เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] – บทที่ 46 ประกาศขายดาบเวหา

บทที่ 46 ประกาศขายดาบเวหา

เมื่อซูเย่มาถึงศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อ ผู้ป่วยบางคนได้ยืนต่อคิวเรียงกันอยู่ก่อนแล้ว

หลังจากที่ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ศูนย์การแพทย์ก็เปิดทำการอย่างเป็นทางการ

หลี่เคอหมิงผายมือเชิญให้คนไข้คนแรกนั่งลง จากนั้นจึงหันไปหาซูเย่ที่นั่งอยู่ด้านข้างของตนและเอ่ยว่า

“วันนี้เธอยังต้องทำการวินิจฉัยชีพจรก่อนเหมือนเดิม หลังจากนั้นจึงเริ่มลองการตรวจสภาพลิ้นดู”

“ครับ”

ซูเย่พยักหน้า จากนั้นจึงยื่นมือไปจับที่ข้อมือข้างขวาของคนไข้และเริ่มตรวจชีพจรของอีกฝ่าย

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง…

“ชีพจรปกติ เดี๋ยวคนไข้อ้าปากนะครับ”

อีกฝ่ายอ้าปากอย่างว่าง่าย

“ฝ้าที่ลิ้นหนาและมัน”

ซูเย่ยืนหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ และเอ่ยออกมาตามที่เห็น

เมื่อได้ยินคำวินิจฉัยของชายหนุ่ม หลี่เคอหมิงก็มีสีหน้าประหลาดใจ

“ถ้าอาจารย์จำไม่ผิด ตอนที่อาจารย์สอนการตรวจสภาพลิ้นให้เธอครั้งที่แล้ว ไม่มีคนไข้ที่มีฝ้าบนลิ้นมาให้เธอศึกษานี่ ใช่ไหม?”

คนไข้ตรงหน้ามีฝ้าที่ลิ้นหนาและมันจริง ๆ แต่อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรกัน?

“เรียนรู้ด้วยตัวเองน่ะครับ” ซูเย่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ดวงตาของหลี่เคอหมิงก็เป็นประกายด้วยความทึ่ง

แค่เรียนด้วยตัวเองสามารถทำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?

ความสามารถในการเรียนรู้ของเขาไม่สุดยอดเกินไปหรือไง?

ทว่า ผู้เป็นอาจารย์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลาบปลื้มใจ สำหรับแพทย์แผนจีนแล้วยิ่งเก่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น!

“ไม่เลวเลย”

หลี่เคอหมิงพยักหน้าและยิ้มบางเบา จากนั้นจึงยื่นมือไปจับที่ข้อมือของคนไข้ จากนั้นจึงเริ่มให้คำปรึกษากับคนไข้และมอบใบสั่งยาให้กับอีกฝ่าย

ณ เวลานี้ หลี่ซินเอ้อกำลังยืนอยู่หน้าตู้ยา

เมื่อเห็นแววตาที่เป็นประกายอย่างชื่นชมของซูเย่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามในใจของตัวเอง

“หรือว่ายีนพรสวรรค์ของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางจะถูกส่งต่อไปยังผู้ชายแต่ไม่ใช่ผู้หญิงกันนะ?”

พรสวรรค์ของผู้เป็นพ่อของเธอนั้นสุดยอดมาก แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับสุดยอดยิ่งกว่า…ให้ตายเถอะ! ทั้งหมดนี้ล้วนมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น!

คนพวกนี้ทำเหมือนกับแพทย์แผนจีนเป็นอะไรที่สามารถเรียนได้ง่าย ๆ แต่ทำไมสำหรับเธอมันถึงยากนักนะ!

เมื่อคิดว่าตนเองใช้เวลาศึกษาอย่างหนักมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แต่กลับถูกผู้ที่เพิ่งเรียนได้แต่วันสองวันตามทัน มันก็ทำให้เธอรู้สึกพูดไม่ออกและเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก

คนไข้คนที่สองมาถึง

“เชิญ”

หลี่เคอหมิงหันไปพูดกับซูเย่ ความสำเร็จครั้งแรกนั้นเกิดจากความพยายาม ในเมื่อผลออกมาดีกว่าที่คาด งั้นก็มาเริ่มกันเลย

หลังจากนั้น การตรวจในช่วงเช้าทั้งหมดก็ดำเนินไปโดยที่ซูเย่ดูการสาธิตจากหลี่เคอหมิงแล้วจึงทำตาม

ในช่วงบ่ายหลังจากที่ทั้งคู่ทานอาหารเที่ยงเสร็จ

“ตอนนี้เธอเข้าใจการวินิจฉัยชีพจรและตรวจสภาพลิ้นแล้ว”

หลี่เคอหมิงสรุปเนื้อหาในการให้คำปรึกษาคนไข้เอ่ยขึ้นขณะที่หันไปมองหน้าซูเย่

เขาเองก็ทึ่งไปเลยเหมือนกัน

นักศึกษาหนุ่มตรงหน้าเรียนรู้ได้ไวมาก ๆ

หลังจากทำตามเพียงสามครั้ง อีกฝ่ายก็สามารถทำทั้งสองสิ่งกับคนไข้อีกสี่คนที่เหลือได้อย่างถูกต้อง หากเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ก็คงจะไม่มีใครเชื่อ

“การตรวจและการดมกลิ่นคือสิ่งที่ต้องใช้เวลา ยิ่งตรวจคนไข้มากเท่าไหร่ ความสามารถทั้งสองอย่างนี้ก็จะยิ่งชำนาญขึ้นเท่านั้น”

“ต่อไป อาจารย์จะสอนเธอเกี่ยวกับอาการป่วยต่าง ๆ”

“หลังจากการนัดหมายครั้งที่สี่ เธอจะต้องวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยและหาสาเหตุของโรค จากนั้นเธอก็จะสามารถกำหนดวิธีรักษาตามอาการของคนไข้ได้ด้วยตัวเอง” หลี่เคอหมิงเอ่ย

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่จำเป็นจะต้องเรียนเรื่องนี้ก็ได้นี่ครับ ก่อนหน้านี้ผมเพิ่งเรียนเกี่ยวกับการฝังเข็มและการรมยามา ผมสามารถใช้การฝังเข็มในการรักษาโรคได้หรือเปล่าครับ?” ซูเย่รีบถามสิ่งที่ตนอยากรู้ออกไป

สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือรีบเรียนรู้วิธีการรักษาโรคให้ได้ไวที่สุด เพื่อให้ได้แต้มศีลธรรมเยอะ ๆ นั่นเอง

หลี่เคอหมิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ว่า “สิ่งที่เธอหมายถึงคือการฝังเข็มที่มีอยู่ทั่วไป เป็นลักษณะการตรวจดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติ และแก้ไขตรงจุดที่ต้องทำการฝังเข็มโดยตรงใช่หรือเปล่า?”

ซูเย่พยักหน้า

หลี่เคอหมิงถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นท่าทางของนักศึกษาหนุ่ม จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นั่นเป็นแค่การฝังเข็มและการรมยาทั่วไปเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคนไข้มีอาการจมูกอักเสบ เธอจะบอกให้คนไข้ไปฝังเข็มโดยไม่สนใจว่าอะไรคือสาเหตุเลยอย่างนั้นเหรอ?! นั่นมันไร้ความรับผิดชอบต่อคนไข้ชัด ๆ!”

“ในความเป็นจริงแล้ว โรคจมูกอักเสบถูกแบ่งออกเป็นหลายชนิด ซึ่งสาเหตุของแต่ละชนิดก็แตกต่างกันออกไป ดังนั้นวิธีการรักษาของแต่ละชนิดจึงไม่เหมือนกัน ในวงการแพทย์แผนจีนเรียกสิ่งนี้ว่าความแตกต่างของกลุ่มอาการและการรักษา…”

“เธอจะต้องจำไว้ว่าความแตกต่างของกลุ่มอาการและการรักษาคือจุดเด่นของแพทย์แผนจีน! ถ้าเธออยากจะรักษาโรคให้คนไข้ ก่อนอื่นเธอจะต้องเรียนรู้ทฤษฎีต่าง ๆ และปูพื้นฐานให้แน่น ด้วยวิธีนี้ เธอจะสามารถรักษาคนไข้ได้เร็วและดีที่สุด”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเย่ก็พยักหน้า

เขาลอบถอนหายใจในใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งการรักษาอย่างฉับไวจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว สุดท้ายเขาก็คงต้องหาทางอื่น

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้า หลี่เคอหมิงก็รู้สึกใจชื้นขึ้น ซูเย่คือคนที่มีความพรสวรรค์ในด้านแพทย์แผนจีนที่สุดที่เขาเคยเจอมา ดังนั้นเขาจึงกลัวเป็นอย่างมากว่าอีกฝ่ายจะเดินผิดทาง

ยิ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องอยู่กับความเป็นจริงมากเท่านั้น มิเช่นนั้นพรสวรรค์ที่มีก็คงจะเสียเปล่า!

เวลานี้ คนไข้รายแรกของรอบบ่ายก็เดินเข้ามาภายในศูนย์แพทย์

เมื่อเห็นว่าคนไข้มาแล้ว หลี่เคอหมิงก็กล่าวว่า

“ตอนที่ตรวจคนไข้ เดี๋ยวอาจารย์จะอธิบายให้เธอฟังอย่างละเอียด ตั้งใจฟังให้ดี”

ซูเย่ที่ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าอย่างตั้งใจ

เวลานี้ คนไข้คนแรกซึ่งเป็นชายวัยกลางคนได้มานั่งรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาและกล่าวว่า “หมอครับ ช่วยผมที โรคนี้มันทรมานผมมากจริง ๆ”

ซูเย่มองผู้ป่วยตรงหน้า ใบหน้าของคนไข้ซีดเซียว เขาจึงเริ่มวัดชีพจรของอีกฝ่ายในทันที

“ชีพจรเต้นช้าและแผ่วมากครับ”

จากนั้นจึงดูฝ้าบนลิ้นอีกครั้ง

“ฝ้าบนลิ้นของเขาบางแล้วก็ซีด”

หลี่เคอหมิงมองหน้าคนไข้และถามว่า “ไม่ทราบว่าคนไข้เป็นอะไรมาครับ?”

“ทางโรงพยาบาลบอกว่าผมเป็นภาวะไขกระดูกฝ่อครับ”

คนตรงหน้าถอนหายใจออกมาและพูดต่อ “หลังจากเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลมาหนึ่งเดือน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น พอออกจากโรงพยาบาลมาก็มีอาการเลือดกำเดาไหลครับ”

“แล้วก็มีอาหารเป็นพิษก่อนหน้านี้ครับ ถ่ายเป็นเลือด แต่ก็รักษาจนหายดีแล้ว แต่จู่ ๆ ขาทั้งสองข้างของผมก็เริ่มมีรอยที่ดูเหมือนรอยช้ำสีม่วงเป็นจ้ำ ๆ”

ขณะที่พูด ชายวัยกลางคนก็ถกขากางเกงของตัวเองขึ้นและยื่นขาออกมา

บนขาของเขามีรอยจ้ำสีม่วงที่มีขนาดเท่าไข่ไก่สองรอยปรากฏอยู่

หลี่เคอหมิงพยักหน้าเบา ๆ หลังจากที่เห็นมัน

“ผมเริ่มเลือดกำเดาไหลบ่อยขึ้น มือกับเท้ารู้สึกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก จิตใจผมย่ำแย่มากเลยครับตอนนี้”

“ถ่ายเป็นยังไงครับ?”

หลี่เคอหมิงยื่นมือไปจับข้อมือของคนไข้เพื่อวัดชีพจร

“แห้งมากครับ” คนไข้ตอบ

อาจารย์แพทย์พยักหน้ารับรู้

หลังจากที่ได้ลองวัดชีพจรด้วยตนเองเขาก็พบว่าคำวินิจฉัยของซูเย่นั้นแม่นยำมากทีเดียว

หลี่เคอหมิงปล่อยมือของคนตรงหน้าและตรวจดูฝ้าบนลิ้นอีกครั้ง มันบางและขาวจริงๆ

ในขณะที่เขียนใบสั่งยา หลี่เคอหมิงก็พูดอธิบายให้ซูเย่ฟังว่า “ผิวซีดเหลือง แก้มแดง เลือดกำเดาไหลบ่อยครั้ง แขนขารู้สึกเย็นวาบ ฝ้าบนลิ้นบางขาว เบื่ออาหาร ชีพจรเต้นช้า จิตใจอ่อนแอและถ่ายแห้ง ภาวะพร่อง เลือดลมไหลเวียนไม่ดี อาการทั้งหมดล้วนส่งผลให้ร่างกายอ่อนล้าอย่างรุนแรง โดยเฉพาะรอยแดงบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้างและเลือดกำเดาไหลอย่างผิดธรรมชาติ น่าจะเป็นเพราะธาตุหยางไม่สมดุล”

“ส่วนอาการแขนเย็นวาบ มีอาการเหน็บชา ท่าทางเหนื่อยอ่อน และชีพจรเต้นช้าเกิดจากการที่ไตทำงานผิดปกติ”

ซูเย่ฟังอย่างตั้งใจ จดเนื้อหาทั้งหมดและเปรียบเทียบกับตำราโบราณในหัวของตนอย่างต่อเนื่อง ซึมซับคำพูดที่

หลี่เคอหมิงอธิบายอย่างรวดเร็ว

แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปเช่นนี้ตลอดช่วยบ่าย

คนไข้ทุกคนป่วยด้วยโรคที่แตกต่างกัน หลังจากที่วินิจฉัยแล้ว หลี่เคอหมิงก็อธิบายเกี่ยวกับตัวโรคให้ซูเย่ฟังอย่างละเอียด

ชายหนุ่มซึมซับเนื้อหาทั้งหมดและจดมันลงในหัวอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงเวลาเลิกงานในตอนเย็น

ซูเย่หันไปมองด้านหลัง ห่างออกไป หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังมองมาที่เขาและหลี่เคอหมิงอย่างต้องการจะรีบกลับบ้าน

หลี่ซินเอ้อเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก “หัดมองคนรอบตัวเสียบ้างนะ คนอื่นเขาพยายามเรียนกันแทบตาย แล้วดูนายสิ!”

“ฉัน?…ฉันทำไม?”

หญิงสาวจึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฉันเองก็กำลังศึกษาอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งไม่เท่านาย แต่ก็ดีกว่าอีกหลายคน!”

“หยุดเสียมารยาทได้แล้ว!”

หลี่เคอหมิงเอ่ยปราม “กลับบ้านไปแล้วลูกต้องคัดลอกบทความเกี่ยวกับโรคมาให้พ่อด้วย!”

“พอกลับถึงบ้านหนูจะฟ้องคุณย่าว่าพ่อดุหนู! ไม่ หนูจะโทรไปบอกคุณย่าเดี๋ยวนี้เลย!”

จากนั้นหญิงสาวก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมาเตรียมที่จะโทรไปหาผู้เป็นย่า

หลี่เคอหมิงอึกอักเล็กน้อย ทว่าเขาก็ข่มความรู้สึกเล็กน้อยนั้นไว้และเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าลูกโทร ลูกก็ต้องคัดเพิ่มอีกบท!”

….

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ซูเย่ก็ออกมาจากศูนย์การแพทย์

ระหว่างทางกลับไปที่มหาวิทยาลัย

“ในเมื่อตอนนี้เรายังไม่สามารถรักษาผู้คนเพื่อเพิ่มแต้มศีลธรรมได้ ทางเดียวที่ทำได้ก็คงมีแค่หาเงินเพื่อบริจาคเท่านั้น”

ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกถึงดาบเวหาที่ตนเพิ่งได้มา

“แต่เรายังไม่รู้เลยว่ามันต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวในการทำธุรกรรมหรือเปล่าเนี่ยสิ…”

เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีคนแกะรอยมาถึงตัวเขาได้ ซูเย่จึงเลือกที่จะเข้าไปในร้านอินเทอร์เน็ตที่ปราศจากกล้องวงจรปิด

เปิดเครื่อง..

หลังจากที่ลงชื่อเข้าใช้ในฟอรัมของเกม “Fantasy Dream” แล้ว เขาก็รีบตรวจสอบดูอีกครั้งว่าพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับดาบเล่มนี้เพิ่มขึ้นมาบ้างหรือเปล่า

ทว่าภายในฟอรัมกลับเต็มไปด้วยการพูดคุยเกี่ยวกับการล่มสลายของกองกำลังจำนวนมากตลอดช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา

ไม่มีใครรู้เรื่องที่ดาบเวหาปรากฏขึ้นเลยอย่างนั้นเหรอ?

ซูเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารีบลงทะเบียนบัญชีและสร้างกระทู้โดยไม่ระบุตัวตนผู้โพสต์อย่างรวดเร็ว

โดยเนื้อหาของกระทู้ดังกล่าวเขียนว่า

“ขายดาบเวหาสุดเจ๋ง ของดีไม่ได้มีมาบ่อย เพื่อน ๆ คนไหนใครสนใจ เม้นต์ราคาที่พร้อมจ่ายและรายละเอียดสำหรับติดต่อกลับทิ้งไว้ในกระทู้นี้ได้เลย”

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อที่เขาจะได้ตรวจสอบการตอบกลับของโพสต์นี้ได้ทุกเวลาในฐานะของผู้เยี่ยมชม

หลังจากที่โพสต์สิ่งที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ซูเย่ก็ออกจากระบบโดยไม่รอการตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น

เขาจะทิ้งระยะเวลาของโพสต์นี้ไปสักพัก

ไม่ถึง 5 นาทีก่อนที่ซูเย่จะลงชื่อเข้าใช้….

ภายในฟอรัม ผู้คนจำนวนมากต่างโพสต์กระทู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์เนื้อหาของกองกำลังและมอนสเตอร์ระดับบอส

ทว่าทันใดนั้น โพสต์ที่มีเนื้อหาอย่างอื่นก็ปรากฏขึ้น และพวกเขาก็ต้องตกตะลึง

ยิ่งหลังจากอ่านเนื้อหาทั้งหมดแล้ว ทุกคนก็นิ่งงันราวกับตกอยู่ในภวังค์

หะ? ดาบเวหาเหรอ? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?

ทุกคนรีบกดเข้าไปดูกระทู้นั้นอย่างบ้าคลั่ง

“มีคนได้ดาบเวหาไปแล้วอย่างนั้นเหรอ? ใครกัน?”

“จะขายเท่าไหร่? ฉันอยากได้!”

“อย่ามาแย่งนะ! ดาบเวหาเล่มนี้จะต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น!”

ในอีกด้านหนึ่ง

“ผู้กองครับ ในฟอรัมเกม “Fantasy Dream” มีคนตั้งกระทู้ประกาศขายดาบเวหาครับ เป็นไปได้ว่าผู้ต้องสงสัยที่ชื่อซูเย่ปรากฏตัวแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งที่อยู่ของ IP ของเป้าหมายถูกล็อกเอาไว้ครับ!”

สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มของหวังห่าวเอ่ยกับเครื่องมือสื่อสารที่ข้อมือของตนอย่างตื่นเต้นขณะที่มืออีกข้างยังคงกดนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดด้วยความเร็วไว

และเพียงไม่นาน หน้าจอก็ปรากฏเป็นแผนที่อย่างละเอียดพร้อมกับจุดสีแดงที่ล็อกเป้าอยู่ที่ร้านอินเทอร์เน็ตแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“ตรวจพบตำแหน่งของเป้าหมายแล้วครับ”

เขาเอ่ยกับเครื่องมือสื่อสารอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบส่งตำแหน่งของเป้าหมายไปที่โทรศัพท์ของทุกคนในทีม จากนั้นจึงลุกขึ้น หยิบแล็ปท็อปและมุ่งหน้าไปยังร้านอินเทอร์เน็ตที่เป็นเป้าหมายทันที

ซูเย่เดินทางกลับไปที่หอพัก ลงชื่อเข้าในฟอรัมด้วยโทรศัพท์ของตนเองและตรวจดูกระทู้ที่ตนได้โพสต์ไปก่อนหน้านี้ มันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีใครเสนอราคาที่เขาพอพึงใจเลยสักคน

ชายหนุ่มส่ายศีรษะไปมาอย่างหมดหวัง

“ดูเหมือนว่าเราจะต้องรอไปอีกสักพักถึงจะขายได้ หลังจากนั้นก็ต้องคิดหาทางทำเงินทางอื่นอีก ไม่รู้จะว่ามีแอปตอบคำถามชิงเงินรางวัลอันอื่นอีกหรือเปล่านะ”

ซูเย่ดาวน์โหลดแอป Question กลับมาอีกครั้งและลงชื่อเข้าใช้บัญชีของตัวเอง

ทันใดนั้น

“ติ๊ด ติ๊ด…”

เสียงแจ้งเตือนของข้อความจำนวนมากดังขึ้น

ซูเย่ผงะไปเล็กน้อย

กล่องข้อความของเขามีการแจ้งเตือนถึง 99+ รายการ!

เมื่อเข้าไปดูหน้าข้อความ เขาก็พบว่ามีคนจำนวนมากที่ส่งข้อความมาหาเขาเป็นการส่วนตัวกว่าพันข้อความ

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่หลังจากที่ดูข้อความพวกนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา เขาเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น

มีผู้ที่ใช้ชื่อว่า ‘คำพูดที่ไม่เคยคิด ที่จริงก็คือยาพิษ’ ไม่เชื่อว่าเขาสามารถตอบคำถามทั้งหมดได้อย่างถูกต้องด้วยความสามารถของเขาเอง และมีการเดิมพันเงินรางวัลถึง 100,000 หยวนเพื่อท้าให้เขาปรากฏตัวออกมาตอบคำถามอีกครั้ง

เงินหนึ่งแสนงั้นเหรอ?

ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายขึ้นทันที

เซียนอมตะ 2,500 ปี

เซียนอมตะ 2,500 ปี

我只有两千五百岁
Score 5.9
Status: Ongoing Released: N/A Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง เซียนอมตะ 2,500 ปีซูเย่เป็นผู้มีพลังพิเศษทำให้เขามีอายุยืนยาวถึง 2,500 ปี ปัจจุบันนี้ เขาปรากฏตัวขึ้นในฐานะของนักศึกษาหนุ่มวัย 22 ปี ประจำคณะวิจัยสมุนไพรจีนแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ชายหนุ่มพยายามขจัดความโดดเดี่ยวในจิตใจด้วยการใช้ชีวิตให้ครบถ้วนทุกรูปแบบ นอกจากความสามารถในการใช้วิชาแพทย์แผนจีนรักษาผู้คนแล้ว เขายังมีความสามารถหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านของการเล่นหมากรุก การคัดตัวอักษรจีน ศิลปะการดนตรีทุกแขนง อีกทั้งยังมีความสามารถในฐานะผู้ใช้ปราณอีกด้วย ความปรารถนาเดียวของซูเย่คือการดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความเรียบง่าย ใช้ความสามารถพิเศษของตนเองช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก แต่ถ้าใครกล้ามามีเรื่องกับเขาแล้วล่ะก็ รับรองเลยว่ามันผู้นั้นได้เห็นดีกันแน่!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset