลยค่ะ” เลขาเหยียนพูดต่อ: “ฉันให้คุณหวางไปหาตามทางที่ไปคฤหาสน์แล้วค่ะ และยังให้เสี่ยวหลินลองไปดูที่ริมแม่น้ำด้วย ฝนตกหนักขนาดนี้ คุณจะ……ไปดูเองมั้ยคะ?”
หนานกงเฉินนิ่งขรึม ก่อนพูด: “คุณช่วยประชุมต่อหน่อย”
“ได้ค่ะ” เลขาเหยียนตอบรับ
ไป๋มู่ชิงจำทางได้ตั้งแต่ออกมาครั้งที่แล้วเมื่อสองวันก่อน จากคฤหาสน์เดินอ้อมไปตามทางเลียบริมทะเลก็เจอกับถนนใหญ่ เธอโบกรถแท็กซี่และขึ้นไปนั่งทันที
คนขับแท็กซี่มองเธอในสภาพที่เปียกไปทั้งตัว ก่อนขับรถออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ไป๋มู่ชิงมาถึงริมแม่น้ำ ถึงแม้ว่าฟ้าจะค่อนข้างมืดสลัว แต่เธอก็ยังคงมองเห็นร่างของสองแม่ลูกที่ถูกนำขึ้นมาไว้บนฝั่งแล้ว อีกทั้งยังใช้ผ้าขาวคลุกร่างไว้ด้วย
เธอตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งร้องไห้โฮกับพื้น จนคนขับรถแท็กซี่ที่วิ่งตามมาทวนค่ารถยังต้องถอย
ด้วยว่าฝนตกหนักมาก คนที่มามุงดูเลยไม่มาก เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นเธอนั่งร้องไห้เสียใจมากจึงเดินเข้ามาถาม: “คุณครับ ไม่ทราบว่าเป็นญาติกับผู้ตายใช่มั้ยครับ?”
“ฉันไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้……….” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวร้องไห้ไม่หยุด
“ไม่ทราบว่าคนที่บ้านมีใครหายตัวไปมั้ยครับ?”
ไป๋มู่ชิงเปลี่ยนเป็นพยักหน้าแทน
“ไม่งั้นคุณไปดูหน้าศพหน่อยมั้ยครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจประคองเธอลุกขึ้นจากพื้น
ไป๋มู่ชิงมองศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวทั้งสองร่าง ก่อนจะพยักหน้าและตามด้วยส่ายหน้า เธอไม่กล้าพอที่จะเข้าไปดู เธอกลัวว่าจะเป็นแม่และเสี่ยวอี้จริงๆ
“คุณไปดูหน่อยเถอะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดด้วยความหนักใจ
“ฉันไม่กล้า……”
“แล้วจะทำยังไงดี? คุณยังมีญาติคนอื่นอีกมั้ย? เรียกพวกเขามาได้มั้ย?”
“ไม่มีแล้ว ฉันไม่มีญาติที่ไหนแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียว……” เธอยืนพิงตำรวจอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้องไห้ปานจะขาดใจ
“ถ้าคุณไม่เข้าไปดู เราจะส่งศพไปที่ห้องดับจิตแล้วนะครับ”
“ไม่! ฉันดู ฉันดู……” ไป๋มู่ชิงกำเสื้อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้แน่น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคอยประคองและกึ่งจุงเธอเข้าไปในเขตกั้นพื้นที่เกิดเหตุ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะข้ามเชือกกั้นเขต แขนอีกข้างของไป๋มู่ชิงก็ถูกจับไว้และดึงตัวเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนคนหนึ่ง
เธอเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำฝนและน้ำตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเฉินอยู่ตรงหน้า
“เธอมาทำอะไรที่นี่?” มือข้างหนึ่งของหนานกงเฉินโอบเอวบางไว้ มืออีกข้างถือร่มคันใหญ่ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“แม่กับเสี่ยวอี้พวกเขา……” ไป๋มู่ชิงเสียใจจนพูดไม่ออก
เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นหนานกงเฉินกอดไป๋มู่ชิงไว้ จึงถามเขา: “คุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าเป็นเพื่อนกับเธอคนนี้ใช่มั้ยครับ?”
“ผมเป็นสามีเธอ” หนานกงเฉินพูด
“งั้นก็ดีเลย คุณผู้หญิงท่านนี้ไม่กล้าเข้าไปดูร่างผู้เสียชีวิต คุณไปดูแทนเธอหน่อยเถอะครับ”
หนานกงเฉินปรายตามองเข้าไปในเขตพื้นที่เกิดเหตุที่มีเชือกกั้นไว้ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น: “ไม่ต้องดูก็ได้ ไม่ใช่คนในครอบครัวเราครับ”
“แต่เมื่อครู่เธอบอกว่า…..แม่และน้องเธอหายตัวไปนะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ
หนานกงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเดิม: “เธอจำผิดครับ แม่และน้องชายเธอไม่ได้หายไปไหน”
“อ้าว………..?” เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกแปลกใจ
ไป๋มู่ชิงได้ยินหนานกงเฉินพูดแบบนั้น ก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองเขานิ่งด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
พักใหญ่กว่าเธอจะเปล่งเสียงออกมาถาม: “เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“จริง” หนานกงเฉินโอบตัวเธอเข้าหาอีกนิด เพื่อไม่ให้ตัวเธอโดนฝน
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าไปมา: “ฉันไม่เชื่อ คุณโกหกฉัน”
“ถ้าเธอไม่เชื่อก็เข้าไปดูเอาเอง” หนานกงเฉินพูดขึ้นพร้อมทำท่าจะพาเธอเข้าไปดู เธอรีบกอดตัวเขาไว้แน่นไม่ยอมก้าวเข้าไป หนานกงเฉินมองท่าทางเธอที่อยากเข้าไปดูแต่ก็กลัวที่จะเข้าไป เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ : “ไป๋มู่ชิงฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีความละอายอย่างเธอ ยิ่งไม่ใช่คนขี้โกหกเหมือนเธอ ฉันบอกว่าไม่ใช่พวกเขาก็คือไม่ใช่”
ได้ยินที่เขาพูด ไป๋มู่ชิงก็หยุดร้องไห้โวยวาย เธอยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดเขาสักครู่ก่อนจะค่อยๆนิ่งไปในที่สุด
ไป๋มู่ชิงที่ตกใจจนเข่าทรุด อีกทั้งยังร้องให้เสียใจอย่างหนัก ตอนนี้เธอแทบจะอ่อนแรงไปทั้งตัว ถึงขนาดว่าหนานกงเฉินพาเธอกลับมาถึงคอนโดแล้วเธอยังไม่รู้สึกตัว
คอนโดเซียงตี๋ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิน เนื่องจากทั้งสองเปียกปอนไปทั้งตัว หนานกงเฉินกลัวว่าเธอจะเป็นหวัดจึงหาที่ใกล้ๆสำหรับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังกลับมาถึงคอนโด หนานกงเฉินก็พาเธอเข้าไปในห้องน้ำทันที ก่อนจะเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำและถอดเสื้อผ้าเปียกชื้นบนตัวเธอให้
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงกำเสื้อไว้ก่อนพูด: “ฉันถอดเอง”
อาจเป็นเพราะร่างกายที่อ่อนแรง ทำให้เธอเอื้อมมือไปรูดซิปด้านหลังไม่ได้ หนานกงเฉินเห็นว่าเธอรูดซิปลงไม่ได้ เลยยกมือไปช่วยดึงซิปลงพร้อมแกะตะขอเสื้อในให้เธอด้วย
ไป๋มู่ชิงที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ารู้สึกผิดหวังจนถอนหายใจ
เธอนึกขึ้นได้ว่าเธอมาที่นี่เพื่ออะไร จึงรีบเดินไปตรงโต๊ะบนหัวเตียง แล้วหยิบโทรศัพท์ตั้งโต๊ะขึ้นมาลองกดเบอร์โทรฯออ ปรากฏว่าโทรฯได้จริงๆ
รอสายโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ ก่อนปลายสายจะมีเสียงพูดของซูซี่ที่ดูอ่อนแรง “มู่ชิง เธอเป็นอิสระแล้วเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงอึ้งไปแปบหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น: “เสี่ยวซี่เธอเป็นยังไงบ้าง? ทำไม่พูดเหมือนคนไม่แรงแบบนั้น?”
“ไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย” ซูซี่เปลี่ยนเรื่องพูดขึ้น: “เธอจะถามเรื่องผลตรวจดีเอ็นเอใช่มั้ย? เธอต้องผิดหวังอีกแล้วล่ะ เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของเธอ”
“ไม่เป็นไร” ไป๋มู่ชิงสลดใจ รู้สึกผิดหวังอย่างมาก
“ฉันบอกเธอแล้วเด็กถูกนำมาทิ้งไว้หน้าบ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่เธอยังไม่คลอด เธอก็ไม่ยอมเชื่อ เหนื่อยเปล่าเลย” ซูซี่ถอนหายใจ: “แต่เธอก็อย่าเสียใจไปเลย ใจเย็นๆ”
ไป๋มู่ชิงกำหูโทรศัพท์ไว้แน่น อดกลั้นความเสียใจ: “ฉันรู้แล้ว”
“มู่ชิง เธอยังสบายดีมั้ย?”
“ฉันสบายดี” ไป๋มู่ชิงรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจ ก่อนจะพูด: “เสี่ยวซี่ ขอบใจมากนะ เธอก็ดูแลตัวเองดีๆนะ ฉันวางสายก่อนละ”
“ก็ได้ บาย”
หลังจากวางสายไป๋มู่ชิงก็ค่อยๆนั่งลงบนเตียง
ตอนที่ไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเธอก็ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่พอรู้ว่าเด็กไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเธอก็ยังรู้สึกผิดหวังมากเหลือเกิน
ความหวังเล็กน้อยที่จะค้นหาลูกหมดไปแล้ว หลังจากนี้เธอจะค้นหาจากทางไหนได้อีกนะ
หลังวางสายไป๋มู่ชิงก็นั่งคิดไปเรื่อยเปื่อยจนลืมเวลา เธอไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียเดินที่ดังจากทางประตู
ขณะที่หนานกงเฉินเตรียมเข้านอนหลังจากเสร็จงาน เขาเห็นว่าเธอไม่อยู่ในห้องนอนใหญ่เลยลองเดินไปดูที่ห้องนอนแขก แต่ประตูห้องล็อกอยู่ ไม่รู้ว่านึกยังไงเขาถึงได้ไปเอากุลแจสำรองมาเปิดประตู
ปรากฏว่าในห้องไม่มีคนอยู่ เขารู้สึกโมโหขึ้นมาทันที
ในเวลานั้นในหัวเขาคาดเดาไปหลายอย่าง เธออาจถือโอกาสนี้หนีออกไปแล้ว หรืออาจแค่เห็นว่าฝนหยุดแล้วอยากออกไปเดินเล่น ซึ่งเขาอยากให้เป็นอย่างหลังมากกว่า เขาเดินไปตรงระเบียงแล้วมองลงไปที่สวนใต้ตึก
ทันใดนั้นเขาเห็นว่าห้องข้างๆที่ติดกันไฟเปิดสว่างอยู่ ในใจที่เพิ่งจะสงบลงได้ชั่วครู่เริ่มร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเดินไปที่ห้องแล้วลองใส่รหัสที่จำได้ ก่อนเปิดประตูเข้าไปพบว่าเธออยู่ในนั้นจริงๆ
ใช่ เธออยู่ในนั้น
นั่งอยู่ขอบเตียงคนเดียว ไม่รู้ว่ากำลังรำลึกเรื่องอะไรอยู่ถึงได้ดูอินขนาดนั้น
ถึงขนาดว่าเขามายืนอยู่ในห้องเกือบสามนาทีแล้วเธอยังไม่รู้ตัว
“ทำไม? คนไม่อยู่แล้ว ถึงกับต้องแอบมานั่งรำลึกความหลังอันหอมหวานในอดีตคนเดียวถึงที่นี่เลยเหรอ?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อดกลั้นอารมณ์โมโห
ไป๋มู่ชิงสะดุ้งตกใจ รีบลุกขึ้นจากขอบเตียง จ้องมองเขา: “คุณมาได้ไง?”
“ถ้าฉันไม่เข้ามาเธอคงจะนั่งรำลึกไปจนถึงเช้าเลยสินะ” หนานกงเฉินเดินเข้ามารวบเอวบานเข้าหา ก่อนจะปรายตามองเตียงใหญ่แวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น: “กำลังรำลึกถึงเรื่องบนเตียงอันหอมหวานถึงใจที่มีด้วยกันอยู่ใช่มั้ย?”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว จึงรีบตอบ: “ไม่ใช่นะ!”
“ไม่ใช่? แล้วดึกดื่นค่ำมืดเธอจะแอบหนีมานั่งใจลอยอยู่ที่นี่ทำไม?”
“ฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากมาดูว่าเสื้อผ้าฉันยังอยู่มั้ย แล้วที่ฉันนั่งใจลอย…..ก็เพราะฉันคิดถึงเสี่ยวอี้”
“ที่นี่มันห้องนอนใหญ่ชัดๆ ถ้าคิดถึงเสี่ยวอี้ทำไมไม่ไปห้องนอนเขา?”
เธอเป็นคนที่โต้เถียงไม่เก่งอยู่แล้ว พอโดนเขาบังคับถามเอาแบบนี้ยิ่งหัวหมุนไปหมด
“ทำไม? พูดไม่ออกเลย?” มือหนานกงเฉินขยับขึ้นเล็กน้อย ทำให้เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ที่เธอสวมอยู่ถกขึ้นไปอยู่บนเอว ริมฝีปากเขางับเข้าที่ใบหูเธอ: “เธอว่า……ฉันควรจะช่วยเธอลบความทรงจำบนเตียงนี้ดีมั้ย?”
พูดเสร็จ เขาก็หมุนตัวผลักตัวเธอลงไปนอนบนเตียงนุ่ม ก่อนที่ตัวเขาทาบตามลงมา
ไป๋มู่ชิงดิ้นรนและใช้มือผลักตัวเขาออก พร้อมพูดเสียงดัง: “หนานกงเฉิน! ฉันจะต้องพูดอีกกี่ครั้งว่าฉันกับหลินอันหนานไม่เคยมีอะไรกัน?!”
“พูดอีกกี่ครั้งก็ไม่เชื่อ!” หนานกงเฉินกัดฟันพูด
เขารู้แค่ว่าเธอกับหลินอันหนานอยู่ด้วยกันกว่าสามปี รู้ว่าพวกเขารักกันหวานชื่นมาก เขายังเห็นว่าเธอยืนแลกแหวนกับหลินอันหนานอยู่บนเวทีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
สิ่งที่เขารู้มีแต่เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสุขของเธอและหลินอันหนาน
เขาไม่เชื่อ ไป๋มู่ชิงก็จนใจ เธอหันหน้าไปด้านข้างแล้วหลับตาลง เขาจะทำอะไรก็แล้วแต่เขา
ในเมื่อที่ผ่านมาหนานกงเฉินก็ทำเรื่องอย่างว่ากับเธอจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ยิ่งเธอดิ้นรนก็ยิ่งไปกระตุ้นอารมณ์เขาเปล่าๆ
ถึงแม้ว่าปากจะบอกว่าจะลบความทรงจำของเธอและหลินอันหนานบนเตียงหลังนี้ แต่เอาเข้าจริงหนานกงเฉินกลับรู้สึกไม่ดี แค่เตียงนอนของผู้ชายคนอื่นเขายังไม่เคยนั่ง อย่าว่าแต่จะขึ้นมาทำอะไรเรื่องอย่างว่าเลย
เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะดึงตัวไป๋มู่ชิงที่เสื้อยับยู่ยี่ขึ้นจากเตียง และลากมือเธอให้เดิ่นตามไปทางประตู พอกลับมาถึงห้องตัวเอง ก็ใช้มืออีกข้างกระชากเสื้อเชิ้ตจนกระดุมหลุดทั้งแถบ รูปร่างสมส่วนของเธอฉายชัดต่อหน้าเขา
ไป๋มู่ชิงร้องเสียงหลง ยังไม่ทันจะได้ต่อต้านเขา ก็โดนเขาผลักให้นอนลงไปบนเตียงก่อนจะระดมจูบลงมา และกัดเบาๆตรงลำคอเธอ

ประตูรั้วลวดลายสไตล์ยุโรปของคฤหาสน์ ปกติแล้วยามที่เข้าเวรจะล็อคเอาไว้ตลอด วันนี้เนื่องจากฝนตกหนักยามเลยไม่ทันได้ล็อค
ยามที่ดูแลความปลอดภัยเห็นไป๋มู่ชิงกำลังจะเปิดประตูออกไปข้างนอก ก็วิ่งเข้ามาจับแขนเธอไว้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ “คุณหนูไป๋คุณออกไปไม่ได้ รีบกลับเข้าไปข้างในเถอะ!”
ถ้าเป็นเวลาปกติ ไป๋มู่ชิงจะไม่ทำให้พี่ยามลำบากใจเลย เพราะเธอรู้จักนิสัยของหนานกงเฉินดี และเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา
แต่วันนี้ เธอจะมัวคำนึงแต่ความลำบากของเขาไม่ได้แล้ว เธอทั้งดิ้นรนและกรีดร้อง:”ปล่อยฉัน! วันนี้ฉันต้องออกไป! ปล่อย!”
“คุณหนูไป๋ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ!” พี่ยามโยนร่มลงพื้น แล้วใช้สองมือจับเธอไว้
ฝนเทลงมาจนทั้งสองเปียกไปทั้งตัว
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตื่นตกใจไปกับคำขู่ของยาม เธอจับราวประตูเหล็กไว้แน่น ก่อนจะพูดข่มขู่เขา: “ถ้าพี่ยังไม่ปล่อยฉัน ฉันจะตายให้ดู ฉันจะโขกหัวให้ตายอยู่ตรงนี้เลย……..!”
ไป๋มู่ชิงพูดขู่เสร็จก็เอาหัวโขกเข้ากับประตู ยามที่เข้าเวรตกใจจนรีบเอามือไปรองรับหัวเธอไว้
หัวของไป๋มู่ชิงโขกเข้ากับหลังมือเขา พี่ยามเห็นว่าเธอเอาจริงเขาตกใจช็อคยืนนิ่งกับที่ ไป๋มู่ชิงใช้โอกาศนี้เบียดตัวออกไปด้านข้าง แล้ววิ่งหายไปท่ามกลางสายฝน
เลขาเหยียนเดินเข้ามาในห้องประชุม ตรงไปกระซิบข้างหูหนานกงเฉิน “คุณชายเฉิน ยามที่คฤหาสน์โทรฯมาแจ้งว่า นายหญิงน้อยหนีออกไปแล้วค่ะ”
ดวงตาหนานกงเฉินเข้มขึ้น: “คุณว่าอะไรนะ?”
