เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 177 โรคกำเริบ

ตอนที่เดินผ่านชั้นหนึ่ง เธอก็พบกับคุณหญิงที่กำลังจะกลับไปนอนในห้องพอดี จะถอยกลับไปก็ไม่ทันแล้วเธอก็เลยต้องเอ่ยทักทาย “คุณย่า……”
คุณหญิงมองตาขวางใส่เธอแล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบลื่น “ดึกขนาดนี้แล้วจะไปไหน?”
“หนู……” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะตอบยังไงเลยพูดไปว่า “หนูมีเรื่องด่วนที่ต้องออกไปจัดการ จะรีบกลับมาค่ะ”
“ห้ามออกไป!” คุณหญิงสั่งเสียงเข้ม
พี่เหอที่ยืนอยู่ข้างๆก็เอ่ยขึ้น “คุณหญิงน้อยคะ คุณเป็นคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกง การกระทำทุกอย่างก็ต้องนึกถึงภาพลักษณ์ของตระกูลด้วย ดึกขนาดนี้แล้วยังออกไป ไม่สมควรเลยนะคะ”
ไป๋มู่ชิงอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่างพี่เหอก็พูดขึ้นอีกว่า “รีบกลับห้องไปเถอะค่ะ”
เธอมองไปทางพี่เหอแล้วมองไปทางคุณหญิงที่สีหน้าเข้มงวดเลยจำใจต้องเดินกลับชั้นบนไป
เธอที่กำลังเดินวนอยู่ในห้องนอน ยิ่งคิดยิ่งจะยอมให้คุณหนูจูทำแผนสำเร็จไปทีละขั้นไม่ได้ ถ้าเวลานี้คุณหนูจูอยู่ข้างกายหนานกงเฉิน ยังไงก็ต้องทุ่มเททั้งตัวทั้งใจยั่วยวน หนานกงเฉินคงรับมือไม่ไหว ถ้าเหมือนกับที่เหยาเหม่ยเคยพูด ถ้าทั้งสองคนมีอะไรกันแล้วเธอก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้อีก
ไม่ได้ เธอจะปล่อยผู้หญิงคนนี้ไว้ไม่ได้ จะยอมแพ้แบบนี้ไม่ได้
เธอดึงเปิดประตูห้องอีกครั้งแล้วเดินก้าวเสียงเบาลงไปข้างล่าง ยังดีที่พี่เหอกับคุณหญิงเข้านอนแล้ว เธอมาถึงลานจอดรถได้อย่างราบรื่นแล้วขับรถแล่นออกจากประตูแล้วเดินทางตรงไปในเมือง
ซูซี่เดาได้ไม่ผิดเลย จูจูไม่ยอมปล่อยโอกาสที่ดีๆแบบนี้แน่
เมื่อเธอมาถึงคอนโดเซียงตี๋ หนานกงเฉินก็กำลังนั่งดื่มอยู่คนเดียวที่ห้องรับแขก ที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะก็เกือบจะล้นออกมาแล้ว
เสียงกริ่งประตูดังขึ้นไปสักพัก หนานกงเฉินค่อยยันตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปทางประตู เขาไม่ดูเลยด้วยซ้ำก็เปิดประตูลิฟท์ชั้นหนึ่งพร้อมกับเปิดประตูใหญ่ด้วย
จูจูเดินขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วกวาดมองไปบนโต๊ะที่เลอะเทอะแล้วสายตาก็หยุดอยู่ที่ก้นบุหรี่ในถ้วยเขี่ยบุหรี่พร้อมพูดอย่างเป็นห่วง “คุณจะกินบุหรี่กับเหล้าเป็นอาหารมื้อเย็นหรอ?”
หนานกงเฉินเงยหน้ามองกวาดไปที่เธอ “ทำไมถึงเป็นคุณ?”
“ไม่งั้นคุณนึกว่าใครล่ะ?” จูจูนำอาหารเย็นวางลงบนโต๊ะแล้วเก็บกวาดสิ่งของบนโต๊ะกับพื้นไปด้วย “ฉันได้ยินเพื่อนร่วมงานเก่าบอกว่ามีปัญหาเกี่ยวกับบริษัทแล้วคุณก็กำลังทะเลาะกับมู่ชิง ฉันเลยเดาได้ว่าคุณต้องแอบมาดื่มเหล้าคนเดียวก็เลยตามมาด้วย”
เธอยื่นมือไปดึงบุหรี่จากมือเขา “พอแล้ว ไม่ต้องสูบแล้ว มากินอะไรก่อนเถอะ”
พูดจบเธอก็นำอาหารในกล่องที่เธอนำมาออกมาด้วย “ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้คุณก็ยังชอบกินปลาอยู่หรือเปล่า ฉันก็เลยซื้อปลาซอสแดงมาให้ ลองชิมดูสิ”
หนานกงเฉินมองไปที่ปลาซอสแดงในมือเธอ จากนั้นก็รับไปกิน
จูจูนั่งลงข้างกายเขาแล้วพูดปลอบใจ “คุณก็อย่าโทษมู่ชิงเลย ยังไงรักแรก ช่วยไรได้นิดหน่อยก็คงจะช่วย ดูสิ คุณก็ช่วยฉันเหมือนกันไม่ใช่หรอ?”
เมื่อนึกถึงไป๋มู่ชิงกับหลินอันหนาน หนานกงเฉินก็ไม่รู้สึกหิวทันที เขาโยนตะเกียบในมือแล้วยกขวดเหล้าข้างๆขึ้นดื่ม
“ทำไมไม่กินแล้วล่ะ?”
หนานกงเฉินไม่ตอบแต่จ้องเธอไว้ “รักแรกมันลืมยากขนาดนั้นเลยหรอ?”
คำตอบนี้ เขาแน่ใจมาตลอด ตั้งแต่ที่จูจูกลับมา เขาก็รู้สึกว่าไม่ได้ยากขนาดนั้น ถ้าเทียบกับจูจู ตอนนี้เขารักไป๋มู่ชิงมากกว่า เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย
จูจูยิ้มตอบ “ฉันรู้สึกว่า……ทั้งชีวิตนี้ก็คงลืมไม่ได้ อย่างน้อยฉันเป็นอย่างนี้”
หนานกงเฉินจ้องไปที่สายตาของเธอที่หม่นหมอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำตอบเธอหรือว่าเป็นห่วงเธอ
“เฉิน อย่าคิดเยอะขนาดนั้นเลย ถ้าคุณรักเธอก็ควรจะยอมรับในสิ่งที่เธอทำไม่ใช่หรอ?” จูจูพูดขึ้นต่อ “คุณดูฉันสิ ไม่ว่าคุณจะรักผู้หญิงคนไหน แต่แค่คุณหันกลับมามองฉัน ฉันก็รู้สึกพอใจแล้ว”
“จู……ขอโทษ” หนานกงเฉินยกขวดเหล้าขึ้นดื่มอีก จูจูแค่ห้ามเป็นพิธีเท่านั้น
“เฉิน คุณไม่ต้องเอาแต่พูดขอโทษกับฉัน ตอนนั้นฉันเป็นคนไปจากเอง ถึงแม้จะถูกบังคับแต่ผิดก็คือผิด ฉันไม่โทษคุณ” จูจูก็ยกเบียร์ขึ้นมาดื่มเหมือนกัน
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงออกมาจากบ้านก็ตรงไปที่บาร์ที่หนานกงเฉินชอบไป พอวนหาไปแล้วก็ไม่เห็นเงาเขา เลยไปหาที่บาร์อื่นต่อ
เธอหาที่บาร์หรูหราทั่วเมืองแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอจนเธอเริ่มถอดใจแล้ว
ขณะที่นั่งอยู่ในรถเธอก็มองรถตรงหน้าที่ผ่านไปผ่านมา ไม่รู้เลยว่าควรจะไปที่ไหนต่อ
เมื่อรถแล่นผ่านถนนปินเจียง เธอก็นึกขึ้นถึงภาพเหตุการณ์ที่หนานกงเฉินแอบไปดื่มเหล้าที่ระเบียงคอนโดคนเดียว เลยกลับทิศทางแล่นรถไปทางคอนโดเซียงตี๋ทันที
เมื่อจอดรถที่ลานจอดรถ เธอก็เห็นรถของหนานกงเฉินจอดอยู่ที่ประจำ
พอเห็นรถของเขา ไป๋มู่ชิงก็แอบโล่งใจไป เขาอยู่ที่นี่จริงๆด้วย ยังดีที่ไม่อยู่ข้างนอก
เธอขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นที่หนานกงเฉินอยู่ เธอแนบหูฟังกับประตูจากนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะประตู
เคาะประตูเป็นแค่มารยาทเท่านั้น เธอเคาะเสร็จก็กดรหัสแล้วเปิดประตูเข้าไปเลย
แว๊บแรกที่เธอเห็นก็เป็นเงาของจูจู ในมือเธอจับขวดเหล้าอยู่แล้วสวมใส่ชุดที่เว้าลึก เสื้อคลุมสีแดงก็โยนไปที่ข้างโซฟา
ดูเหมือนหนานกงเฉินก็จะเมาแล้ว เขานั่งสูบบุหรี่อยู่บนพื้นด้วยสายตามึนมัว
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูทั้งสองที่อยู่ในห้องรับแขกก็หันมา พอเห็นเธอ สายตาหนานกงเฉินไม่ได้หยุดอยู่บนตัวเธอแม้แต่วิเดียว แต่จูจูกลับรีบลุกขึ้นจากโซฟาแล้วยิ้มกับเธอ “มู่ชิง เธอมาแล้วหรอ”
ไป๋มู่ชิงมองไปทางหนานกงเฉินแล้วมองไปที่ใบหน้าที่เสแสร้งของจูจู ความโกรธในใจอัดอั้นจนเกือบจะหายใจไม่ออก
ซูซี่พูดถูก ผู้หญิงคนนี้กำลังเดินตามแผนของตัวเองค่อยๆเข้าใกล้หนานกงเฉิน นี่เป็นเหตุผลที่เธอจงใจวางกับดักกับเธอ!
เธอเดินก้าวเข้าไปแล้วจ้องไปที่หนานกงเฉิน “หนานกงเฉิน นายลืมสัญญาของเราแล้วหรอ?”
“สัญญา?” หนานกงเหัวเราะอย่างเยาะเย้ย เขาไม่ได้มองเธอเลยก็ยังก้มสูบบุหรี่อยู่อย่างนั้น กำลังปลดปล่อยควันบุหรี่ที่เทาควันสวยงามออกมา
ในควันบุหรี่เขาทุลักทุเลจนทำให้คนอื่นเป็นห่วง
“สัญญาอะไร?” จูจูมองไปทางหนานกงเฉินแล้วมองไปทางไป๋มู่ชิงรีบพูดขึ้น “มู่ชิง เธออย่าเข้าใจผิดนะ ฉันแค่ได้ยินจากเพื่อนร่วมงานเก่าบอกว่าบริษัทมีปัญหาเลยมาเยี่ยมดูคุณชายเฉิน แล้วดื่มกับเขาไปไม่กี่แก้วเท่านั้น”
ใบหน้าที่เสแสร้งของเธอกระตุกต่อมอารมณ์ของไป๋มู่ชิง เธอเดินขึ้นไปแล้วตบหน้าเธอแล้วพูดอย่างหงุดหงิด “คุณหนูจู ทีแรกฉันไม่อยากจะยุ่งอะไรกับคุณอีก เพราะฉันรู้ว่าคุณไม่มีทางยอมรับผิด แต่คุณก็อย่าโอ้อวดไป วางแผนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดึกขนาดนี้แล้วยังมาดื่มเหล้ากับสามีฉันอีก? เธออยากจะดื่มเหล้ากับเขาหรืออยากจะขึ้นเตียงกับเขากันแน่?”
จูจูถูกเธอตบหน้าไปน้ำตาก็ไหลลงมาทันทีแล้วจ้องไปที่เธอด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “มู่ชิง เธอกำลังพูดอะไร? ฉันฟังไม่รู้เรื่อง?”
“เธอก็ต้องฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว! ต่อหน้าคุณชายเฉิน เธอเอาแต่เสแสร้งร้องไห้ยังทำอะไรได้อีก?” ไป๋มู่ชิงจับแขนเธอไว้แล้วดึงตัวเธอไปต่อหน้าหนานกงเฉิน “เฉิน ตอนนี้นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่? เธอจงใจทำให้เราเข้าใจผิดกัน จงใจทำให้เราทะเลาะกัน เธอก็จะได้เข้ามาแย่งคุณไปได้ เธอรู้อยู่แล้วว่านายดื่มไม่ได้แล้วดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังมาดื่มเป็นเพื่อนนายอีก เธอจะมอมนายแล้วขึ้นเตียงกับนาย หลังจากนั้นเดือนนึงเธอก็จะบอกว่าท้อง แผนการสำส่อนของมือที่สามแบบนี้นายลืมตามาดูชัดๆสิ!”
จูจูก็ยังส่ายหัวแล้วจับแก้มตัวเองไว้ “ฉันไม่เคยคิดเลย ไม่เคยเลย เมื่อกี้ฉันกำลังจะกลับแล้ว แต่คุณชายเฉินไม่ให้ฉันไป……ฉันไม่รู้ว่าคุณชายเฉินดื่มไม่ได้เพราะคุณชายไม่เคยบอกฉัน……”
“เธออย่าเอาแต่หลีกเลี่ยงคำถาม!” ไป๋มู่ชิงผลีกเธอล้มลงไปอย่างหงุดหงิด “เธอขโมยโทรศัพท์ฉันแล้วเอาไปส่งข้อความ ตั้งใจจะให้เฉินเข้าใจฉันผิด เธอกล้าพูดว่าตัวเองไม่ได้ทำเหรอ?”
เธอไม่ได้ผลักแรงมาก แต่จูจูก็เอนล้มไปทางหนานกงเฉิน เธอรีบยันตัวลุกขึ้นแล้วจับแขนหนานกงเฉินไว้ “เฉิน คุณบอกมู่ชิงสิ ฉันไม่เคยทำลายความสัมพันธ์ของพวกคุณ เธอไม่เชื่อฉันคุณก็ไม่เชื่อฉันเหรอ? ถ้าฉันจงใจจะทำลายพวกคุณจริง ฉันไปหาคุณหญิงเลยไม่ดีกว่าเหรอ? ฉันไม่รู้ว่าข้อความอะไร ไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร!”
เธอพูดจบก็หันไปทางไป๋มู่ชิงแล้วพูดด้วยน้ำตา “มู่ชิง ฉันตั้งใจรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณชายเฉินไว้ แต่เธอทำผิดแล้วกลับมาโยนความผิดให้ฉันเป็นเพราะว่าฉันเป็นคนที่เธอเกลียดหรอ? เธอทำแบบนี้เกินไปหรือเปล่า!”
“เธอ……” ไป๋มู่ชิงโกรธจนขึ้นสมอง
ผู้หญิงคนนี้ยังมีหน้ามาพูดว่าตัวเองกำลังรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนานกงเฉิน? เธอยังมีหน้ามาพูดอีก?
“ถ้าฉันอยากจะแย่งคุณชายเฉินกลับไป ฉันก็ให้คุณหญิงช่วยฉันได้ ฉัน……”
“พอแล้ว!” หนานกงเฉินที่เอาแต่เงียบอยู่ก็เอ่ยขึ้น หลังจากที่เขาตะคอกออกมาอย่างหงุดหงิดก็ค่อยๆยันตัวลุกจากพื้น เขาไม่ได้โทษจูจู ไม่ได้สงสัยในตัวเธอแต่กลับจ้องมองไปที่ไป๋มู่ชิงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “พอหรือยัง? ถ้าพอแล้วก็ไสหัวไปซะ!”
“เฉิน……” ไป๋มู่ชิงอ้าปากจะพูด เขาจะให้จูจูอยู่ที่นี่แล้วให้เธอไสหัวไปงั้นหรอ?
หนานกงเฉินเดินก้าวไปแล้วจ้องมองเธอ “ถึงผมกับจูจูจะมีอะไรกัน แต่ก็มีหลังจากที่คุณกับหลินอันหนานมี คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่ง”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันกับหลินอันหนาน……”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่อยากฟังคำโกหกของคุณอีก!” หนานกงเฉินพูดแทรกเธอแล้วชี้ไปทางประตู “ออกไปเดี๋ยวนี้!”
“นี่เป็นบ้านฉัน ถ้าจะไสหัวไปก็ต้องเป็นเธอ!” ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นชี้ไปทางจูจู
จูจูรีบพูดปลอบใจ “มู่ชิง เธอรีบกลับไปเถอะ ถ้าฉันเก็บกวาดที่นี่เสร็จก็จะไปแล้ว ฉันสัญญาว่าฉันไม่เคยคิดเกินเลยกับคุณชายเฉิน ไม่เคยเลย”
“เธออย่าเสแสร้งเป็นคนดีหน่อยเลย!” ไป๋มู่ชิงรู้สึกเบื่อกับสีหน้าที่เสแสร้งของเธอ “นี่เป็นบ้านฉัน ฉันเก็บกวาดเอง!”
หนานกงเฉินเดินก้าวไปต่อหน้าเธออย่างหงุดหงิดแล้วจับแขนเธอผลักไปทางประตู ฝีเท้าของเขาไม่มั่นคงมากจนทำให้ตัวของไป๋มู่ชิงก็เซไปเซมาด้วย แต่ก็ยังมีแรงเยอะพอแล้วผลักไป๋มู่ชิงออกไปนอกประตู
ไป๋มู่ชิงดิ้นรนไปด้วยแล้วเอ่ยอย่างโมโหไปด้วย “เฉิน นายกำลังทำอะไรนาย? คืนนี้นายจะเก็บเธอไว้ที่นี่จริงๆหรอ?”
“ไม่เกี่ยวกับคุณ!”
“ทำไมจะไม่เกี่ยวกับฉัน? ฉันบอกคุณไว้เลย ถ้าคุณพาเธอขึ้นเตียงคุณก็จะไม่มีโอกาสหลุดพ้นจากเธอ……!”
มือไป๋มู่ชิงที่เกาะอยู่มุมประตูไว้แน่นก็ถูกหนานกงเฉินงัดออก เสียงดังขึ้น’ปัง’ ประตูก็ถูกปิดลงจากนั้นก็มีเสียงกลอนประตูล็อคด้วย
ขณะที่ประตูกำลังปิดลง เธอเห็นรอยยิ้มที่เยาะเย้ยบนสีหน้าของจูจู เธอยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอย่างนั้นแล้วกระทืบประตูไป ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี
ถูกคนไล่ออกมาขนาดนี้ เธอก็ควรจะรักษาศักดิ์ศรีไว้แล้วหันหลังเดินออกไป แต่ทำไมก้าวขาไม่ออกเลยเนี่ย เสียงในใจก็บอกว่าคืนนี้ห้ามให้จูจูอยู่ที่นี่เด็ดขาด ห้ามให้แผนของเธอสำเร็จเด็ดขาด
ตอนนี้หนานกงเฉินเมาแล้วก็ จะควบคุมตัวเองได้ยาก คงจะตกหลุมแผนของเธอได้ง่ายฟ
เธอยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง กำลังคิดว่าจากเข้าไปในห้องได้ยังไง เพราะว่าประตูถูกหนานกงเฉินล็อคแล้ว เธอเข้าไปไม่ได้ พอกวาดมองไปรอบๆสายตาเธอก็ตกอยู่ที่หน้าต่างข้างๆตัว
นั้นเป็นคอนโดของหลินอันหนาน เธอจำได้ว่าครั้งก่อนที่หนานกงเฉินเมาแล้วกระโดดจากระเบียงบ้านตัวเองไปที่ห้องของหลินอันหนาน เธอก็สามารถเข้าไปในห้องจากทางนี้ได้ใช่ไหม?
ถึงแม้จะอันตราย แต่เพื่อที่จะหยุดยั้งแผนการของจูจู เธอตัดสินใจลุยออกไป
เธอเดินไปที่หน้าประตูคอนโดหลินอันหนาน ลองกดรหัสดู ครั้งก่อนที่เธอเข้าไปรหัสของหลินอันหนานก็ยังไม่เปลี่ยน ไม่คิดเลยว่าผ่านไปนานขนาดนี้แล้วก็ยังใช้รหัสนี้อยู่
เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปแล้วมองไปรอบๆ ข้างในยังเหมือนกับครั้งก่อนที่เธอมา เธอเดินตรงเก้าไปทางระเบียง ยืนอยู่หน้าระเบียงแล้วกำลังวัดระยะห่างระหว่างสองฝั่งอยู่
พอมองไปเท่านั้น ขาของเธอก็อ่อนแรงทั้งสองข้าง
ระยะระหว่างสองฝั่งก็ยังไกลมาก เธอคงไม่สามารถกระโดดข้ามไปอย่างง่ายดายเหมือนหนานกงเฉิน
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วปีนขึ้นไปบนระเบียงอย่างระมัดระวัง ตัดสินใจว่าจะปีนผ่านกำแพงไปด้วย
ถึงแม้หนานกงเฉินจะเมาแล้ว แต่จูจูไม่ได้เมา เธอเก็บกวาดโต๊ะจนสะอาดจากนั้นก็มองไปที่สีหน้าที่ดูแย่ของหนานกงเฉิน “เฉิน คุณรีบกลับไปพักผ่อนในห้องเถอะ ครั้งนี้ฉันจะกลับจริงๆแล้ว”
หนานกงเฉินยื่นมือไปหยิบเบียร์บนโต๊ะ จูจูก็รีบห้ามมือเขาไว้ “พอแล้ว ถ้าฉันรู้ว่าคุณดื่มไม่ได้เมื่อกี้ฉันคงไม่ให้คุณดื่ม ฉันคงคงจะเก็บกวาดไปหมดแล้ว คุณต้องดูแลตัวเองดีๆเข้าใจไหม?”
ถึงแม้ปากเธอพูดว่าจะออกไป แต่ท่าทางก็ไม่ได้มีร่องรอยของการจะเดินจากไปเลย ก็ยังนั่งอยู่ข้างตัวหนานกงเฉินแล้วมองไปที่เขา
หนานกงเฉินไม่เอ่ยพูดอะไรเอาแต่ก้มหน้าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“คุณชายเฉิน คุณได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า?” เธอถามขึ้นอีก
หนานกงเฉินก็ยังไม่เอ่ยตอบอะไร หูก็เอาแต่ฟังเสียงที่ดังมาจากข้างนอก แต่หน้าประตูกลับเงียบสงบไม่มีเสียงอะไรเลย
เธอไปแล้วหรอ? เขาถามในใจ
จูจูรู้สึกว่ามีเงาของคนอยู่ที่ระเบียง เธอก็เงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจก็เห็นว่าผนังฝั่งนี้มีฝ่ามือหนึ่งกำลังปีนขึ้นมาจากกำแพง นั่นเป็นมือที่เรียวบางของผู้หญิง เป็นมือของไป๋มู่ชิง
เธอลุกขึ้นจากพื้นอย่างเงียบๆแล้วพูดกับหนานกงเฉิน “เฉิน ฉันกลับก่อนนะ” พูดจบก็เดินไปทางระเบียงแล้วพูดว่า “เดี๋ยวฉันช่วยปิดประตูหน้าต่างให้ คุณอย่าเปิดล่ะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
เธอเดินไปทางระเบียงก็เห็นไป๋มู่ชิงกำลังยื่นขาก้าวเข้ามาแล้วกรีดร้องขึ้น “อ้า! มู่ชิงเธอกำลังทำอะไรอยู่?”
ไป๋มู่ชิงก็ตกใจไป จากนั้นเท้าก็สะดุดลื่นร่างกายก็หล่นลงไปแล้วกรีดร้องออกมาเหมือนกัน ยังดีที่มือเธอเร็วเลยจับราวระเบียงไว้แล้วห้อยตัวเองอยู่ที่ราวระเบียงอย่างนั้น
เหงื่อที่หน้าผากก็ไหลออกมา แขนขาที่อ่อนแรงตั้งแต่เมื่อกี้ตอนนี้ก็เมื่อยจนหมดแรง
เธอจ้องไปทางจูจูที่วิ่งมาทางตัวเอง สีหน้าก็รู้สึกเกรงกลัวขึ้นมา ถึงแม้ตอนนี้เธอห้อยอยู่ที่นี่จะอันตรายมาก จำเป็นต้องให้ใครบางคนดึงเธอขึ้นไป แต่เธอรู้ว่าจูจูไม่มีทางช่วยเธอ เธอไม่ช่วยแถมยังจะปล่อยให้ตัวเองร่วงลงไปด้วย
“เธอคิดจะทำอะไร? ออกไปเดี๋ยวนี้นะ……” เธอจ้องเตือนขึ้น
“มู่ชิงทำไมเธอโง่ขนาดนี้? รีบขึ้นมา รีบขึ้นมา……” จูจูพยายามงัดมือเธอออกจากราวระเบียงแล้วพูดอย่างร้อนรน
ไป๋มู่ชิงตกใจกับการกระทำเธอแล้วจับราวระเบียงไว้แน่นพร้อมกรีดร้องขึ้น “เธอไม่ต้องมายุ่ง ไสหัวออกไปซะ! ได้ยินไหมไสหัวไป……”
“มู่ชิง นี่ไม่ใช่เวลามาเอาแต่ใจนะ เธอทำแบบนี้อันตรายมาก!” จูจูพูดขึ้นอย่างร้อนรนใจแล้วงัดมือเธอข้างหนึ่งที่จับราวไปไว้ในมือตัวเอง
ไป๋มู่ชิงตกใจจนสีหน้าซีดขาว ขณะที่เธอคิดว่าครั้งนี้ตัวเองตายแน่ๆ มือข้างที่โดนดึงออกก็มีแรงมหาศาลมาจับไว้แทน เธออึ้งไป ถึงได้เห็นเงาของหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินมาช่วยเธอสักที เขามาซักที……
เธอตื้นตันใจจนน้ำตาไหลออกมา
หนานกงเฉินดึงเธอขึ้นมาจากราวระเบียงข้างนอกเข้ามาข้างในแล้วตะคอกใส่เธอ “เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ไป๋มู่ชิงที่ยังตกใจไม่หายก็หายใจเสียงดังอยู่กับพื้น เหงื่อก็ไหลออกมาเรื่อยๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉินที่โมโหแล้วเสียงเธอหายไปชั่วขณะ
หนานกงเฉินพยุงตัวขึ้นจากพื้นแล้วจ้องตะคอกใส่เธอ “เธอยังจำรหัสบ้านมันได้หรอ? เธอยังจำอยู่หรอ? ยังคิดถึงบ้านหลังนั้นอยู่ใช่ไหม?” เขาชี้นิ้วไปทางข้างห้อง “ในนั้นมีความทรงจำของพวกเธอหรอ? พวกเธอแอบเดทกันในนั้นใช่ไหม?”
เขาแค่โกรธมากกับการกระทำของเธอ ถ้าเขาออกมาช้าอีกนิดเธอคงจะตกลงไปยังจะมีชีวิตได้อยู่หรอ?
ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังพูดบ้าอะไรอยู่ แค่อยากระบายความโกรธในใจตัวเองแล้วเอาแต่ด่าเธอ
“เฉิน คุณอย่าโกรธเลย มู่ชิงแค่อยากจะเข้ามาอยู่กับคุณ ไม่ได้มีความคิดอะไร” จูจูที่ยืนอยู่ข้างๆปลอบใจ
กว่าไป๋มู่ชิงจะดึงสติกลับมาจากความตกใจเมื่อกี้ได้ เธอก็กวาดมองไปที่จูจูปากไม่ตรงกับใจ เมื่อกี้ผู้หญิงคนนี้กำลังจะโยนเธอลงไป ยังดีที่หนานกงเฉินมาได้ทันเวลา ไม่งั้นตอนนี้เธอคงตกลงไปจนถึงชั้นหนึ่งแล้ว
เธอสูดหายใจเข้าเบาๆแล้วจ้องไปที่หนานกงเฉิน “ไม่ว่าตอนนี้นายจะคิดอะไรอยู่ ยังไงคืนนี้ฉันก็จะอยู่ที่นี่ ฉันไม่ให้นังหน้าไม่อายนั่นทำแผนสำเร็จหรอก!”
จูจูมองกวาดไปทางหนานกงเฉิน แต่เธอไม่โกรธกลับยิ้มขึ้น “เฉิน เพื่อที่จะรั้งคุณไว้แม้แต่ตายมู่ชิงก็ไม่กลัว คุณยังจะสงสัยความจริงใจที่เธอมีให้หรอ? ในเมื่อมู่ชิงอยู่ที่นี่ ฉันก็วางใจที่จะกลับได้แล้ว”
หนานกงเฉินหันไปพูดกับเธอ “อย่าไป”
จูจูมองไปทางไป๋มู่ชิงแล้วพูดเสียงเบา “เฉิน พอแล้ว”
“ไป เราไปดื่มต่อกันเถอะ” หนานกงเฉินมองไป๋มู่ชิงด้วยหางตา จากนั้นก็กอดไหล่จูจูเดินเข้าไปในห้องรับแขก
เห็นเงาของทั้งสองเดินกลับเข้าไป ในใจไป๋มู่ชิงก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นทันทีแล้วค่อยๆยันตัวขึ้นจากพื้นเดินตามพวกเขาเข้าไป
จูจูรู้ว่าคืนนี้ไป๋มู่ชิงไม่มีทางไปแน่นอน ก็เลยไม่ได้มีความคิดบ้าๆอะไรอีก พอกลับไปถึงห้องรับแขกก็เริ่มชงชา เธอชงชาไปด้วยแล้วเอ่ยขึ้น “คุณชายเฉินคะ เราไม่ดื่มแล้ว มาดื่มชาเรียกสติเถอะ แล้วรีบพักผ่อนดีไหม?”
ไป๋มู่ชิงมองไปหนานกงเฉินที่นั่งกลับไปที่เดิม แล้วมองไปที่จูจูที่ชงชาไปด้วยแล้วเสแสร้งแกล้งพูดให้หนานกงเฉินอภัยตัวเอง สุดท้ายทนฟังไม่ไหวก็กลับห้องของตัวเองไป
ในห้องรับแขกได้ยินเสียงพูดคุยลอยมา ส่วนมากเป็นเสียงที่จูจูพูด หนานกงเฉินแค่ตอบรับไปเท่านั้น พูดไปพูดมาก็พูดถึงเรื่องตอนเด็ก นี่ก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว จูจูก็เสแสร้งเดินมาหน้าประตูห้องเธอแล้วพูดกับเธอ “มู่ชิง เฉินง่วงจนนอนหลับไปแล้ว เธอดูแลเขาด้วย ฉันกลับก่อนนะ”
ไป๋มู่ชิงเดินออกมาแล้วมองกวาดไปที่หนานกงเฉินที่นอนอยู่บนโซฟา ไม่รู้ว่าหลับจริงหรือว่าแกล้งหลับแล้วเอ่ยเสียดสีขึ้น
“ขอโทษด้วยนะ ที่ทำลายแผนของเธอ”
“มู่ชิง คุณชายเฉินนอนหลับไปแล้วเธอก็อย่าแสดงละครต่อเลย” จูจูยิ้มอ่อน “ฉันไปก่อนนะ”
ความรู้สึกไป๋มู่ชิงที่เพิ่งสงบลงไปได้ก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง ใครกันแน่ที่กำลังแสดงละคร การโยนความผิดของผู้หญิงคนนี้เยี่ยมจริงๆ!
จูจูจำใจออกไปจากคอนโด ไป๋มู่ชิงก็ล็อกประตูทันที
มีแค่หนานกงเฉินนอนอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าเรียบลื่น ยืนมองเขาอยู่หน้าโซฟาไปสักพักเลยช่วยเขาคุมผ้าห่มบนตัวแล้วพูดขึ้น “ช่วงเวลาที่พวกคุณอยู่ด้วยกันดูสนุกมากเลยเนอะ”
เธอเดาได้ว่าตอนนี้หนานกงเฉินยังไม่หลับ ไม่งั้นจูจูก็คงไม่แสดงออกมาอย่างงั้น
“ถ้าฉันไม่มาตอนนี้ พวกคุณก็กำลังกอดกันพัวพันอยู่บนเตียง แล้วนึกย้อนอดีตด้วยกันสินะ?”ถึงแม้เมื่อกี้จะอันตรายมากเกือบจะคร่าชีวิตของเธอไป แต่ว่าเธอไม่เสียใจเลย
สิ่งที่เธอเสียใจคือทั้งๆที่ตัวเองใช้ชีวิตเพื่อที่จะรักษาชีวิตคู่นี้ไว้ แต่เขากลับตกหลุมแผนของคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเข้าใจเธอผิดครั้งแล้วครั้งเล่า
เช้าวันต่อมา เมื่อไป๋มู่ชิงตื่นมาในห้องก็ว่างเปล่า ไม่มีเงาของหนานกงเฉินเลย
เธอเดินวนไปรอบๆห้องก็ไม่เห็นเงาหนานกงเฉิน ไม่มีอารมณ์ที่จะทำอาหารเช้าเลย แล้วค่อยไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานที่บริษัท
เมื่อไปถึงบริษัท เธอก็ตั้งใจมองไปที่ลานจอดรถของหนานกงเฉิน เมื่อเธอเห็นลานจอดรถว่างในใจก็เกร็งแล้วหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาผู้ช่วยเหยียน
คำตอบที่ผู้ช่วยเหยียนให้คือไม่เห็นหนานกงเฉินมาทำงานแล้วไม่รู้ด้วยว่าเขาอยู่ไหน
คนที่ตั้งใจทำงานอย่างหนานกงเฉิน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ไม่มีทางทิ้งงานของตัวเอง แต่ทำไมวันนี้……
ไป๋มู่ชิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกจากคอนโดเมื่อไหร่ ออกไปตั้งแต่เมื่อคืนหรอ? หรือว่าเพิ่งออกไปเช้านี้?
เธอสูดหายใจเข้าแล้วลองโทรไปที่เบอร์หนานกงเฉิน แต่สุดท้ายก็ปิดเครื่อง
ทั้งวันหนานกงเฉินก็ไม่มาบริษัทเลย ในใจไป๋มู่ชิงก็ร้อนรนขึ้นมา ไม่มีอารมณ์ทำงานเลยสักนิด สุดท้ายเธอเลยกลับบ้านก่อนเวลา เธอคิดว่าหนานกงเฉินจะกลับบ้าน แต่ว่าไม่เลย ไม่เห็นเงาของหนานกงเฉินเลย
เธอวนหารอบๆคฤหาสน์ไปทั่ว สุดท้ายก็ไม่เจอหนานกงเฉิน แต่กลับถูกคุณหญิงดักที่ห้องอาหารชั้นหนึ่ง
เธอเอ่ยขึ้นอย่างเกรงกลัว “คุณย่า”
คุณหญิงมองไปที่เธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“ดูเหมือนตอนนี้เธอไม่เห็นหัวยายแก่คนนี้แล้วสินะ”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าท่านกำลังหมายถึงเรื่องเมื่อคืนก็รีบอธิบายว่า “คุณย่าคะ เมื่อคืนคุณชายอยู่ที่คอนโด หนูเป็นห่วงเขาเลยไปอยู่กับเขาที่คอนโดคืนนึง”
“ฉันเตือนเธอหรือยังว่าห้ามออกไป?”
“ค่ะ……”
“งั้นก็จงใจจะทำหูทวนลมงั้นหรอ?”
“เปล่าค่ะคุณย่า หนูไม่ได้หมายความอย่างนั้น หนูแค่……”
“พูดเยอะแค่ไหนก็เป็นแค่ข้ออ้าง!” คุณหญิงพูดแทรกเธอแล้วหันไปพูดกับพี่เหอ “ส่งเธอไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษ!”
เมื่อได้ยินว่าห้องโถงบรรพบุรุษ ไป๋มู่ชิงก็อึ้งนิ่งไปทันที
ที่เธอกลัวกฎตระกูลก็เพราะว่าที่ห้องโถงมันน่ากลัวเกินไป เธอกลัวจนไม่กล้าไป แต่ครั้งนี้เธอไม่เพียงแค่กลัวแต่เพราะว่าหาตัวหนานกงเฉินไม่เจอ เธอต้องตามหาตัวเขาให้เจอก่อน เธอจะถูกขังในห้องโถงบรรพบุรุษไม่ได้
เธอรีบส่ายหัวแล้วเอ่ยขอร้อง “ไม่ค่ะคุณย่า หนูขอร้องค่อยไปรับโทษที่ห้องโถงพรุ่งนี้ได้ไหมคะ คืนนี้หนูมีเรื่องที่ต้อง”
“ทำคืนนี้เธอยังจะออกไปอีกหรอ?”
“หนู……คุณชายไม่ไปบริษัททั้งวัน หนูเป็นห่วงเขา หนูแค่อยากจะไปตามหาเขา”
“เรื่องของเฉินเธอไม่ต้องสนใจ”
“คุณย่าคะ……”
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” คุณหญิงพูดแทรกเธอขึ้น
พี่เหอที่ยืนอยู่ข้างๆก็อธิบาย “คุณหญิงน้อย คุณไม่ต้องเป็นห่วงคุณชายหรอกค่ะ เขาไม่ใช่เด็กแล้วทำอะไรเขารู้ตัวดี”
ที่พี่เหอพูดแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าทุกคนเข้าใจนิสัยของหนานกงเฉินดี เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ จะไม่ทำการกระทำที่ไม่ควรเพราะเรื่องบางเรื่อง คุณหญิงรู้อยู่แล้วว่ากี่วันนี้ทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ แล้วผลลัพธ์ที่ท่านอยากได้ด้วย ก็เลยไม่ให้โอกาสไป๋มู่ชิงออกไปตามหาตัวหนานกงเฉิน
สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็ถูกนำตัวมาที่ห้องโถงบรรพบุรุษ
ฤดูหนาวจะมืดเร็วอยู่แล้ว เธอมองไปรอบๆก็ขนลุกกขึ้นมา
เพราะว่าในใจมีเรื่องอื่นให้คิด เธอเลยไม่มีกระจิตกระใจคิดเรื่องที่ไม่ดี ในหัวเธออาจจะคิดว่าหนานกงเฉินอยู่ที่ไหน? คืนนี้จะอยู่กับใคร? จะเป็นจูจูหรือเปล่า?
เมื่อคืนจูจูทำแผนไม่สำเร็จ คืนนี้คงจะเริ่มแผนอีกครั้ง ถ้าเป็นอย่างงั้นคืนนี้เธอก็ต้องทำสำเร็จแน่ๆ
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่ทั้งสองจะอยู่ด้วยกัน ไป๋มู่ชิงก็ทั้งโกรธทั้งเจ็บปวดใจ
เธอหลับตาลงภาวนาให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปเร็วที่สุด
กว่าจะผ่านค่ำคืนอันยาวไกลนี้ได้ ไป๋มู่ชิงก็ออกมาจากห้องโถงบรรพบุรุษด้วยขาที่ทั้งเมื่อยทั้งอ่อนแรงทั้งสองข้างแล้วเดินกลับไปที่ห้อง
เวลานี้เธอควรจะพักผ่อนดีๆ แต่เมื่อเธอเห็นคฤหาสน์ที่ว่างเปล่า ก็อดถามเสี่ยวลวี่ไม่ได้ “คนล่ะ? ไปไหนหมด?”
ปกติเวลานี้ในคฤหาสน์จะเป็นเวลาอาหารเช้า ชั้นล่างคงครึกครื้นกัน
เสี่ยวลวี่มองไปที่เธอแล้วอ้าปากพูดส่ายหัว “ไม่รู้ค่ะ”
“เสี่ยวลวี่ เรื่องสำคัญขนาดนี้เธอจะปิดบังคุณหญิงน้อยงั้นเหรอ?” ผู่เหลียนเหยานั่งเข็นรถเข็นออกมาจากห้องคนเดียว
เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินเธอพูดอย่างนี้ก็รีบถามเธอ “เกิดอะไรขึ้น?”
ผู่เหลียนเหยาจ้องไปที่เธอ “พี่สะใภ้ ถึงแม้คุณย่าบอกว่าเรื่องนี้ห้ามบอกพี่ แต่ฉันคิดว่าไม่ควรปิดบังพี่ เพราะยังไงพี่ก็เป็นภรรยาของพี่ชาย”
“เรื่องอะไรกันแน่!” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ใจเธอใกล้จะทะลุออกมาแล้ว ผู่เหลียนเหยายังพูดทำอะไรเยอะแยะอีก
“เมื่อคืนโรคของพี่ชายกำเริบ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล” ผู่เหลียนเหยาพูด
ไป๋มู่ชิงใจสั่นวูบไปแล้วถามขึ้น “เป็นแบบนี้ได้ยังไง?”
“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนดื่มเหล้ากับหลินอันหนานหนักเกินไป ก็เลย……”
“อันหนาน……” ไป๋มู่ชิงเอ่ยสองคำนี้ออกมาแล้วเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปชั้นบน แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนก็หยิบกุญแจรถออกไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset