เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 123 ค่ายกลยันต์วิญญาณระดับหนึ่ง ค่ายกลเล็กไร้สภาพ

ตอนที่ 123 ค่ายกลยันต์วิญญาณระดับหนึ่ง ค่ายกลเล็กไร้สภาพ

 

 

 

“ ศิษย์พี่หลิงเยวี่ย “

 

หลังจากเงียบงัน ซูหยี่และพวกก็ได้ตะโกนออกมาเป็นสาย ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ ด้วยส่วนมากไม่ต้องอธิบายใดๆทุกคนก็คงจะเข้ากันดี

 

ยิ่งไปกว่านั้นคือเฮ่อเฟิง ตอนนี้เขาได้กำลังกำหมัดเอาไว้ ท่ามกลางสายตาเต็มไปด้วยความคั้งแค้น เห็นได้ชัดว่าเขาได้เกลียดชังแทบจะกลืนกินยอดมือแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาเหล่านั้น

 

“ อย่าได้หลงลืมไป ข้ายังไงก็เป็นถึงผู้ฝึกยันต์ นอกเสียจากข้าแล้ว ก็ไม่อาจที่จะมีผู้ใดสามารถต้านทานพวกเขาได้แล้ว พวกเจ้าหากว่ายังต้องการที่จะเสียเวลาเหล่านี้ที่ข้าแย่งชิงมาให้แก่พวกเจ้าอีกต่อไปแล้วละก็ เช่นนั้นก็ทำต่อไปเถอะ “

 

หลิงเยวี่ยหันตัวกลับ เข้าไปนั่งอยู่บนหินอ่อนก้อนหนึ่ง จากนั้นก็พบว่านางเริ่มที่จะเคลื่อนไหวทั้งสองมือแล้ว ยันต์วิญญาณได้ออกมาจากแขนเสื้อของนางเป็นสาย ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางท้องทะเลทราย

 

เมื่อเหม่อมองไปยังที่นั่งนั้น ตัวค่ายกลก็ได้ล้อมรอบไปทั่วร่าง ซูหยี่และพวกต่างก็เริ่มที่จะกัดฟันไปมาเรื่อยๆ

 

“ ไปเถอะ อย่าได้ทำให้ความหวังดีของศิษย์พี่หลิงเยวี่ยต้องเสียเปล่า “

 

ประกายตาของเยี่ยจงที่มองเข้าไปยังเงาร่างนั้น แต่ว่าราวกับมองออกสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายนี้ เขาก็มิได้กล่าวอันใดมากมายต่อไป เพียงแต่หันตัวกลับจากไปในทันที และบริเวณทางด้านหลังนั้นเอง สายตาของซูหยี่และพวกก็เปลี่ยนเป็นราวกับอยู่ในความฝันวูบหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วก็แต่เพียงกัดฟันไปมาแล้วติดตามเงาร่างของเยี่ยจงไป เป็นดั่งที่หลิงเยวี่ยกล่าวมา แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจที่จะเสียเวลาอันมีค่าที่หลิงเยวี่ยแย่งชิงให้มาได้

 

“ เยี่ยจง อย่าได้ให้จารึกเสวี่ยหยวนตกไปอยู่ในน้ำมือของรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาเป็นอันขาด …… “

 

ราวกับสัมผัสได้ว่าผู้คนทั้งกลุ่มได้จากไปอย่างรวดเร็วแล้ว หลิงเยวี่ยก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงคราหนึ่ง เผยให้เห็นนัยน์ตาอันสุขใดออกมา ปรากฏความเด็ดเดี่ยวขึ้นมาสายหนึ่ง และจากนั้นก็ได้ยินเสียงใสสั่น ค่อยๆดังออกมา

 

……

 

ทรายที่เต็มไปทั่วท้องฟ้า ทั่วทั้งฟ้าดินได้มีเสียงดังขึ้นมา ราวกับจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทั่วดินแดนของทั้งผืนทะเลทรายก็มิปาน

 

หลิงเยวี่ยนั่งอย่างเงียบงันอยู่บริเวณบนหินอ่อน ไม่ทราบว่าเวลาได้ผ่านเลยไปเนินนานเท่าไหร่แล้ว บริเวณส่วนล่างที่เป็นช่วงเอวของนาง ในช่วงเวลาที่มีสายลมพัดผ่านเบาบาง คล้ายกับกำลังเต้นรำ โอบพัดกลิ่นหอมออกมา

 

หญิงสาวจดจ้องไปยังบริเวณถ้ำที่ว่างเปล่าในตอนนี้ จากนั้นนางก็ได้จ้องมองไปบริเวณทางด้านหลัง แต่ก็มิได้มีอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมากนัก ทันใดนั้นเอง ร่างกายของนางก็ได้สั่นเทาคราหนึ่ง ภายในดวงตาก็เต็มไปด้วยวี่แววการเสาะหา นั้นก็เพราะว่า ในที่แห่งนั้น ได้มีเสียงที่ดังขึ้นถูกพัดมาตามลมอยู่สายหนึ่ง และนอกจากเสียงนี้แล้ว ก็ยังมีบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า พัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“ เหอะเหอะ ศิษย์แห่งลัทธิแห่งดวงดาว นับได้ว่าคนหนึ่งเก่งกว่าอีกคน เยี่ยจงทางก่อนหน้าถึงกับหาญกล้าใช่น้องชายข้ามาเป็นตัวประกัน กล้าที่จะมาข่มเหงรังแกคนของรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาข้า และตอนนี้ กลับปล่อยให้เด็กผู้หญิงเช่นเจ้าเอาไว้ในที่แห่งนี้งั้นหรือ ? “

 

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยั่นอยู่หลายส่วน ได้ออกมาจากท่ามกลางทะเลทรายอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นก็พบว่า ทันทีที่ทะเลทรายได้ถูกแหวกออกไปในทันที เงาร่างที่สวมชุดฝึกยุทธ์สีแดงสายหนึ่งก็ได้ค่อยๆก้าวเดินออกมา

 

เงาร่างสายนี้เมื่อเทียบกับเหล่ากองทัพปีศาจโลหิตก่อนหน้าให้บรรยากาศที่แตกต่างกันโดยทั้งสิ้น คนชุดโลหิตถึงแม้ว่าจะปกปิดใบหน้าเอาไว้ แต่ว่าทันใดนั้นเอง ก็ให้ความรู้สึกที่น่าตกใจแผ่ออกมาจากร่างของเขา

 

“ เสวี่ยเสวียน ? “

 

หลิงเยวี่ยขยับนัยน์ตาไปมาจนเล็กหรี่ลง จากนั้นนางก็ได้ค่อยๆเอ่ยนามนี้ออกมา จนกระทั่ง รัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาจะมียอดฝีมืมือมากมาย แต่ว่าชื่อที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะมีแต่เขาผู้นี้เท่านั้น

 

“ เจ้าคงจะเป็นนางเซียนหลิงเยวี่ยแห่งลัทธิแห่งดวงดาวกระมั่ง ? เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนางเซียนมาก่อนแล้ว วันนี้ถึงกลับสามารถได้ยลโฉม ข้าเสวี่ยเสวี่ยนนับได้ว่ามีความสุขอย่างเปี่ยมล้นมากแล้ว “

 

เมื่อได้ยินหลิงเยวี่ยเอ่ยออกมา เสวี่ยเสวี่ยนผู้นี้ก็ได้เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าอันขาดซีดแต่ก็มีเค้าโครงของผู้กล้าอยู่หลายส่วน เพียงแต่ว่า ภายใต้ความเป็นผู้กล้าของเขา กลับปกคลุมเต็มไปด้วยพลังแห่งหยิน(ความเย็น)อยู่เต็มไปหมด ราวกับว่าเขานั้นมิได้เป็นดั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ บนร่างได้มีไอพลังแห่งความตายอยู่หลายส่วนก็มิปาน

 

เสวี่ยเสวียน อ๋องใหญ่แห้งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา สามารถกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในคนรุ่นหลังแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา ที่เป็นเหมือนดั่งอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เพียงแต่ว่าเกรงว่าหลิงเยวี่ยเองก็คงคิดไม่ถึง ว่าบุคคลเช่นนี้จะถึงกับออกมาลงมือด้วยตัวเอง อีกทั้งยังปรากฏตัวในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดอีกด้วย

 

“ ตอนนี้ เห็นแก่หน้าของนางเซียนเช่นท่าน ข้าสามารถที่จะไม่ลงมือ ขอเพียงท่านส่งมอบแผ่นจารึกเสวี่ยหยวนออกมาแล้วละก็ เช่นนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ข้าจะไม่สอดมือเข้ามายุ่งอีก การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ นับได้ว่ามีเหตุผลอยู่ใช่หรือไม่ ? “ เสวี่ยเสวียนจ้องมองไปที่หลิงเยวี่ย ยิ้มเสียงเบาออกมาแล้วกล่าว

 

“ ช่างน้าเสียดาย จารึกเสวี่ยหยวนก็มิได้อยู่ในมือข้าเช่นกัน “ หลิงเยวียยิ้มด้วยรอยยิ้มอันสวยงามแล้วตอบ

 

“ เหอะเหอะ งั้นหรือ ? เช่นนั้นข้าก็นับได้น่าผิดหวังยิ่งนัก “ เสวี่ยเสวียนหัวเราะเสียงดังกังวาน ภายในรอยยิ้มก็ได้แผ่ความบรรยากาศเยียกเย็นออกมา

 

“ ท่านอ๋องใหญ่ กล่าวกันว่านางเซียนหลิงเยวี่ยแห่งลัทธิแห่งดวงดาวมีความงามล้มเมืองเลย หรือไม่ก็แย่งชิงกลับไปจะดีกว่า “ ยอดฝีมือแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาที่อยู่ทางด้านข้างคนหนึ่งก็ได้ยิ้มออกมาอย่างประหลาดกะทันหัน อีกทั้งสายตาที่มองมายังสายประกายความบ้าบิ่นออกมาอยู่หลายส่วน เห็นได้ชัดว่า หลิงเยวี่ยเพียงแค่คนเดียว จะมิอาจที่จะแม้แต่อยู่ในสายตาของพวกเขา

 

“ ตอนนี้ใช่เวลาที่จะมากล่าววาจาไร้สาระงั้นหรือ ? “ เสวี่ยเสวียนกวาดสายตาออกไปทางด้านหลังอย่างดุดัน ทำให้เหล่ายอดฝีมือที่หัวเราะกันอย่างบ้าคลั่งแต่ละคนต้องหยุดลงในทันที “ ถ้าหากจารึกเสวี่ยหยวนจะมิได้อยู่บนตัวนางแล้วละก็ ก็อย่าได้เสียเวลาต่อไป เสวี่ยสือ เจ้ารับมือในการจัดการกับนาง คนอื่นที่เหลือติดตามข้าไล่ตามต่อไป

 

“ ขอรับ “ หลังจากที่เงียบงีน ยอดฝีมือของรัฐเสวียหยวนหวังเฉาก็ได้พลิกมืออย่างรวดเร็ว

 

จากนั้น ทันทีที่เสียงที่ได้ยินสิ้นสุดลง หลิงเยวี่ยก็หัวเราะเสียงแผ่วเบาออกมาคำหนึ่ง รอยยิ้มนั้นเห็นได้อย่าชัดเจน แต่ว่าภายใต้ใบหน้าก็ได้ทอแววสีหน้าเย้ยหยั่นออกมาสายหนึ่ง

 

“ เสวี่ยเสวียน ท่านก็ช่างมองดูพวกตนได้สูงส่งเสียเหลือเกิน ต้องการที่จะผ่านข้าไปแล้วละก็ ก็คงจะต้องผ่านค่ายกลยันต์วิญญาณของข้าก่อนค่อยว่ากัน ……… “

 

รอยยิ้มที่เผยออกมานั้น สายตาของหลิงเยวี่ยก็ได้เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นขึ้นมา และในเวลาเดียวกัน การเคลื่อนไหวอันเปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งก็ได้แผ่พุ่งออกมาจากกำลังภายในของนางออกมา ระดับพลังเช่นนี้ เทียบเท่าได้กับพลังฝึกปรือขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดเลยทีเดียว หากว่ายอดฝีมือแห่งลัทธิแห่งดวงดาวยังอยู่ในที่แห่งนี้แล้วละก็ แน่นอนว่าต้องตื่นตกใจจนกระโดดออกมาทีหนึ่ง นั้นก็เพราะว่าจะมีใครคาดคิดได้ว่า หลิงเยวี่ยถึงกับมีพลังลมปราณที่ลึกล้ำมากมายถึงเพียงนี้ นางมิได้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยันต์ อีกทั้ง ยังมีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ดอีกด้วย

 

เกี่ยวกับความสามารถที่แท้จริงของผู้ฝึกยันต์ แบ่งออกมาเป็นสามแบบเก้าระดับ ขั้นที่ต่ำที่สุด เรียกว่าผู้ฝึกยันต์ระดับหนึ่ง เพียงแค่ผู้ฝึกยันต์ที่อยู่ในระดับที่หนึ่ง เขาก็มีความสามารถที่เทียบได้กับยอดฝีมือขั้นในระดับก่อฟ้าเลยทีเดียว อีกทั้ง พลังฝีมือของผู้ฝึกยันต์ ใช่ว่าจะใช้การฝึกปรือในการพัฒนาได้ แต่เป็นการดูว่าผู้ใช้ยันต์นั้นสามารถที่จะควบคุมยันต์วิญญาณได้ในระดับใดมากกว่า และตำแหน่งการจัดตั้งค่ายกลยันต์วิญญาณก็ร่วมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

 

นั้นก็เพราะว่ากำลังภายในของหลิงเยวี่ยนั้นมิได้มีความสัมพันธ์กัน นางมิอาจที่จะสร้างยันต์ได้ด้วยตนเองก็ตามที แต่ว่าในมือของนางก็มียันต์ระดับหนึ่งอยู่ไม่น้อย อีกทั้ง ความเป็นอัจฉริยะด้านนี้ ตอนนี้ก็ได้เริ่มที่จะจัดวางค่ายกลยันต์ระดับหนึ่งอย่างแท้จริงแล้ว

 

พลังการต่อสู้เช่นนี้ ที่เรียกได้ว่ามีพลังที่ได้เข้าใกล้ความเป็นยอดฝีมือขั้นก่อฟ้าแล้ว กล่าวได้ว่า นับตั้งแต่ปลดปล่อยพลังของค่ายกลยันต์วิญญาณ พลังเหล่านั้นก็พุ่งขึ้นสูงเทียบเท่าได้กับยอดฝีมือขี้นก่อฟ้าไปแล้ว เกรงว่าอาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ

 

นั้นก็เป็นในข้อนี้ ในช่วงเวลาขณะที่หลิงเยวี่ยสิ้นเสียงลง ใบหน้าที่ความจริงเต็มไปด้วยความเย็นชาของเสวี่ยเสวียน ก็ได้ปกคลุมไปด้วยอาการตื่นตะลึงสายหนึ่ง เพราะว่าในตอนนี้ เขาสามารถสัมผัสได้ ทั่วทั้งบริเวณสี่ทิศแปดด้าน ก็ได้ถูกพลังอันแปลกประหลาดปกคลุมไปทั่วแล้ว

 

“ ลงมือ เจ้าเด็กหญิงผู้นี้เป็นผู้ใช้ยันต์ “

 

ทันใดนั้นเอง เสวี่ยเสวียนก็ได้มีการตอบสนองกลับมา ภายในจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่สบายใจ เขาก็ได้ร้องเฮ้อออกมาคำหนึ่ง

 

“ ซวบซวบซวบ “

 

ทันทีที่เสียงร้องเฮ้อได้จบลง เหล่ายอดฝีมือมากมายของรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาแต่ละคนก็ได้พุ่งตัวออกไปราวกับคันศร พลังภายในกายก็ได้หล่อหลอมรวมกันขึ้นมา รังสีการฆ่าฟันแผ่พุ่งออกมาเป็นสาย เห็นได้ชัดว่าคิดที่จะฆ่าสังหารหลิงเยวี่ยในที่แห่งนี้เลย

 

“ ค่ายกลยันต์วิญญาณระดับหนึ่ง ค่ายกลเล็กไร้สภาพ “

 

หลิงเยวี่ยเงยหน้าขึ้นจ้องมอง สีหน้าของนางสงบนิ่งจับจ้องไปยังเสวี่ยเสวียนและพวกที่ปะทุกันเข้ามา และจากนั้นก็พลิกทั้งสองมือคราหนึ่ง วินาทีนั้นเอง ทั่วทั้งท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเสียงของพายุทรายราวกับได้เงียบสงบลงไปก็มิปานในทันที หลังจากนั้นก็เกิดความเคลื่อนไหวแผ่ปกคลุมออกไปมาทั่วบริเวณ ท้ายที่สุดก็เกิดการรวมตัวกันขึ้น ราวกับเป็นลาดลายสายหนึ่ง พุ่งออกไปป้องกันยังสี่ทิศแปดด้าน

 

“ ฮูม “

 

ความแปลกประหลาด ในเวลาเดียวกันกับที่มีการเคลื่อนไหว ทำให้เงาร่างของยอดฝีมือทุกผู้คนสั่นคลอนไปมา จากนั้นใบหน้าอันแปลกประหลาดก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่นี้พวกเขาก็ตรวจสอบพบความแปลกประหลาดนี้ได้ในทันที แล้วต่างก็ได้ใช้ทักษะยุทธ์โจมตีออกไป แต่ก็ราวกับถูกย้อนตีกลับมาก็มิปาน

 

“ ค่ายกลเล็กไร้สภาพ ? “

 

เสวี่ยเสวียนสาดสายตาประกาย แล้วก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่นขึ้นมา เขาจ้องเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตายกับสาวน้อยที่นั่งอยู่ด้านบนแท่นหินอ่อนนี้ กล่าวเสียงทุ่มต่ำดังขึ้น “ เจ้าถึงกับสามารถใช้ค่ายกลยันต์ระดับหนึ่งได้เชียวหรือ ถึงกับสามารถใช้ค่ายกลเล็กไร้สภาพที่ล้ำลือกันว่ามีความแปลกพิศดานออกมาได้ ? ทั้งที่เจ้ายังไม่ได้แม้แต่จะเป็นผู้ฝึกยันต์ได้แม้แต่ระดับที่หนึ่งอีกด้วย ? ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าไม่เกรงกลัวว่าค่ายกลจะไหลเวียนย้อนกลับหรอกหรือ ? “

 

หลิงเยวี่ยเงยหน้าขึ้น ท่ามกลางนัยน์ตาของนางได้ปรากฏความสิ้นหวังสายหนึ่งออกมา ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาแล้วกล่าว “ คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเสวี่ยเสวียนแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา ถึงกลับมีความรอบรู้ด้านมนต์ยันต์อีกด้วย ช่างเป็นยอดอัฉจริยะแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาอย่างไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน “

 

“ เสียวยาโถว (หนูน้อย) อย่าได้มาเล่นยึกยักกับข้ามากนัก ค่ายกลเล็กไร้สภาพนับได้ว่าร้ายกาจ แต่ว่าค่ายกลก็ใช่ว่าจะใหญ่โต ทุกวินาทีก็จะย้อนกลับไปหาเจ้า ข้าก็อยากจะดูเหมือนกัน ว่าจะพึ่งพาค่ายกลเล็กไร้สภาพนี้ได้นานแค่ไหน ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้าไว้นานเท่านั้น “ เสวี่ยเสวียนหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา จากนั้นก็ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ร่างกายก็ได้พุ่งหายออกไปเป็นคนแรก

 

“ ลงมือร่วมกัน ข้าก็อย่างที่จะดูว่า นางจะสามารถต้านทานได้ซักกี่ครั้งกัน “

 

หลิงเยวี่ยเหม่อมองไปยังเสวียเสวียนที่เป็นคนที่เริ่มการเคลื่อนไหว และในระหว่างที่เขาลงมือ ยอดฝีมือคนอื่นแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาก็ได้พุ่งทะลวงออกไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของนางเคร่งเครียดขึ้นมาหลายส่วน จากนั้นก็พบสัญลักษณ์บนมือของหน้าเปลี่ยนแปลงไปมา หลังจากนั้นทั้งสองมือก็ได้ค่อยๆผสานรวมกันจนกลายเป็นตราสัญลักษณ์ประหลาดชนิดหนึ่ง

 

“ ค่ายกลเล็กไร้สภาพ ไร้สัญลักษณ์ “

 

เสียงที่ขัดแย้งกันขึ้นดังออกมา จากนั้นก็พบว่าสภาพพื้นดินภายในทะเลทรายก็เกิดความเคลื่อนไหวมากมายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุด ได้ประกอบกันเป็นเสาทรายเจ็ดก้านออกมา อีกทั้งก้อนทรายเหล่านี้ยังประจวบพอดีกับเหล่ายอดฝีมือที่เสวี่ยเสวียนพามาออกมาเป็นฉากๆ

 

ก้อนทรายประหลาดเหล่านี้ส่ายโยกไปมา หลังจากนั้น ก็ได้เปลี่ยนเป็นเงาร่างที่ถูกทำด้วยทรายเป็นสาย และเงาร่างเหล่านี้ ได้มีความใกล้เคียงกับเหล่ายอดฝีมือเหล่านี้เหมือนกันทั้งหมด ในระหว่างนั้นท่ามกลางทะเลทรายเหล่านี้ ก็ได้เปลี่ยนเป็นยอดฝีมือที่อยู่ทางด้านหน้าราวกระจก อีกทั้งยังคัดลอกออกมาได้เหมือนกันออกมาก็มิปาน

 

“ ค่ายกลเล็กไร้สภาพ ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก “

 

เมื่อได้เหม่อมองดูเงาร่างที่เหมือนคล้ายกับตนเองอย่างกับแกะแต่ทว่าทำจากทรายเหล่านี้ นัยน์ตาของเสวี่ยเสวียนก็ได้เคร่งเครียดขึ้นมา พลังฝีมือเช่นนี้ ไม่แน่ว่าผู้ฝึกยันต์ระดับที่หนึ่งก็ใช่ว่าจะสามารถตั้งค่ายกลยันต์ที่มีความพลิกแพลงถึงขั้นนี้ได้

 

ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาเสวี่ยเสวียนก็ขยับไปมา จวบจนไปถึงยังบริเวณใจกลาง ในตอนนี้เอง บนร่างของสาวน้อยก็ได้สั่นเทาคราหนึ่ง ในระหว่างนี้ได้มีความรู้สึกโดดเดียวที่ยากจะบรรยายออกมาได้ก็มิปาน เห็นได้ชัด ทันทีที่ใช้กระบวนท่านี้ ร่างกายของนางก็ยากที่จะต้านทานไว้ได้

 

เมื่อพบเห็นฉากเบื้องหน้า เสวี่ยเสวียนก็เลิกริมฝีปากออกมาด้วยรอยยิ้ม

.

.

.

.

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset