ผู้มาจากลัทธิแห่งดวงดาว
ผ่านพ้นไปไม่กี่วันต่อมา เยี่ยจงยังคงอาศัยอยู่ภายในบ้านเดิมของตนเอง มีฝึกปรือวิชาบ้าง มีค้นคว้าวิชาสร้างยันต์บ้าง มิได้รีบร้อนมาจากเมืองเจียงโจว ไปยังหนานเจียง(南疆ทางใต้)เพื่อค้นหาไม้วิญญาณม่วง ห่างให้เยี่ยจงกล่าวกันตามตรงแล้วละก็ ความจริงยังมีเรื่องที่สำคัญมากอยู่อีกเรื่องหนึ่ง จึงทำให้เยี่ยจงมิได้จากไปโดยทันที หากว่าเขาจากไปแล้วละก็ ไม่แน่ว่าเหล่าผู้ที่ปองร้ายตนเองนั้น จะมุ่งเป้าไปที่หวังโม่แทน เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เยี่ยจงไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด
ดังนั้น จากที่เยี่ยจงรู้สึกคือต้องสะสางเรื่องราวต่างๆให้จบสิ้นก่อนถึงจะจากไปได้
ตลอดเวลามานี้เขาก็ได้แต่รอ รอผลตอบรับของตระกูลเยี่ยและตระกูลซู เขาเชื่อว่า ในระยะเวลาสามวัน จะเป็นวันที่ท่านเจ้าเมืองจะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ออกมา จากนั้นเรื่องราวก็จะลุกลามไปทั่วทั้งรัฐเยียน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเยี่ยหรือตระกูลซู อย่างน้อยก็ต้องมีการเคลื่อนไหวออกมาบ้าง
ทว่าเรื่องเหล่านี้ ก็มิอาจทำให้เยี่ยจงเป็นห่วงมากมายนัก หลายวันมานี้เขาได้รวบรวมวัตถุดิบมากมายเพื่อที่จะสร้างยันต์คุ้มกันและยันต์รักษา ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นตระกูลเยี่ยหรือตระกูลซูจะเคลื่อนไหวอย่างไร อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถคุ้มครองตนเองถอยหนีออกไปได้อย่างแน่นอน
นั้นก็เพราะว่าในวันที่เกิดเรื่องขึ้นในจวนท่านเจ้าเมืองตอนที่ปะทะกับซูเฮ้า ตนก็ได้รับบาดเจ็บภายในส่วนหนึ่งเช่นกัน แต่ไม่กี่วันมานี้ก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับเพลงกระบี่หกสุสานโบราณอีกด้วย จึงมีเวลาพักผ่อนทำให้อาการก็ดีขึ้นแล้วหกถึงเจ็ดส่วนแล้ว
“ เยี่ยจง เรื่องราวดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้องนะ “ หวังโม่เปิดประตูห้อง เดินจากลานบ้านเข้ามา เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันก่อน เขาในตอนนี้ก็ทราบแล้วทั้งหมด และรู้ว่าเยี่ยจงทำอย่าง “ ร้อยก้าวไร้พ่าย “ เพื่อปกป้องเพื่อนอย่างตน
“ ว่ายังไงนะ “ เยี่ยจงกำลังลุกขึ้นจากพื้น นิ้วมือที่กำลังดันร่างทั้งร่างขึ้นมา (วิดพื้นนิ้วเดียว) จากนั้นก็ค่อยๆพลิกตัวขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ก็เป็นการฝึกฝนร่างกายอีกอย่างหนึ่ง
พบเห็นเยี่ยจงในลักษณะนี้ หวังโม่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าเพื่อนของตนคนนี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นแล้วจริงๆ
“ ความจริงไม่กี่วันก่อนท่านเจ้าเมืองควรจะเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ออกมาแล้ว อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านโรงฝึกสายรุ้งและทั้งจวนท่านเจ้าเมืองเจียงโจว ก็ควรจะมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นซักเล็กน้อยจึงจะถูกต้อง แต่ที่น่าแปลกคือ ในเวลานี้หมู่บ้านโรงฝึกสายรุ้งกลับเงียบสงบไร้เรื่องราว ดูราวกับไม่มีผู้ใดทราบเรื่องเหล่านี้เลย “ หวังโม่ตอบพร้อมกับใบหน้าฉงน
เยี่ยจงพยักหน้าอย่างเงียบๆ ตอบ “ น่าจะเป็นเพราะตระกูลเยี่ยและท่านเจ้าเมืองช่วยกันปกปิดเรื่องเหล่านี้เอาไว้ “
“ เรื่องเหล่านี้ยังไม่เท่าไหร่ ที่น่าประหลาดก็คือ วันนี้มีบุคคลจากลัทธิแห่งดวงดาวมา อีกทั้ง ยังให้ข้านำข้อความแผ่นหนึ่งมาส่งมอบให้เจ้า “ หวังโม่ทางหนึ่งพูด อีกทางหนึ่งก็ล้วงนำกระดาษสีอ่อนแผ่นหนึ่งออกมา วางไว้ด้านหน้าเยี่ยจง
“ ลัทธิแห่งดวงดาว ? “
เยี่ยจงขยับเล็กน้อยด้วยความเงียบ ลัทธิแห่งดวงดาวเป็นลัทธิที่ได้รับการยอมรับลัทธิหนึ่งจากราชวงศ์โจว กล่าวตามความจริง หากนำลัทธิแห่งดวงดาวมาเปรียบกับราชวงศ์แห่งราชวงศ์โจวแล้วละก็ ด้านอิทธิพลก็มิได้ด้อยกว่าทางราชวงศ์เลย อีกทั้งหากนำสำนักยุทธ์ของราชวงศ์โจวทั้งสองแห่งมารวมกันมาเปรียบเทียบกับลัทธิแห่งดวงดาว แม้กระทั่งเป็นคนถือรองเท้าให้ก็ยังไม่คู่ควร ไม่ว่าจะเป็นคนของราชวงศ์ หรือว่าห้าตระกูลใหญ่แห่งราชวงศ์โจวอีกทั้งตระกูลใหญ่น้อยก็ตาม รวมทั้งตระกูลใหญ่น้อยที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับราชวงศ์โจว ต่างก็อยากที่จะส่งลูกศิษย์ภายในตระกูลไปฝึกยุทธ์ในลัทธิแห่งดวงดาว
การที่จะเข้าไปเป็นศิษย์แห่งลัทธิแห่งดวงดาวได้นั้นช่างยากแสนยาก หรือกล่าวอย่างง่ายๆก็คือ คล้ายๆกับตระกูลเยี่ยและทั้งห้าตระกูลต่างอยากจะเข้าไปเป็นศิษย์สำนักอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์โจวอย่างลัทธิแห่งดวงดาว อย่างมากสุดในปีๆหนึ่งจะเข้าไปอย่างมากแค่สามคนเท่านั้น
อีกทั้งสำนักอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์โจวนั้นคือลัทธิแห่งดวงดาว ยังส่งข้อความถึงตนอย่างกะทันหันเยี่ยงนี้
ในใจนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เยี่ยจงเพิ่มกำลังบนนิ้ว ดันร่างกายก็ได้ลุกขึ้น จากนั้นเขาก็ค่อยๆแกะซองที่เป็นสารของลัทธิแห่งดวงดาวออกมา
“ เข้าร่วมลัทธิข้า สามารถปกป้องชีวิตเจ้า “ (入我宗,保你命)
อักษรทั้งหกตัวนั้นเขียนไว้ด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่สีดำเต็มกระดาษ ทำให้คนทั่วไปที่อ่านรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามแผ่ออกมาจากตัวอักษร
แต่ว่า พอเห็นข้อความจากกระดาษแผ่นนี้แล้ว เยี่ยจงได้รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าลัทธิแห่งดวงดาวแห่งนี้จะส่งคนของลัทธิมาส่งข้อความมาหาตน ถ้าหากว่าลัทธิแห่งดวงดาวต้องการที่จะให้ตนเข้าร่วมแล้วละก็ อย่างที่กล่าวมา เรื่องราวในวันก่อนที่เกิดขึ้นที่จวนท่านเจ้าเมือง โดยส่วนมากคงล่วงรู้ถึงหูของลัทธิแห่งดวงดาวแล้ว
หลังจากคำนึงอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยจงรู้สึกตระหนกเล็กน้อย ลัทธิแห่งดวงดาวนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นส่วนหนึ่งหรือข้าราชบริวารของราชวงศ์โจว หรือถ้าไม่อย่างนั้นละก็ คงจะเคลื่อนไหวโดยที่สองตระกูลใหญ่แห่งรัฐฉินไม่เคลื่อนไหวอะไรเลยได้หรือ ดังนั้นลัทธิแห่งดวงดาวจึงสามารถการเคลื่อนไหวได้ก่อนทั้งสองตระกูล
“ จะเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาวดีไหม “ เยี่ยจงค่อยๆขมวดคิ้วขึ้น ความจริงเขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจในการเข้าร่วมกับลัทธิอันใดเลย ความจริงนั้นคือเขาเป็นศิษย์ที่มีสำนักอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีอาจารย์ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมลัทธิเพื่อศึกษาวิชายุทธ์ลมปราณที่แตกต่างไปจะเดิม แต่ว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนของท่านเจ้าเมืองนั้น เยี่ยจงก็ได้เข้าใจ ตนเองในตอนนี้คงเป็นเหมือนดั่งนักโทษเดนตายของทั้งตระกูลเยี่ยและตระกูลซู ในสถานการณ์เช่นนี้ ความจริงตนเองนั้นก็มิได้เกรงกลัวแต่อย่างไร แต่ทว่า ถ้าหากมีผู้ที่ตนเองไม่ทราบที่มาที่ไปพลิกฟ้าค้นหาตนแล้วละก็ คงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมิใช่น้อย อีกทั้งยังจะเป็นการรบกวนการฝึกยุทธ์ของตนด้วย แต่ถ้าหากเข้าร่วมแล้วละก็ ก็เหมือนกับว่าสามารถตัดปัญหาส่วนหนึ่งไปได้เลย
อีกอย่าง หากต้องการที่จะใช้เพลงกระบี่หกสุสานโบราณแล้วละก็จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนพลังลมปราณถึงระดับหนึ่งเสียก่อนจึงจะสามารถใช้ได้ ในตอนแรกนั้นเยี่ยจงก็ทราบถึงการวี่แววในการค้นหาไม้วิญญาณม่วงจากเจียงหนาน ที่อยู่ทางตอนใต้ถัดจากราชวังแห่งราชวงศ์โจวนั้นเอง อีกทั้งในส่วนนอกเหนือจากนี้ก็ไม่รู้อย่างแน่ชัด
หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เยี่ยจงก็ได้เงยหน้าถาม “ ผู้ส่งสารแห่งลัทธิแห่งดวงดาวยังอยู่หรือไม่ “
“ เขายังรอเจ้าอยู่ที่โรงฝึกยุทธ์สายรุ้ง “ หวังโม่ตอบ
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เยี่ยจงก็ได้ลุกขึ้น ยิ้มแล้วตอบกลับไป “ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่าแล้วละก็ พวกเราก็ไปพบผู้ส่งสารก็สักครากันเถอะ “
“ ยังมีอีกเรื่อง เจ้ามีความสนใจจะเข้าร่วมลัทธิแห่งดวงดาวบ้างหรือเปล่า “ หลังจากที่ได้เดินออกจากห้องเพียงสองก้าว เยี่ยจงก็ได้เอ่ยถามออกมา
หวังโม่ดีใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ทว่าเขาก็ได้ส่ายหัวไปมาตอบ “ ความจริงดูเหมือนการมาของลัทธิแห่งดวงดาวในครั้งนี้ จะเป็นการเข้ามาช่วยเหลือเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อรวบหัวรวบหางของผู้ที่จะเข้ามาก่อกวนเจ้า พวกเรายังจะยื่นข้อเสนอเข้าไปอีก เกรงว่าแบบนี้มันอาจจะดูไม่ดีก็เป็นได้ “
เยี่ยจงหัวเราะเสียงดังตอบ “ หากพวกเราไม่ยื่นข้อเสนอแล้วละก็ มันก็เหมือนการดูถูกผู้ส่งสาร มิใช่หรือ “
ระหว่างการสนทนา ทั้งสองก็ใกล้ที่จะมาถึงโรงฝึกยุทธ์สายรุ้งแล้ว ในระหว่างที่เดินเข้าไปอยู่นั้น ในวันนี้พอมาถึงโรงฝึกเยี่ยจงก็รู้สึกได้เสียงพูดคุย จอแจ อันวุ่นวายดังมาจากด้านใน โดนปกติแล้วไม่น่าจะมีผู้คนมากมายถึงเพียงนี้อยู่ภายในโรงฝึก ดังนั้นจึงรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างกำลังดึงดูดผู้คนเหล่านี้
“ ด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ “ เยี่ยจงถามออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ ยังเกิดเรื่องอันใดได้อีก นั้นก็เพราะผู้ส่งสารของลัทธิแห่งดวงดาวนั้นแหลาะ “ หวังโม่หยักไหล่ ใบหน้าที่แสดงออกมาราวกับไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนเอง
“ เพียงแค่ผู้ส่งสารคนเดียว เกรงว่าคงไม่สามารถที่จะดึงดูดผู้คนมาได้มากมายขนาดนี้หรอก เจ้ายังมีอะไรปิดบังข้าอยู่หรือ “ เยี่ยจงยังคงเค้นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ หลอกเจ้าไม่ได้จริงๆ “ หวังโม่ถอนหายใจคำหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ ผู้ส่งสารของลัทธิแห่งดวงดาวนั้นเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนอายุจะไม่น่าเกินยี่สิบปี ………… อีกอย่าง ยังเป็นสาวงามอีกด้วย “
“ สาวงามหรือ “ เยี่ยจงยิ่งเพิ่มพูนความเสนาะสนใจต่อผู้ส่งสารของลัทธิแห่งดวงดาวขึ้นหลายส่วน จากนั้นทั้งสองก็ได้เพิ่มความเร็วเดินเข้าไป ระหว่างทางก็พบคนหลายกลุ่มกำลังเดินมุ่งไปยังห้องรับรองของโรงฝึกยุทธ์สายรุ้ง
“ อี๊ เยี่ยจง “
เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นในจวนท่านเจ้าเมืองแม้มิได้เปิดเผยออกไป แต่เรื่องที่เยี่ยจงเอาชนะเยี่ยหยู่ในโรงฝึกยุทธ์สายรุ้งก็ได้ไปแพร่กระจายออกไป หลังจากที่เห็นเยี่ยจงเดินเข้ามา มีคนไม่น้อยที่คอยมองตามเยี่ยจงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและสงสัย เกี่ยวกับเรื่องราวเจ้าขยะแห่งตระกูลเยี่ย มีหลายคนที่ไม่สามารถรับได้
“ เฮอะ เยี่ยจง ถึงแม้ว่าเจ้าจะเอาชนะเยี่ยหยู่ได้ แต่ก็ถือว่าเจ้าแน่พอ ทว่าสถานที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ๆเจ้าสมควรมาด้วยซ้ำ “ มีคนกลุ่มหนึ่งยืนขวางทางเยี่ยจงและหวังโม่อยู่ระหว่างทาง คนเหล่านี้เป็นคนเป็นของตระกูลซ้งซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ คนเหล่านี้เหมือนไม่ได้คิดอะไรต่อเยี่ยจง แต่ก็ไม่ถูกขี้หน้าเยี่ยจงเหมือนกัน
“ ข้าเข้าไปไม่ได้ ก็หมายถึงเจ้าสามารถเข้าไปได้งั้นหรือ “ เยี่ยจงมองค้อนพวกเขาทีหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน ในสายตาของเขานั้น คนเหล่านี้ไม่สมควรแม้กระทั่งชายตามอง
“ พวกเรานั้นไม่มีคุณสมบัติเข้าไปก็จริง แต่ทว่าเจ้ายิ่งไม่มีคุณสมบัติแม้กระทั่งยืนอยู่ในที่แห่งนี้ ไม่แม้กระทั่งสมควรมองดูศิษย์พี่หญิงของลัทธิแห่งดวงดาวอีกด้วย เยี่ยจงไสหัวไปซะ ที่นี้ไม่ใช่ที่ๆเจ้าควรอยู่หรอก “ เหล่าคนของตระกูลซ้งต่างหัวเราะฮิฮะออกมา ต่อให้ตอนนี้เยี่ยจงมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมก็ตาม พวกเขาก็ไม่แม้กระทั่งอยากจะสนใจ ในความคิดของพวกเขา การที่เยี่ยจงสามารถเอาชนะเยี่ยหยู่ได้ เป็นเพียงแค่มองว่าตระกูลเยี่ยของพวกเขานั้นช่างอ่อนแอซะเหลือเกิน
“ เยี่ยจงเจ้ามาแล้วงั้นหรอกหรือ ถ้างั้นก็รีบให้เขาเข้ามาเถอะ “ ในตอนที่ผู้คนรอบข้างคิดว่าทั้งสองฝั่งกำลังจะทนไม่ไหวจะลงมือในเวลานั้นเอง ในเรือนรับรองนั้น ก็มีอาจารย์ผู้หนึ่งเดินออกมา เขาขมวดคิ้วขึ้น ความจริงเขาก็ไม่รู้จะขับไล่นักเรียนเหล่านี้ออกไปอย่างไรดี แต่ก็ยังคงกล่าวออกมาด้วยความรวดเร็ว
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เยี่ยจงเจ้าคงได้ยินแล้วสินะ แม้กระทั่งอาจารย์ก็บอกให้เจ้าไสหัวไปซะ เจ้ายังคง…………. “ คนตระกูลซ้งหัวเราะเสียงดัง ไม่แม้กระทั่งจะหยุดเยาะเย้ยเยี่ยจง ทว่าพวกเขาก็หัวเราะได้เพียงครึ่งเดียว กระทั่งพบว่าใบหน้าของนักเรียนรอบด้านดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง เขารู้สึกว้าวุ่นใจชั่วขณะ หลังจากนั้นก็รู้สึกได้ สีหน้าก็ได้เปลี่ยนราวกับกำลังตกใจ
อาจารย์บอกว่าให้เยี่ยจงนั้นเข้าไปได้ การที่ที่ศิษย์พี่หญิงของลัทธิแห่งดวงดาวมาในครั้งนี้ เพราะว่าเขาต้องการเสาะหานักเรียนผู้หนึ่งของโรงฝึกยุทธ์สายรุ้งแห่งนี้ เป้าหมายนั้นคืออะไร ส่วนมากทุกคนก็รู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว แต่ทว่าต่อให้ทุกคนคาดเดาแล้วละก็ ก็ยังคงเดาไม่ออกอยู่ดีว่าเป็นผู้ใด
แต่ว่า หลังจากที่ได้ยินอาจารย์พูดออกมานั้นก็ได้เข้าใจในทันที บุคคลที่ศิษย์พี่หญิงของลัทธิแห่งดวงดาวมาตามหานั้นก็คือ เยี่ยจงนั้นเอง นี้มันเป็นไปได้อย่างไรกัน
เยี่ยจงในตอนนี้ เป็นนักเรียนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าไปยังเรือนรับรองมากที่สุดในตอนนี้
“ ไสหัวไป “
ในตอนนี้เยี่ยจงก็ไม่อยากจะกล่าวมากความ เพียงกล่าวเสียงดังๆออกมาคำเดียว
ในเวลานั้นเอง เหล่าคนในตระกูลซ้งต่างหน้าแดงสลับกันไปมา จากนั้นก็ทนไม่ไหวที่จะลงมือ แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะลงมือต่อหน้าอาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างหน้า เพียงแค่กัดฟัน ใช้สายตาราวกับงูพิษจ้องไปที่เยี่ยจง ในขณะที่กำลังจะเดินถอยจากไปนั้น
“ เพี๊ยะ “
หนึ่งในคนตระกูลซ้งเกิดอาการตกใจ เยี่ยจงนั้นได้ใช้ฝ่ามือตบไปที่ใบหน้าข้างหนึ่งของเขาจนบวม
หลังจากที่ตบไปแล้วทีหนึ่ง เยี่ยจงก็ได้สะบัดมือไปมา กล่าวออกมาราวกับกำลังเจ็บปวด “ ช่วงนี้ทำไมดวงซวยเช่นนี้ ทำไมเจอแต่คนหน้าหนาเช่นนี้อยู่ตลอด ทำจนมือข้านั้นเจ็บไปหมดแล้ว “
“ เยี่ยจง ข้าจะฆ่าเจ้า “ คนของตระกูลซ้งหมดความอดทน ใบหน้าของเขาแดงไปทั่วใบหน้า กระทึบเท้าออกไปทีหนึ่ง พร้อมกับกำหมัดที่พุ่งออกไป “ เจ้าขยะไร้ค่า “
“ เพี๊ยะ “
เยี่ยจงไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่ชักมือข้างหนึ่งตบสวนกลับไป หลังจากที่ตบสวนกลับไปร่างกายของเจ้าคนของตระกูลซ้งก็ลอยกลับหลังออกไป ราวกับสุนัขหาคอกไม่เจอ
“ ข้าถึงแม้จะไม่ชอบความยุ่งยากน่ารำคาญ แต่หากว่ามีใครยังอยากจะมาสร้างความรำคาญกับข้าอีกแล้วละก็ ข้าก็น้อมที่จะสนอง จริงๆนะ “ เยี่ยจงมองไปทางกลุ่มคนของตระกูลซ้งด้วยใบหน้าที่ท้าทาย จากนั้นก็กวาดตาสำรวจบุคคลที่เหลืออยู่ กล่าวออกมาดังๆ “ แล้วพวกเจ้าละ จะลงมือหรือไม่ “
“ พอแล้ว “
ในระหว่างที่เยี่ยจงกำลังเตรียมพร้อมที่จะลงมืออีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงอาจารย์กำลังขมวดคิ้วกล่าวเสียงดังออกมาคำหนึ่ง “ แขกผู้มีเกียรติจากลัทธิแห่งดวงดาวกำลังรอเจ้าอยู่ อย่ามัวแต่เสียเวลา “
“ ขอรับ “
เยี่ยจงทำมือราวกับกำลังขอขมาเขย่าไปมาอย่างเงียบงัน จากนั้นเขาก็มิได้สนใจคนของตระกูลอีก ในขณะที่พวกเขาจ้องมองไปด้วยสายตาราวกับงูพิษ เยี่ยจงและหวังโม่ก็ค่อยๆก้าวเท้าเข้าเรือนรับรองเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากที่พบเห็นร่างของเยี่ยจงเดินเข้ามาบริเวณหน้าประตูทางเข้า บริเวณที่เคยว่างเปล่าอยู่นั้น ทั่วทั้งสี่ด้านก็ได้ส่งเสียงราวกับกำลังตกใจระคนสงสัยออกมา
“ คนที่กำลังตามหาอยู่คือเยี่ยจงหรือนี้ เป็นไปได้อย่างไร “
ลงครบตอน 3/3 ประจำสัปดาห์ที่สามแล้วนะครับ