===============
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเย่ว์หยาง คือผู้พิทักษ์วิหารเจมินี่ ช่างต่างจากที่เย่ว์หยางคาดไว้มากมายนัก
มันไม่ใช่อสูรแต่อย่างใด กลับเป็นเงาของเย่ว์หยางเอง
เงาที่ตรงกับเย่ว์หยางแน่นอน
ลักษณะของเขา ส่วนสูง ความสามารถและแม้แต่การเคลื่อนไหวและนิสัยเหมือนกันหมด เย่ว์หยางรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังมองดูกระจก ที่แตกต่างก็คือเงานี้สามารถใช้ทักษะการต่อสู้ของเขา ขณะที่ร่างของเย่ว์หยางถูกจำกัดความสามารถด้วยกฎโบราณ ด้านข้างเงายังมีเงาของเสี่ยวเหวินหลีและด้านหลังของเขามีนางพญากระหายเลือด, ปีศาจดอกหนามและแม้แต่เงาของฮุยไท่หลาง ที่ด้านหลังของเงาของเย่ว์หยาง มีแม้กระทั่งเงาของเย่ว์ปิงที่ยังหลับอยู่
ไม่ว่าจะเป็นความสามารถชนิดไหนที่นักสู้ผู้เข้าไปในวิหารเจมินี่มี วิหารนี้ก็สามารถสร้างเงาที่เหมือนกับพวกเขาได้
เย่ว์หยางเรียกคัมภีร์ของเขาออกมาและเปลี่ยนอสูรทองน้อยบนข้อมือเขาเป็นมีดเล่มหนึ่ง
เงาที่อยู่ด้านตรงข้ามก็ทำได้เหมือนกัน
เขาลอกเลียนแบบได้เหมือน สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ เย่ว์หยางไม่สามารถเข้าร่วมต่อสู้ได้ แต่เงาตรงกันข้ามกับหยิบดาบฮุยจินขึ้นมาชูค้างไว้
อาจกล่าวได้ว่าความสามารถของเย่ว์หยางมากกว่า ไวกว่า แต่เขากลับพลาดท่าในการสู้ครั้งนี้ ถ้ามันเป็นคนโง่ ไร้ประโยชน์ไม่มีพลังสู้ใดๆ เลยเข้ามาในวิหารนี้ บางทีเขาอาจมีโอกาสสูงที่จะผ่านด่านวิหารเจมินี่ได้
นักรบที่แข็งแกร่งกว่า ไวกว่า จะล้มเหลวในด่านนี้
“เจ้าพูดได้หรือเปล่า?” เย่ว์หยางรู้สึกว่า เนื่องจากวิหารเจมินี่ทำได้แต่การเลียนแบบความสามารถ ถ้าพวกมันสู้ได้ เขาคงพ่ายแพ้แน่นอน เย่ว์หยางคิดว่า ถ้าเงามีการลอกเลียนความคิดของเขาด้วย อย่างนั้นเขาคงไม่อยากให้ตนเองแพ้ในการต่อสู้นี้ เนื่องจากเขาต้องการจะผ่านด่านนี้ให้ได้ อย่างไรก็ตาม เขาต้องผิดหวัง เพราะเงาอีกด้านหนึ่งไม่สามารถพูดได้เลย นอกจากนี้เขายังดูไม่เหมือนว่าจะมีปัญญา เขามีเพียงทักษะการต่อสู้ เงาจะสวมหน้ากากทองที่มีหน้าคนร้องไห้ข้างหนึ่งและคนยิ้มอีกข้างหนึ่ง ขณะที่เขาเริ่มเดินตรงมาหาเย่ว์หยาง เงาของนางพญากระหายเลือดก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่เงาของต้นดอกหนามเรียกกลุ่มดอกไม้นับไม่ถ้วนออกมาและเริ่มหยั่งรากลงกับพื้น เงาของฮุยไท่หลางเริ่มปล่อยพลังปราณของมันเหมือนกับเป็นเงาที่แข็งแกร่งที่สุด เงาของเสี่ยวเหวินหลีเดินตามมาด้านหลังของเย่ว์หยางเงาติดๆ ก็เลื้อยมาในลักษณะคดเคี้ยว
เย่ว์หยางตะลึงค้าง การโจมตีนี้มุ่งมาที่เสี่ยวเหวินหลีและเขาที่ฝึกฝนมาเป็นเวลานานก่อนที่พวกเขาจะพัฒนาจนเข้าใจในการร่วมต่อสู้ด้วยกัน
ที่ผ่านมาในวิหารทอรัส พวกเขาก็ใช้วิธีเคลื่อนไหวอย่างนี้ เขาไม่เคยคิดว่าเงาจะสามารถลอกเลียนแบบการเคลื่อนไหวได้ง่ายขนาดนี้
สิ่งเดียวที่ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกว่าโชคดีก็คือพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 1 ของเขายังไม่ถูกเงาลอกเลียนไปด้วย ดูเหมือนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่วิหารเจมินีจะลอกเลียนได้ มิฉะนั้นเขาคงแพ้การต่อสู้ครั้งนี้อย่างเจ็บช้ำ ถ้าเงานี้ใช้ไฟอมฤตและวงจักรล้างโลกได้ ทันทีที่เขาโจมตี เย่ว์หยางคงไม่จำเป็นต้องสู้เลย
โชคดีที่ สิ่งที่วิหารเจมินี่ลอกเลียนคือทักษะผิวเผินของเย่ว์หยาง เพียงสัตว์อสูรที่ถูกลอกเลียนก็เป็นแค่พวกที่ติดตามเย่ว์หยางเมื่อเขาเข้ามาในวิหาร อย่างเช่นเสี่ยวเหวินหลีและคนอื่นๆ
อสูรอื่นของเขาเช่นภูตควันไฟที่ยังอยู่ในมิติประลอง, หนูเบญจธาตุค้นสมบัติและโคเงาก็ยังไม่ถูกลอกเลียนไปเช่นกัน
ดูเหมือนว่าตัวลอกเลียนเหล่านี้จะใช้กับอสูรที่มีความแข็งแกร่งพอจะลอกเลียนได้ อย่างไรก็ตาม เพียงแค่นี้ก็พอจะทำให้เย่ว์หยางผิดหวัง เพราะมีแต่เงาของเขาเองที่จะมีส่วนร่วมในการต่อสู้
เย่ว์หยางตระหนักได้ว่า หน้ากากทองที่เงาสวมอยู่นั้นเป็นสมบัติลึกลับ
แม้ด้วยทักษะญาณทิพย์ระดับ 4 ของเขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นคุณสมบัติของหน้ากากทอง
เขารู้สึกได้แต่เพียงว่าหน้ากากทองนี้เกี่ยวข้องกับการลอกเลียนอย่างใกล้ชิด… เหมือนกับระฆังทองที่แขวนอยู่บนคอของไคเมราสามหัว ก็คือหัวแกะที่ดูบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ และห่วงทองที่แขวนอยู่ที่จมูกกระทิงเผือก หน้ากากทองนี้ต้องเป็นกุญแจในการตัดสินชัยชนะพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ ถ้าเย่ว์หยางไม่จัดการหน้ากากนี้ให้ได้ เขาคงยังเอาชนะอีกด้านหนึ่งไม่ได้แน่ ซึ่งจะทำให้เขาไม่อาจผ่านด่านนี้ไปได้
ปัญหาก็คือเขาจะชิงหน้ากากทองจากเงาที่ครอบครองทักษะอย่างเดียวกันที่เขามีได้อย่างไร?
ยิ่งเขาแข็งแกร่งขึ้น ศัตรูของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
พลังของเงานี้เห็นได้เมื่อเขาก็สามารถเปลี่ยนอสูรทองตัวน้อยเป็นมีดได้ได้ ตอนแรก การลอกเลียนอาจจะไม่มีแบบนั้น แต่เมื่อเขามีปฏิกิริยาโต้ตอบ ตัวลอกเลียนที่ด้านตรงกันข้ามจะเรียนรู้และใช้ทักษะเดียวกันได้
เสี่ยวเหวินหลีสั่นศีรษะเธอและกลายร่างเป็นสายรุ้งลอยเข้าไปในตัวของเย่ว์หยาง
เงาที่เป็นร่างเหมือนเสี่ยวเหวินหลีอีกด้านหนึ่งสั่นเล็กน้อย เธอไม่หายไป แต่เห็นได้ชัดว่าความสามารถของเธออ่อนชั้นกว่ามาก ในที่สุด เธอก็มีแต่เพียงพลังเหมือนกับที่กระทิงเผือกที่พวกเขาได้สู้มาก่อนหน้านั้น พอเห็นว่าร่างเลียนแบบเสี่ยวเหวินหลีไม่สามารถเรียกคัมภีร์เพชร, เมดูซาศิลา, เงือกวายุและนาคาสายฟ้า เย่ว์หยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก สถานการณ์ปัจจุบันย่ำแย่มาก แต่เย่ว์หยางมีความคิดอย่างหนึ่ง… เขาคงไม่สามารถชนะคู่ต่อสู้ข้างหน้าได้แน่นอน ไม่จะเป็นคนแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม เขาคงไม่สามารถเอาชนะตนเองได้ง่ายนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสถานการณ์ที่ตัวเขาเองไม่สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ได้ เขาคงไม่สามารถเอาชนะตนเองได้แน่นอน
ตอนนี้ เย่ว์หยางรู้สึกว่า ข้อได้เปรียบของเขาอยู่ที่ความจริงที่เขาซ่อนพลังที่ไม่ถูกลอกเลียนเอาไว้ และคู่ต่อสู้ของเขาไม่มีความฉลาด มีแต่ทักษะต่อสู้อย่างเดียว
ด่านวิหารเจมินี่นี้จะต้องมีหนทางเอาชนะได้แน่
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะหาทางเจอ ทุกคนคงทำได้เพียงกลับบ้านมือเปล่าอย่างเสียความรู้สึก…
กำความได้เปรียบของความจริงที่ว่าโล่ปกป้องยังคงปรากฏอยู่ ถ้าเขาบุกเข้าห้องโถงขวาทันทีและไปห้องโถงซ้ายเพื่อหาสมบัติ จากนั้นไปที่ห้องโถงหลังและผ่านด่านให้ได้ จะนับว่าเป็นความคิดที่ดีหรือไม่? เย่ว์หยางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นเขาเรียกเก็บอสูรของเขาทั้งหมด จากนั้นแบกน้องสาวพุ่งไปที่โถงซ้ายราวกับประกายไฟ ภายในเป็นห้องว่างเปล่า มีเพียงอักษรแถวหนึ่งอยู่บนผนังในห้องโถงซ้าย “ความจริงจะกลายเป็นนิยาย เมื่อนิยายเป็นเรื่องจริง”
“อะไรกันนี่? พวกเจ้าคิดว่านี่คือโลกจินตนาการในเรื่องความฝันในหอแดงหรือ? เจ้าถึงได้กล้าใช้คำนั้น!” เย่ว์หยางเหงื่อออก
ใช้ความได้เปรียบเรื่องเวลา เย่ว์หยางวิ่งไปที่ห้องโถงขวา
ที่ห้องโถงขวา ไม่มีข้อความส่วนที่สองที่อ้างอิงจากความฝันในหอแดง “จริงกลายเป็นไม่จริง ณ.ที่ไม่จริงก็คือความจริง” เขียนอยู่บนผนัง กลับมีภาพวาดหน้ากากยักษ์ครึ่งหนึ่งยิ้มและครึ่งหนึ่งร้องไห้
เย่ว์หยางเช็ดเหงื่อ โชคดีที่ไม่มีข้อความโศลกที่สอง มิฉะนั้นเย่ว์หยางคงคิดว่าผู้ออกแบบวิหารสิบสองนักษัตรคงเป็นคนจากโลกของเขา มันเป็นภาพสีหน้ากากยักษ์ครึ่งยิ้มและครึ่งร้องไห้วาดไว้บนผนัง
ดูเหมือนว่าหน้ากากทองนี้เป็นกุญแจไขปริศนาผ่านด่าน แต่เขาจะชิงหน้ากากมาจากเงาของเขาได้อย่างไร?
เย่ว์หยางวิ่งออกมาข้างนอกอีกและพบว่าเงาของเขากำลังนั่งมองดูเขาวิ่งไปมา ดูเหมือนว่าเขาไม่มีความตั้งใจโจมตีเย่ว์หยางเลย
ด้วยการป้องกันของโล่แสงเป็นอย่างดีและกุญแจผ่านด่านโดยรักษาหน้าเขาไว้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่จำเป็นต้องสนใจความพยายามที่ไร้ประโยชน์ของเย่ว์หยางที่เอาแต่วิ่งไปมารอบวิหาร เขารออยู่กลางเวทีต่อสู้ ขณะที่เย่ว์หยางทำให้ตัวเองเหนื่อยเปล่า นัยน์ตาของเขาดูเหมือนกับวิธีที่เย่ว์หยางแสดงตามปกติ จะว่ายิ้มก็ไม่เชิง เมื่อได้เห็นการกระทำของเขา เย่ว์หยางโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ช่างมันเถอะ, วันนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะสู้กัน” เย่ว์หยางแบกน้องสาวและเผ่นหนีไปจากสนามต่อสู้
เงาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย แต่เงาของเสี่ยวเหวินหลี, นางพญากระหายเลือดและปีศาจดอกหนามไล่ตามเย่ว์หยางทันที
เมื่อเย่ว์หยางแบกน้องสาวมาถึงวงแหวนเทเลพอร์ตและเทเลพอร์ตจากไป เงาทั้งหมดก็หายวับไปในอากาศทันที หน้ากากทองนอนลงบนพื้นของเงียบงัน ด้วยใบหน้าครึ่งร้องไห้..ครึ่งยิ้มของมัน มันก็ยังสามารถเห็นโลกนี้ได้อย่างดี
ในรอบหมื่นปีมานี้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ผ่านด่านวิหารเจมินี่ได้สำเร็จ
ทั้งนี้เป็นเพราะไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเงาที่มีทักษะเหมือนกันกับพวกเขา ภายใต้สถานการที่พวกเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ได้
เมื่อเย่ว์หยางออกมาจากวิหารสิบสองนักษัตร องครักษ์เกราะเงิน 2-3 คนมองมาที่เขาอย่างประหลาดใจ ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาทุกคนรู้ว่าเจ้าเด็กนี่เข้าไปข้างในเมื่อไม่กี่ชั่วโมง แปลกจริงที่เขาไม่ตาย เขายังแบกน้องสาวตัวเองออกมาได้อีกด้วย เจ้าเด็กคนนี้ดูเหมือนจะเข้าไปนอนตลอดเวลาในการผ่านด่านครั้งก่อน องครักษ์ 2-3 คนจำเขาได้ แต่พวกเขาไม่ค่อยแน่ใจ
หัวหน้าองครักษ์เกราะทองรู้แล้วว่าเย่ว์หยางเป็นนักรบสุดแกร่งที่ซ่อนความแข็งแกร่งตนเองไว้
ผลการประลองในครั้งก่อนนั้น เขาสร้างสถิติที่แทบทำให้หัวหน้าองครักษ์เกราะทองตกใจจนแทบสิ้นสติ ในสายตาของหัวหน้าองครักษ์เกราะทอง เจ้าเด็กนี่ผ่านด่านประลองได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าเขาจะดูอ่อนแอและไร้ประโยชน์
อย่างไรก็ตาม พอเห็นว่าเย่ว์หยางไม่ได้มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความพอใจและน้องสาวของเขายังหลับอยู่บนหลังของเขา ดูเหมือนว่าเขาคงประสบความพ่ายแพ้บ้าง
แต่หัวหน้าองครักษ์เกราะทองไม่ค่อยแน่ใจ
“ท่านพ่ายแพ้มาหรือ? บางทีท่านอาจต้องการข้อมูลเพิ่ม ถ้าท่านไปที่สมาคมนักรบและหาข้อมูลเรื่องการประลอง สหายทั้งสองของท่านทิ้งข้อมูลไว้ให้แล้ว” หัวหน้าองครักษ์เกราะทองดูเหมือนจะพูดธุระข้างนอก แต่ขณะที่เขาแตะตัวเย่ว์หยาง เขากระซิบเสียงเบาพอให้เย่ว์หยางได้ยินคนเดียวว่า “องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ต้องการรอ ดังนั้นนางจึงกลับไปพักก่อน นางบอกว่าจะรอพวกท่านอยู่ที่โรงเตี๊ยมสายลม”
“ขอบคุณ” เย่ว์หยางรีบไปอย่างรวดเร็ว และออกไปจากวิหารสิบสองนักษัตร
ถ้าเขาสามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ตัวเองในวิหารเจมินี่ เย่ว์หยางคงไม่รีบออกมาแน่ บางทีเขาคงจะประลองผ่านด่านให้ได้ก่อน
แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ได้และเงาลอกเลียนแบบดูเหมือนจะน่ากลัวมาก เห็นได้ชัดว่าเย่ว์หยางเลือกใช้กลยุทธ์สุดท้ายใน 36 กลยุทธ์ ถ้าทุกอย่างล้มเหลวก็ให้หนี เขาตั้งใจจะถามองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก่อน บางทีแม่เสือสาวอาจมีความคิดดีๆ ก็ได้
ออกจากแดนดาว เย่ว์หยางกลับไปที่สมาคมนักรบ
…………..