“ทางโน้นแจ้งว่าเมื่อเช้าขณะที่นายหญิงน้อยทานข้าวเช้าอยู่ก็เห็นรายงานข่าวสองแม่ลูกกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่แม่น้ำปินช่วงถนนหงลี่ หลังจากนั้นเธอก็วิ่งออกไปเหมือนคนบ้าเลยค่ะ” เลขาเหยียนพูดต่อ: “ฉันให้คุณหวางไปหาตามทางที่ไปคฤหาสน์แล้วค่ะ และยังให้เสี่ยวหลินลองไปดูที่ริมแม่น้ำด้วย ฝนตกหนักขนาดนี้ คุณจะ……ไปดูเองมั้ยคะ?”
หนานกงเฉินนิ่งขรึม ก่อนพูด: “คุณช่วยประชุมต่อหน่อย”
“ได้ค่ะ” เลขาเหยียนตอบรับ
ไป๋มู่ชิงจำทางได้ตั้งแต่ออกมาครั้งที่แล้วเมื่อสองวันก่อน จากคฤหาสน์เดินอ้อมไปตามทางเลียบริมทะเลก็เจอกับถนนใหญ่ เธอโบกรถแท็กซี่และขึ้นไปนั่งทันที
คนขับแท็กซี่มองเธอในสภาพที่เปียกไปทั้งตัว ก่อนขับรถออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ไป๋มู่ชิงมาถึงริมแม่น้ำ ถึงแม้ว่าฟ้าจะค่อนข้างมืดสลัว แต่เธอก็ยังคงมองเห็นร่างของสองแม่ลูกที่ถูกนำขึ้นมาไว้บนฝั่งแล้ว อีกทั้งยังใช้ผ้าขาวคลุกร่างไว้ด้วย
เธอตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งร้องไห้โฮกับพื้น จนคนขับรถแท็กซี่ที่วิ่งตามมาทวนค่ารถยังต้องถอย
ด้วยว่าฝนตกหนักมาก คนที่มามุงดูเลยไม่มาก เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นเธอนั่งร้องไห้เสียใจมากจึงเดินเข้ามาถาม: “คุณครับ ไม่ทราบว่าเป็นญาติกับผู้ตายใช่มั้ยครับ?”
“ฉันไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้……….” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวร้องไห้ไม่หยุด
“ไม่ทราบว่าคนที่บ้านมีใครหายตัวไปมั้ยครับ?”
ไป๋มู่ชิงเปลี่ยนเป็นพยักหน้าแทน
“ไม่งั้นคุณไปดูหน้าศพหน่อยมั้ยครับ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจประคองเธอลุกขึ้นจากพื้น
ไป๋มู่ชิงมองศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวทั้งสองร่าง ก่อนจะพยักหน้าและตามด้วยส่ายหน้า เธอไม่กล้าพอที่จะเข้าไปดู เธอกลัวว่าจะเป็นแม่และเสี่ยวอี้จริงๆ
“คุณไปดูหน่อยเถอะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดด้วยความหนักใจ
“ฉันไม่กล้า……”
“แล้วจะทำยังไงดี? คุณยังมีญาติคนอื่นอีกมั้ย? เรียกพวกเขามาได้มั้ย?”
“ไม่มีแล้ว ฉันไม่มีญาติที่ไหนแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียว……” เธอยืนพิงตำรวจอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้องไห้ปานจะขาดใจ
“ถ้าคุณไม่เข้าไปดู เราจะส่งศพไปที่ห้องดับจิตแล้วนะครับ”
“ไม่! ฉันดู ฉันดู……” ไป๋มู่ชิงกำเสื้อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้แน่น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคอยประคองและกึ่งจุงเธอเข้าไปในเขตกั้นพื้นที่เกิดเหตุ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะข้ามเชือกกั้นเขต แขนอีกข้างของไป๋มู่ชิงก็ถูกจับไว้และดึงตัวเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนคนหนึ่ง
เธอเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำฝนและน้ำตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเฉินอยู่ตรงหน้า
“เธอมาทำอะไรที่นี่?” มือข้างหนึ่งของหนานกงเฉินโอบเอวบางไว้ มืออีกข้างถือร่มคันใหญ่ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“แม่กับเสี่ยวอี้พวกเขา……” ไป๋มู่ชิงเสียใจจนพูดไม่ออก
เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นหนานกงเฉินกอดไป๋มู่ชิงไว้ จึงถามเขา: “คุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าเป็นเพื่อนกับเธอคนนี้ใช่มั้ยครับ?”
“ผมเป็นสามีเธอ” หนานกงเฉินพูด
“งั้นก็ดีเลย คุณผู้หญิงท่านนี้ไม่กล้าเข้าไปดูร่างผู้เสียชีวิต คุณไปดูแทนเธอหน่อยเถอะครับ”
หนานกงเฉินปรายตามองเข้าไปในเขตพื้นที่เกิดเหตุที่มีเชือกกั้นไว้ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น: “ไม่ต้องดูก็ได้ ไม่ใช่คนในครอบครัวเราครับ”
“แต่เมื่อครู่เธอบอกว่า…..แม่และน้องเธอหายตัวไปนะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ
หนานกงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเดิม: “เธอจำผิดครับ แม่และน้องชายเธอไม่ได้หายไปไหน”
“อ้าว………..?” เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกแปลกใจ
ไป๋มู่ชิงได้ยินหนานกงเฉินพูดแบบนั้น ก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองเขานิ่งด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
พักใหญ่กว่าเธอจะเปล่งเสียงออกมาถาม: “เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“จริง” หนานกงเฉินโอบตัวเธอเข้าหาอีกนิด เพื่อไม่ให้ตัวเธอโดนฝน
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าไปมา: “ฉันไม่เชื่อ คุณโกหกฉัน”
“ถ้าเธอไม่เชื่อก็เข้าไปดูเอาเอง” หนานกงเฉินพูดขึ้นพร้อมทำท่าจะพาเธอเข้าไปดู เธอรีบกอดตัวเขาไว้แน่นไม่ยอมก้าวเข้าไป หนานกงเฉินมองท่าทางเธอที่อยากเข้าไปดูแต่ก็กลัวที่จะเข้าไป เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ : “ไป๋มู่ชิงฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีความละอายอย่างเธอ ยิ่งไม่ใช่คนขี้โกหกเหมือนเธอ ฉันบอกว่าไม่ใช่พวกเขาก็คือไม่ใช่”
ได้ยินที่เขาพูด ไป๋มู่ชิงก็หยุดร้องไห้โวยวาย เธอยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดเขาสักครู่ก่อนจะค่อยๆนิ่งไปในที่สุด
ไป๋มู่ชิงที่ตกใจจนเข่าทรุด อีกทั้งยังร้องให้เสียใจอย่างหนัก ตอนนี้เธอแทบจะอ่อนแรงไปทั้งตัว ถึงขนาดว่าหนานกงเฉินพาเธอกลับมาถึงคอนโดแล้วเธอยังไม่รู้สึกตัว
คอนโดเซียงตี๋ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิน เนื่องจากทั้งสองเปียกปอนไปทั้งตัว หนานกงเฉินกลัวว่าเธอจะเป็นหวัดจึงหาที่ใกล้ๆสำหรับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังกลับมาถึงคอนโด หนานกงเฉินก็พาเธอเข้าไปในห้องน้ำทันที ก่อนจะเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำและถอดเสื้อผ้าเปียกชื้นบนตัวเธอให้
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงกำเสื้อไว้ก่อนพูด: “ฉันถอดเอง”
อาจเป็นเพราะร่างกายที่อ่อนแรง ทำให้เธอเอื้อมมือไปรูดซิปด้านหลังไม่ได้ หนานกงเฉินเห็นว่าเธอรูดซิปลงไม่ได้ เลยยกมือไปช่วยดึงซิปลงพร้อมแกะตะขอเสื้อในให้เธอด้วย

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset