เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 028 การรวมตัวของผู้แข็งแกร่ง

ตอนที่ 028 การรวมตัวของผู้แข็งแกร่ง

 

เยี่ยจงพอที่จะคาดเดาได้ว่าในขณะนี้ภายในใจซูหยี่กำลังคิดอันใดอยู่ หลังจากที่เขาเพียงขมวดคิ้ว ก็ได้แต่เพียงส่ายหัวไปมา หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ก็คงจะปล่อยเลยตามเลย แต่ทว่าหลังจากที่พวกเขาได้มีข้อพิพาทกับคุณชายคงซวี จากที่เยี่ยจงมองออกมา ยังไงคุณชายคงซวีไม่ช้าก็เร็วก็ต้องปรากฏตัวออกมาอยู่ดี ถ้าแต่เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว หากว่ายังมีคนนอกเหนือจากพวกเขาทั้งสอง อย่างเด็กสาวทั้งสามคนนี้ติดตามเรื่องราวก็คงเพิ่มความอันตรายมากยิ่งขึ้น

 

หลังจากที่พบว่าเยี่ยจงส่ายหัว ซูหยี่ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา กระโดดลงจากก้อนหินลงมา ส่ายหัวแล้วตอบกลับไป “ พวกเจ้าทั้งสามยังไงซะก็กลับไปยังเขาชิงซานรอข้ากลับไปจะดีกว่า พอถึงเวลานั้นข้าจะนำของฝากจากอารามก่อฟ้ากลับไปให้พวกเจ้า ยังไงซะพวกเจ้าตอนนี้ก็ถือว่าทำภารกิจสำนักเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว “

 

“ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ เจ้าเด็กน้อยนั้นยังเข้าไปกับท่านได้เลย ทำไมพวกเราถึงไม่ได้ละ ? “ สาวน้อยกระโปรงเขียวพอดีพบเห็นว่าซูหยี่ยืนอยู่กับเยี่ยจง อีกทั้งยังเห็นการแสดงความคิดเห็นออกมาของเยี่ยจง ซูหยี่ถึงได้ปฏิเสธคำขอร้องของพวกนางไป ดังนั้นจึงทำให้สาวน้อยปะทุไฟโทสะออกมาจากด้านในจิตใจ

 

“ เขากับพวกเจ้านั้นไม่เหมือนกัน เขาเป็นถึงศิษย์สายในนะ “ หลังจากนิ่งเงียบ ซูหยี่ก็พยายามอธิบายไกล่เกลี่ยออกมา

 

“ ศิษย์สายในหรือ ? “ สาวน้อยกระโปรงเขียวกวาดสายตามองไปทางเยี่ยจง จากนั้นก็กล่าวดังๆ “ ศิษย์พี่ซูหยี่ท่านก็อย่าได้หลอกพวกข้าเลย ศิษย์สายในของลัทธิสายในมีกี่คน มีหรือที่พวกเราจะมิทราบ ? อีกทั้งอย่างเจ้าเด็กน้อยนี้ พวกเราก็ยังมิเคย

 

“ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังดูพลังลมปราณอยู่แค่ขั้นที่สามของลมปราณขั้นก่อเกิดเอง ก็สามารถที่จะติดตามอยู่ข้างกายศิษย์พี่หญิงท่านแล้ว เหตุใดพวกเราจึงไม่สามารถติดตามศิษย์พี่หญิงไปเปิดหูเปิดตาได้กัน ? “ เด็กสาวกระโปรงเขียวร้องเชอะตอบกลับมา

 

“ เรื่องนี้มัน…… “ หลังจากนิ่งเงียบ ใบหน้าของซูหยี่ก็ได้ปกคลุมด้วยสีหน้าปั้นยากออกมา ในตอนที่จะปะมือกับเหล่าคู่ต่อสู้ นางช่างสงบเยือกเย็น แต่ทว่ากับเหล่าศิษย์น้องหญิงเหล่านี้แล้ว มีอยู่หลายส่วนที่ทำให้นางถึงกับปวดเศียนเวียนเกล้าได้

 

หลังจากนั้นนางก็ได้ขมวดคิ้ว นางหันไปมองทางด้านเยี่ยจงแล้วกล่าว “ ศิษย์น้องเล็กเยี่ยจง ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ดู…… “

 

“ เยี่ยจง ? “ หลังจากนิ่งเงียบ เด็กสาวกระโปรงเขียวก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย มองไปยังใบหน้าของเยี่ยจงด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด “ เจ้าก็คือเยี่ยจง ผู้นั้น ห้าตระกูลใหญ่ เยี่ยจงแห่งบ้านตระกูลเยี่ย ? “

 

“ พวกเจ้าทั้งสองรู้จักกันหรือ ? “ ซูหยี่เริ่มมีใบหน้าที่ดูดีขึ้นเล็กน้อยมองไปทางเด็กสาวกระโปรงเขียวแล้วกล่าว

 

“ เพ่ย ที่แท้เจ้าก็คือเจ้าขยะเยี่ยจงที่เล่าลือกันนั้นเอง ข้าได้ยินมาจากเยี่ยถง นางเคยเอ่ยถึงเจ้ามาก่อน เชอะ เจ้าความอัปยศแห่งตระกูลเยี่ยที่พันปีจะมีซักคน ขยะไร้ค่าของตระกูลเยี่ยที่เล่าลือกันมีอันใดดีกัน “ เด็กสาวกระโปรงเขียวมองสำรวจเยี่ยจงจากเท้าถึงใบหน้า “ เจ้าไม่อยากที่จะไปกับพวกข้า พวกข้านั้นก็ยิ่งไม่อยากที่จะรวมกลุ่มกับขยะไร้ค่าอย่างเจ้าหรอก เชอะ “

 

“ พวกเราไปกันเถอะ “

 

หลังจากเสียงเงียบลง เด็กสาวกระโปรงเขียวก็ได้ลากเด็กสาวอยู่สองคนเดินจากไป ปล่อยให้ใบหน้าของเด็กสาวทั้งสองยังอยู่ในอาการสับสน แต่ก็ยังคงถูกนางลากไปอีกทาง

 

“ เยี่ยจง ปล่อยพวกนางทั้งสามไปเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมหรือไม่กัน ? “ ซูหยี่มองไปยังใบหน้าที่ไม่มีอาการเปลี่ยนแปลงใดๆของเยี่ยจง จากนั้นก็กล่าวเสียงเบาๆต่อ “ เมื่อครู่ ฉียวีนางเพียงปากด่วนใจเร็วไป คำพูดเมื่อครู่ของนางนั้น เจ้าอย่าได้เก็บเอาคิดใส่ใจเลยนะ “

 

หลังจากนิ่งเงียบไป เยี่ยจงก็ได้ส่ายหัวไปมา ตอบกลับไป “ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ท่านก็น่าจะทราบอยู่แล้ว หากว่าติดตามพวกเราไป พวกนางจะยิ่งอันตรายมากกว่าเดิมอีก “

 

ซูหยี่ได้แต่ถอนหายใจคำหนึ่ง หากว่าไม่มีเรื่องขัดแย้งกับคุณชายคงซวีแล้วละก็ นางก็คงจะรั้งศิษย์น้องหญิงทั้งสามไว้ เพียงแต่ว่าหากรั้งพวกนางไว้ เกรงว่าจะมีแต่ทำร้ายพวกนางมากกว่าเดิม

 

“ หวังว่าพวกนางจะรู้ถึงความลำบากแล้วก็คงจะจากไปเอง ขอแค่อย่าให้ความโลภเข้าครอบงำ เข้ามาสู่วังวนหาอาวุธวิเศษและของวิเศษ ทว่าอย่างน้อยพวกนางจะมีฐานะเป็นถึงศิษย์สายนอกของลัทธิแห่งดวงดาว ยังไงซะก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกนาง “ ซูหยี่ถอนหายใจคำโต จากนั้นหางตาก็ทอดไปยังบริเวณทางเข้าที่อยู่ตรงหุบเขา “ พวกเราก็รอกันต่อเถอะ “

 

หลังจากเงียบงันไป เยี่ยจงก็มิได้กล่าวอันใดออกมา เพียงแต่รอคอยอย่างเงียบเชียบ

 

“ ฉิว ——”

 

เวลาหนึ่งวัน ในระหว่างที่ค่อยๆรอคอยอยู่เวลาก็ได้ไหลผ่านเลยไป ทว่าในยามที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดิน นัยน์ตาของเยี่ยจงหรี่ลง จากนั้นก็มองไปยังบริเวณทางด้านหลังทางฝั่งด้านขวา

 

ทันใดนั้น ก็มีคนกลุ่มใหญ่เดินออกมาจากในป่า อีกทั้งกลิ่นอายของคนเหล่านี้ก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด อีกทั้งยังเป็นเหล่าผู้ที่มีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย

 

หลังจากที่เยี่ยจงมองไปยังกลุ่มคนเหล่านี้ ก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น นั้นก็เพราะตนเองไม่สามารถระบุสถานะของคนเหล่านี้ออกมาได้

 

“ น่าจะเป็นคนของตระกูลม่อแห่งเขตชิงซาน ผู้ที่นำขบวนอยู่นั้น น่าจะเป็นนายน้อยของตระกูลม่อ ม่อฝานหลง “ ซูหยี่หันศีรษะกลับไปมองอย่างไร้ความรู้สึก ที่ด้านหลังมีชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเป็นผู้นำอยู่กำลังทำสัญญาณมือออกมา ในมือของชายหนุ่มถือไว้ด้วยกระดูกสัตว์อยู่สองชิ้น “ คิดไม่ถึงว่า เขาเองก็เริ่มลงมือแล้ว ดูเหมือนว่าการเปิดเผยเส้นทางเข้าสู่อารามก่อฟ้า คงจะเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนแล้ว “

 

“ คนผู้นี้ร้ายกาจมากหรือ ? “ เยี่ยจงมองไปยังคนผู้นั้นอย่างไม่ละสายตา จากนั้นก็สำรวจเหล่าคนทางด้านหลังรอบหนึ่ง จากนั้นเยี่ยจงก็พบว่าคนกลุ่มนี้อย่างน้อยก็คนสามสี่คนที่เป็นยอดฝีมือที่มีกำลังภายในอยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ภายในกลุ่ม หากว่าคนเหล่านี้ลงมือ คงเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย

 

“ เขาเป็นคนที่มากด้วยพรสวรรค์ เมื่อหลายพี่ก่อนลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเราได้ส่งบัตรเชิญให้เขาเข้าด้วย แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธกลับมา “ ซูหยี่กล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักออกมา

 

หลังจากเงียบงัน นัยน์ตาของเยี่ยจงก็ได้หรี่ตาลง ถ้าหากเป็นบุคคลที่สำนักอันดับหนึ่งแห่งรัฐต้าโจวอย่างลัทธิแห่งดวงดาวส่งคำเชิญไป แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดาอยู่หลายส่วน อีกทั้งยังต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองอยู่หลายส่วน บุคคลเช่นนี้ บวกกับฐานะที่เป็นหัวหอกเจ้าถิ่นของพื้นที่ทางด้านนี้ เกรงว่าคงยากที่จะต่อกรด้วยแล้ว

 

“ ศิษย์พี่หญิงซูหยี่ ดูเหมือนหากพวกเราต้องการที่จะเสร็จสิ้นภารกิจสำนักแล้วละก็ ความยากเย็นคงจะเพิ่มขึ้นอีกมากแล้ว “ เยี่ยจงยิ้มออกมาแล้วกล่าว

 

“ ทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน “ ซูหยี่ถอนหายใจคำหนึ่ง ในเมื่อเรื่องราวก็ดำเนินจนมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่จำเป็นจะต้องถอยกลับไปกันก่อน

 

“ คนของตระกูลซ่งก็มาแล้ว “

 

ในระหว่างที่เยี่ยจงและซูหยี่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนในกลุ่มตะโกนออกมาคำหนึ่ง หลังจากก็พบที่อีกทางด้านหนึ่ง มีคนเกือบประมาณร้อยคนเดินออกมาจากป่า อีกทั้งผู้นำคนเหล่านี้อยู่ มิอาจเป็นใครอื่นได้นอกเสียจากซ่งเซ้าเฉิงแห่งตระกูลซ่ง

 

“ ศิษย์พี่ซ่งเซ้าเฉิงมาแล้ว เกรงว่าการเข้าสู่อารามก่อฟ้านั้น คงใกล้ได้เวลาเปิดแล้วสินะ “ ซูหยี่กวาดสายตามองออกไป จากนั้นก็กล่าวออกมา

 

นอกจากม่อฝานหลงและเหร่ยโหย่วซวีแล้ว หรงเทียนและซ่งเซ้าเฉิงทั้งสองก็มิใช่บุคคลที่ง่ายที่จะต่อกรด้วยเลย ต่อให้เป็นซูหยี่เองก็ตาม ในตอนที่เห็นพวกเขาปรากฏตัวออกมา ก็ได้ขมวดคิ้วไปแล้วเล็กน้อย

 

“ เหอะ ศิษย์น้องหญิงซูหยี่ คิดไม่ถึงเจ้าก็มาด้วยเช่นกัน “

 

ซ่งเซ้าเฉิงความจริงก็สำรวจเห็นซูหยี่และเยี่ยจงตั้งแต่แรกแล้ว ในตอนที่เขากวาดตามองมานั้น ก็ได้หยุดมองอยู่ที่เยี่ยจงอย่างประหลาดใจชั่วครู่ จากนั้นก็ได้หันมาทางด้านซูหยี่ กลั่นหัวเราะกล่าวออกมา

 

เพียงแต่ว่า หลังจากที่กล่าวจบประโยคหนึ่งแล้ว เขาก็มิได้ต้องการที่จะรู้สถานะอันใด เพียงแต่ว่าเข้ามากล่าวทักทายเพียงแค่นั้นเอง หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือไปยังทิศทางที่มีหมอกปกคลุมอยู่ทั่วไปบริเวณเชิงเขาของหุบเขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหมายบางอย่าง

 

หลังจากที่เห็นการกระทำของซ่งเซ้าเฉิงเช่นนั้น มีผู้คนไม่น้อยเลยที่ทอประกายสายตาอันแปลกประหลาดออกมา จากนั้นก็มองไปยังท่ามกลางของหุบเขา ทันใดนั้นเอง เป็นเหมือนดั่งบางอย่างที่ทำให้ไม่มีผู้ใดขยับเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่ง

 

เพียงแต่ว่า ในระหว่างที่ช่วงเวลาไหลผ่านไปอยู่นั้นเอง บรรยากาศโดยรอบก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นหนักอึ้งขึ้นมา ผู้คนไม่น้อยอยู่หลายส่วนที่นัยน์ตาเริ่มที่จะถลนออกมาแล้ว ช่วงเวลาเดียวกัน สถานที่แห่งนี้ก็ได้เปลี่ยนไปราวกับกลายเป็นดั่งขวดยาที่สามารถเป็นดั่งเชื้อเพลิงได้ ขอแค่เพียงมีการจุดประกายไฟเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะทำให้ระเบิดออกมาได้

 

ในกลุ่มของเหล่ายอดฝีมือทั้งหมดต่างก็มีอาการตื่นเต้น แทบจะไม่สามารถอดทนต่อได้อีกต่อไป ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังอึงอนดังออกมา หลังจากนั้น ก็พบว่าชั้นบรรยากาศของมันเริ่มเบาบางลง จากนั้นก็เริ่มที่จะมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในเวลาต่อมา

 

“ ทางเข้าอารามก่อฟ้าเปิดแล้ว “

 

ผู้คนในเวลานี้ต่างก็อยู่ในอาการตัวสั่นเทา นัยน์ตาปรากฏเต็มไปด้วยความยินดี เมื่อนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับอารามก่อฟ้า ผู้คนมากมายต่างอดทนเฝ้ารอเป็นเวลานาน ในที่สุดอารามก่อฟ้าที่เล่าลือกัน ก็ได้เปิดโอกาสส่งชั้นบรรยากาศหนทางสู่เข้าสู่การฝึกยุทธสู่ขั้นลมปราณฟ้าออกมา

 

ในการเข้าสู่ชั้นลมปราณฟ้านั้นเป็นเหมือนดั่งการก้าวเข้าสู่การเป็นวีรบุรุษของรัฐต้าโจวเช่นกัน โอกาสเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเกิดอาการคล้อยตาม

 

จากนั้นหมอกบางก็ค่อยๆคลายออก ในช่วงเวลาที่พบว่าบริเวณที่มีหมอกหนาอยู่ พลันปรากฏศาลามากมายนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาหนาแน่น สิ่งเหล่านี้มีหลายส่วนที่ปรากฏเหมือนอย่างที่บนแผ่นศิลาโบราณได้บ่งบอกไว้เมื่อวันก่อน อีกทั้งในเวลาที่ปรากฏออกมา ก็พบว่าผู้คนทั้งหมดต่างก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

 

สิ่งนี้ได้ค่อยๆเปิดทีละชั้นที บ่งบอกว่าอารามก่อฟ้าได้เปิดออกมาแล้ว

 

“ อารามก่อฟ้า ในที่สุดก็เปิดแล้วหรือ ? “ เยี่ยจงมองไปยังบริเวณทางเข้าสู่อารามก่อฟ้า นัยน์ตาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นทอประกายหนักแน่นขึ้นมา อารามก่อฟ้าแห่งนี้คงจะมิได้ง่ายดายดั่งที่เขาคิดเอาไว้ซะแล้ว

 

“ เหอะ อารามก่อฟ้าอันใดกัน ? “ เสียงมาจากอีกด้านหนึ่ง เหร่ยโหย่วซวีค่อยๆโบกมือ สายตาทอประกายคมกล้า เท่าที่เขาทราบเกี่ยวกับอารามก่อฟ้ามา ดังนั้น นัยน์ตาจึงปรากฏอาการแตกตื่นอยู่เล็กน้อย

 

“ อารามก่อฟ้า หนทางเข้าสู่พลังลมปราณชั้นฟ้า “ ซ่งเซ้าเฉิงหันกายก้าวไปทางด้านหน้า ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความลี้ลับอยู่ชั้นหนึ่ง

 

หมอกหนาที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา ยังคงดำเนินแหวกออกเป็นสองสาย ค่อยๆเห็นตัวหุบเขาชัดเจนขึ้นมา หมอกหนาเหล่านี้ให้ความรู้สึกว่ามิได้จางหายไป อีกทั้งในเวลาหลังจากนั้น ก็ยังคงแปรเปลี่ยนไปมาอย่างลึกซึ้งอยู่

 

“ ยังขาดอะไรอีกละ ยังขาดของสิ่งใดที่ใช้เปิดทางเข้าสู่อารามก่อฟ้ากัน “ ผู้คนภายในกลุ่ม อยู่ๆก็มีคนเอ่ยปากกล่าวออกมา

 

ในเวลาต่อมา ผู้คนทั้งหมดในที่นี้ก็ก็ส่งสายตาราวกับอุทาน “ ชิร์ “ ออกมาเพื่อให้ซ่งเซ้าเฉิงได้ยิน

 

ต่อให้เป็นบุคคลที่ฝีมือดีอย่างซ่งเซ้าเฉิง ในขณะที่มีสายตามากมายจ้องมาด้วยความอิจฉาตาร้อน ทั่วทั้งร่างก็ยังไม่วายที่จะต้องสั่นเทาคราหนึ่ง ทว่าในเวลาต่อมา เขาก็ร้องเชอะอย่างเยียบเย็น จากนั้นก็โบกมือ แผ่นศิลาโบราณก็ได้ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของเขา

 

 

เป็นที่ชัดเจนว่า ซ่งเซ้าเฉิงก็เข้าใจ การจ้องมองมาของบรรดาผู้คน นั้นก็เพราะหากเขาไม่มีความกล้าที่จะนำแผ่นศิลาชิ้นนั้นออกมาลองทดลองดูแล้วละก็ เกรงว่าคนเหล่านี้จะไม่เห็นแก่ฐานะของเขาอีกต่อไป อีกทั้งความโกธาของคนประเภทนี้ ต่อให้เป็นลูกหลานของห้าตระกูลใหญ่ หรือศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาว ก็มิอาจต้านทานไว้ได้

 

“ ต๊ง ต๊ง ต๊ง ——”

 

หลังจากที่นำแผ่นศิลาออกมา ก็มิเห็นว่าซ่งเซ้าเฉิงขยับเคลื่อนไหว เพียงแต่พบว่าใจกลางแผ่นศิลาในเวลานี้ได้ค่อยๆส่องสว่างออกมา จากนั้นก็สะท้อนไปยังบริเวณใจกลางของหุบเขา……

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset