ตอนที่ 1130: พื้นที่ลึกลับ
ระหว่างทางไม่ค่อยมีการปะทะกันเกิดขึ้น พวกเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงสัตว์ดุร้ายเกือบทั้งหมดที่พวกเขาเจอ ดังนั้นการต่อสู้จึงเกิดขึ้นน้อยมาก พวกเขาใช้เวลาเดินส่วนมากไปกับการเดินทาง
เจี้ยนเฉินและชายอาวุโสทั้งสี่คนมาถึงทางสิ้นสุดของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเดินทางเป็นเวลา 3 วันและในที่สุดก็มาถึงแม่น้ำสายใหญ่
“ทางเดินไปยังสถานที่นั้นอยู่ใต้แม่น้ำ เราค้นพบมันโดยบังเอิญ ตามพวกเรามาให้ทันและอย่าหลงทาง” อาต้ากล่าว หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็กระโดดลงไปในแม่น้ำและหายไป จมลงอย่างรวดเร็ว
เจี้ยนเฉินก็ไม่ลังเลเหมือนกัน เขาปล่อยให้พลังบรรพกาลพุ่งทะลุร่างของเขา ผลักแนวป้องกันของเขาจนถึงขีดสุดก่อนที่จะกระโดดเข้าไปเช่นกัน
แม่น้ำลึกมาก เจี้ยนเฉินตามหลังชายอาวุโสทั้งสี่ีไปติด ๆ เขาดำดิ่งลึกลงไปหนึ่งหมื่นเมตรและเขาก็มาถึงก้นแม่น้ำ เขาทนแรงกดดันจากน้ำหลายสิบตัน มันเพียงพอที่จะบดขยี้คนธรรมดา แต่มันไม่สามารถทำอันตรายจอมยุทธ์อย่างเจี้ยนเฉินได้
มันไม่ได้ดำมืดที่ก้นแม่น้ำ ชั้นของทรายที่ลอยอยู่ส่องสว่างด้วยแสงสีฟ้าจาง ๆ มันย้อมสีก้นแม่น้ำให้กลายเป็นสีครามและทำให้มันดูเหมือนเป็นดินแดนมหัศจรรย์ มันสวยมาก
ปลากลายพันธุ์ชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น พวกมันมีพลังอย่างมากและบางตัวที่มีพลังมากกว่าก็อาจคุกคามเซียนผู้คุมกฎได้ พวกมันโจมตีเจี้ยนเฉินและชายอาวุโสสี่คนเป็นครั้งคราว
ชายอาวุโสสี่คนได้ดึงกระบี่โลหะของพวกเขาออกมา พวกเขาเฉือนปลาครึ่งหนึ่งและของเหลวสีฟ้าก็ไหลออกมาจากปลาที่ตาย ปลาไม่ได้มีเลือดสีแดง แต่เป็นสีฟ้า
เจี้ยนเฉินเองก็ส่งปราณกระบี่สีฟ้าไปยังปลาที่โจมตีเขาเป็นครั้งคราว ปลาไม่ได้มีพลังมาก เขาจึงสามารถจัดการมันได้ด้วยปราณกระบี่
เจี้ยนเฉินและชายอาวุโสทั้งสี่มุ่งหน้าไปทางต้นน้ำ หลังจากเดินทางไปหลายพันเมตรพวกเขาก็เจอหลุมสีน้ำเงินกว้าง 5 เมตรปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา หลุมถูกแม่น้ำซ่อนไว้อย่างสมบูรณ์และสามารถค้นพบได้เมื่อดำดิ่งลงมาด้านล่างเท่านั้น
เจี้ยนเฉินติดตามอาต้าและคนอื่น ๆ เข้าไปในหลุม ยังคงมีทรายที่ลอยอยู่มากมาย มันส่องแสงสีฟ้าที่นั่น ทรายไม่ใช่โลหะหรือหิน แต่อนุภาคมีขนาดใหญ่กว่ามาก มันมีขนาดประมาณเท่ากับนิ้วโป้ง
เจี้ยนเฉินหยิบทรายขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วตรวจสอบ หลังจากนั้นเขาพูดกับชายอาวุโสทั้งสี่โดยใช้ทักษะสื่อสารว่า “พวกเจ้าควรรวบรวมสิ่งนี้ มันเป็นวัสดุสำหรับการหลอมอาวุธ หากเจ้าเสริมมันเข้ากับกระบี่ มันสามารถเพิ่มพลังให้กับกระบี่ของพวกเจ้าได้อย่างมาก” เจี้ยนเฉินได้ถามจิตวิญญาณกระบี่อย่างลับ ๆ แล้ว และได้รับการยืนยันว่าอนุภาคทรายสีฟ้าเป็นวัสดุชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตามคุณภาพของมันนั้นต่ำเกินไปและจะไม่เป็นประโยชน์เมื่อหลอมกระบี่ม่วงฟ้า อย่างไรก็ตามมันเป็นวัสดุที่มีคุณภาพสูงสำหรับกระบี่โลหะของพวกเขา
พวกเขาทั้งสี่ตกตะลึงเมื่อได้รับข้อความจากเจี้ยนเฉิน พวกเขามองดูเขาด้วยความตกใจ พวกเขาคงไม่เคยคิดว่าเจี้ยนเฉินจะเข้าใจเรื่องการหลอมอาวุธได้มากกว่าพวกเขา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาตกใจมาก ทั้งสี่ไม่ได้พูดมาก พวกเขาทั้งสี่รวบรวมกรวดที่คล้ายกับทรายบางส่วนก่อนและเดินทางต่อไป
หลุมสีน้ำเงินเข้มเต็มไปด้วยน้ำ ดังนั้นเจี้ยนเฉินและพวกเขาทั้งสี่จึงไม่สามารถพูดได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้คือสื่อสารโดยใช้ทักษะพิเศษ
“เราจะไปถึงจุดหมายหลังจากผ่านที่นี่ไป มันเป็นโลกใหม่ฉะนั้นจงระวังตัว” อาต้าแจ้งเจี้ยนเฉินให้รู้ เมื่อพวกเขามาถึงจุดสิ้นสุดของหลุม มันไม่ใช่หน้าผาหิน แต่เป็นมิติที่บิดเบี้ยวและพร่ามัว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายอาวุโสทั้งสี่มาที่นี่ พวกเขาเดินผ่านมิติพร่ามัวด้วยความคุ้นเคยก่อนที่จะหายไป
เจี้ยนเฉินลังเลเล็กน้อยและแอบเตรียมบางอย่าง หลังจากนั้นเขาเข้าไปในมิติที่บิดเบี้ยวเช่นกันและหายไปจากอุโมงค์
เมื่อก้าวออกมา การมองเห็นของเจี้ยนเฉินก็กลับมาอย่างกะทันหัน เขาเหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วและพบว่าดูเหมือนว่าเขาได้เข้ามาถึงในอีกโลกหนึ่ง มันทำให้เขาตกใจ อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นอะไรอย่างละเอียด เขาก็รู้สึกไร้น้ำหนักทันที อันที่จริงเขาเริ่มตกลงไป
เจี้ยนเฉินทรงตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาค้นพบว่าจริง ๆ แล้วเขาปรากฏตัวที่ระดับความสูงหลายร้อยเมตรหลังจากผ่านอุโมงค์เข้าไป มีหน้าผาหินที่ลื่นมากเบื้องล่างและเขาเพิ่งมาถึงที่ใจกลางของมัน อุโมงค์ที่เขาโผล่ออกมานั้นพร่ามัวและไม่ชัดเจน
“นี่คือปลายทางของเราที่ซึ่งเป็นแหล่งน้ำของน้ำศักดิ์สิทธิ์ของโลก” อาต้าและคนอื่น ๆ ลอยอยู่ในระดับเดียวกับเจี้ยนเฉิน ใบหน้าของพวกเขาจริงจังมากและไม่ได้ดูรื่นเริงเลย
เจี้ยนเฉินมองไปข้างหน้าและรู้สึกดีใจทันที ทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่ห่างจากเขาไป 10 กิโลเมตรและน้ำก็พุ่งออกมาจากใจกลางตลอดเวลา มันเหมือนน้ำพุสูง 10 เมตร น้ำศักดิ์สิทธิ์หลากสีลอยอยู่บนยอดบึงใหญ่ก่อนจะตกกลับไป
น้ำศักดิ์สิทธิ์ส่วนที่เหลือน้อยมากที่ล่องลอยมาจากบึงใหญ่และจากนั้นก็หายไปอย่างน่าประหลาด
“ทะเลวิญญาณ ! นี่คือทะเลวิญญาณ ! ” เจี้ยนเฉินรู้สึกยินดีในใจ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับทะเลวิญญาณจากจิตวิญญาณกระบี่ ดังนั้นเขาจึงรู้จักมันตั้งแต่แรกเห็น
“การจะเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์ของโลกไม่ใช่เรื่องง่าย ค่ายกลอันทรงพลังล้อมรอบต้นน้ำและกลุ่มสัตว์ที่ทรงพลังบ่มเพาะในชั้นนอก สัตว์เหล่านี้ได้กินน้ำและมีสติปัญญา ดังนั้นพวกมันจึงจัดการได้ยากกว่าสัตว์ที่อยู่ภายนอก” อาซานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เจี้ยนเฉินเหลียวมองและความสุขของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว มันถูกแทนที่ด้วยความเคร่งเครียดที่เข้ามาเรื่อย ๆ เขาได้ค้นพบว่าทะเลวิญญาณนั้นเป็นไปตามที่อาซานอธิบาย มันถูกปกคลุมด้วยกับค่ายกลที่ทรงพลัง สัตว์ดุร้ายมากมายรวมตัวกันอยู่นอกค่ายกลและสัตว์ทุกตัวก็เปล่งประกายด้วยพลัง สัตว์ตัวที่อ่อนแอที่สุดยังอยู่ในระดับเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 7 ในขณะที่ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในระดับเซียนราชาขั้นสูงสุด และในแต่ละชั้นก็มีจำนวนมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นหัวใจของเจี้ยนเฉินก็เต้นระรัว เขาจ้องมองสัตว์ร้ายที่มีขนาดเล็กและไม่น่าประทับใจด้วยความตกใจ หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น
“สัตว์อสูรดุร้ายระดับ 9 ! มีสัตว์อสูรดุร้ายระดับ 9 อยู่ที่นี่จริง ๆ !” เจี้ยนเฉินอุทานในใจ เขาไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง ในความเป็นจริงมันมีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังเท่ากับเซียนจักรพรรดิอยู่ที่นี่
เจี้ยนเฉินถมึงทึง หากมีสัตว์ร้ายมากมายคอยดูแลพื้นที่นี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเสี่ยงเข้าไปในทะเลวิญญาณ
“ดูเหมือนว่าข้าต้องให้รุยจินและคนอื่น ๆ ช่วย” เจี้ยนเฉินถอนหายใจ เขาเจอกับศัตรูที่ทรงพลังซึ่งเขาเอาชนะไม่ได้ด้วยตัวเอง
“ไม่ต้องกังวล สัตว์ร้ายพวกนี้อาจน่ากลัวมาก,แต่พวกมันก็มีจุดอ่อน พวกเราสี่คนเคยอยู่ที่นี่อย่างลับ ๆ มาหลายศตวรรษ ดังนั้นเราจึงรู้นิสัยของพวกมันเป็นอย่างดี ทุก ๆ ร้อยปีค่ายกลที่นี่จะไม่มั่นคง มันจะรบกวนสภาพแวดล้อมและแยกพื้นที่ทำให้ดินแดนไม่เสถียร. ในขณะนั้น ประสาทสัมผัสและประสาทรับรู้กลิ่นของสัตว์ดุร้ายจะได้รับผลกระทบ นั่นจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่เราควรเข้าไป”
“ค่ายกลที่นี่ไม่ได้มีเพียงชั้นเดียว มีอีกสองชั้นซ่อนอยู่ภายใน สามชั้นแบ่งพื้นที่ออกเป็นสามดินแดน, ดินแดนที่สัตว์ป่าอยู่คือค่ายกลชั้นแรกเท่านั้น พวกมันอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถหาพวกเราเจอได้หากเราไม่เข้าไปในค่ายกลชั้นแรก”
“สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือรอให้ค่ายกลไม่มั่นคง จากนั้นเราจะใช้ประโยชน์ในตอนที่ประสาทสัมผัสของสัตว์นั้นอ่อนแอที่สุดและเข้าผ่านค่ายกลชั้นแรกและชั้นที่สองอย่างรวดเร็ว สัตว์ดุร้ายเหล่านี้ไม่สามารถผ่านชั้นที่สองไปได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะทำร้ายเรา”
“เหลือเวลาอีกเท่าไหร่จนกว่าค่ายกลจะเริ่มไม่มั่นคงอีกครั้ง ? ” เจี้ยนเฉินถาม
“เราคำนวณอย่างถูกต้องแล้ว เหลืออีกครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน ไม่เกิน 3 เดือน”
ด้วยเหตุนี้เจี้ยนเฉินจึงล้มเลิกความคิดที่จะปล่อยรุยจินและคนอื่นออกมาชั่วคราว ถ้าเขาทำได้เขาต้องการใช้ความพยายามของเขาเองเพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่ต้องการพึ่งพาคนอื่นมากเกินไป
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉิน, อาต้าและอีกสามคนรอจนถึงครึ่งเดือน และในที่สุดก็ได้เห็นความไม่มั่นคงที่เกิดขึ้นทุก ๆ ศตวรรษ ลำธารแห่งพลังงานปรากฏขึ้นทันที ค่ายกลสามชั้นขึ้นไปข้างหน้าสั่นคลอนอย่างรุนแรง
มิติข้างบนเริ่มบิดเบี้ยวอย่างมาก จนสายตาของคน ๆ หนึ่งถูกบดบังอย่างสมบูรณ์ การมองเห็นลดลงเหลือเพียงโลกที่พร่ามัวและวุ่นวาย ซึ่งประสาทสัมผัสทั้งหมดถูกทำให้ว่างเปล่าโดยมิติที่บิดเบี้ยว
“ตอนนี้ล่ะ ! ไปกันเถอะ ! อาต้าตะโกนและพุ่งเข้าหาค่ายกลพร้อมกับพี่น้องสามคนของเขาอย่างรวดเร็ว ความไม่มั่นคงของค่ายกลจะไม่เกิดขึ้นนานดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้มีเวลามาก พวกเขาต้องการใช้ทุกวินาทีที่มีให้คุ้มค่า
เจี้ยนเฉินใช้ทักษะมายาพริบตาเพื่อประกบติดพวกเขาอย่างใกล้ชิด พวกเขาข้ามไป 10 กิโลเมตรในพริบตาพวกเขามาถึงค่ายกลชั้นแรก จากนั้นพี่น้องทั้งสี่ก็เริ่มก้าวไปข้างหน้าโดยใช้การก้าวเท้าแปลก ๆ นี่คือกุญแจสำคัญในการสร้างค่ายกล มันถูกคิดค้นโดยทั้งสี่หลังจากการศึกษาอย่างเขมักเขม้นมาหลายปี
เจี้ยนเฉินถูกเตือนไว้แล้ว เขาไม่ได้คิดอย่างประมาทในขณะที่เขาเดินเข้าไปในค่ายกล และเขาก็ก้าวเท้าตามจังหวะของพี่น้องทั้งสี่ ในท้ายที่สุด พวกเขาผ่านเข้าไปในดินแดนแรก โดยไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ เข้าสู่โลกเดียวกับสัตว์อสูรดุร้าย
สัตว์ได้รับผลกระทบอย่างมากจากความไม่มั่นคงของค่ายกล พวกมันสูญเสียประสาทสัมผัสที่จะรับรู้ถึงสถานการณ์รอบตัว พวกมันไม่สามารถมองเห็นหรือได้กลิ่น พวกมันไม่รู้ว่าคนอื่นเข้ามาในดินแดนแล้ว
อย่างไรก็ตามห้าคนนั้นก็ทำเหมือนกัน พวกเขาจับมือกันขณะที่พวกเขาก้าวเข้ามา พวกเขากลัวว่าจะถูกแยกจากกัน
“เรายังมีเวลาประมาณ 1 ก้านธูป” อาต้ากล่าวผ่านทักษะสื่อสาร หลังจากนั้นพวกเขาทั้งห้าก็จับกลุ่มเป็นเส้นตรงในขณะที่พวกเขาเดินไปยังดินแดนที่สองโดยใช้สัญชาตญาณ
ในขณะนี้อาต้าซึ่งอยู่ข้างหน้าหยุดอย่างกะทันหัน คนที่อยู่ข้างหลังเขาเกือบพุ่งชนเขา เสียงคำรามดังกึกก้องดังขึ้นในไม่ช้าหลังจากนั้น ทำให้ทั้งพื้นที่สั่นสะเทือน
“เวรกรรม ข้าชนเข้ากับสัตว์อสูร ! ” อาต้าสบถเสียงดัง ทุกคนได้รับผลกระทบจากสั่นสะเทือน ดังนั้นพวกเขาจึงมองไม่เห็นอะไรเลย พวกเขากำหนดเส้นทางของพวกเขาออกไปข้างนอก ดังนั้นเมื่อพวกเขาเบี่ยงเบนไปจากทางเดิมแม้แต่น้อย มันจะทำให้พวกเขาต้องปะทะสัตว์อสูร
การแสดงออกของพวกเขาเปลี่ยนไปก่อนที่พวกเขาจะเดินไปรอบ ๆ สัตว์อสูรที่พวกเขามองไม่เห็น พวกเขายังคงวิ่งไปยังดินแดนขั้นสอง เนื่องจากพวกเขาจะปลอดภัยเมื่อพวกเขาไปถึงที่นั้น.
เสียงคำรามดังกึกก้องอยู่ข้างหลังพวกเขาขณะที่พื้นดินสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลาทำให้มิติบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น สัตว์ร้ายที่อาต้าชนก่อนหน้านั้นฟื้นตัวและมันก็ฉลาดพอสมควร มันตั้งข้อสรุปทันทีว่าบุคคลภายนอกคือผู้บุกรุกและมันก็โกรธมาก
การโจมตีที่รุนแรงเริ่มแผ่เข้ามาในบริเวณแรกดินแดนชั้นแรก สัตว์ร้ายเริ่มโจมตีพื้นที่โดยรอบอย่างกว้างขวางเพื่อพยายามค้นหาผู้บุกรุก การโจมตีบางส่วนเกิดขึ้นในค่ายกลชั้นที่หนึ่งและสอง ทำให้มันสะเทือนอย่างรุนแรง
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายทำให้พื้นดินสะเทือน แม้ว่าประสาทสัมผัสของพวกมันจะได้รับผลกระทบจากค่ายกลที่ไม่มั่นคง แต่สัตว์ใกล้เคียงบางตัวยังสามารถได้ยินเสียงดัง เสียงคำรามที่โกรธเริ่มดังขึ้นไม่หยุด พวกมันสื่อสารกับสัตว์อสูรรอบตัวโดยใช้วิธีพิเศษ