เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 139 เข้าสู่ดินแดนเหยี่ยนจิง

ตอนที่ 139 เข้าสู่ดินแดนเหยี่ยนจิง

 

 

“ เหอะเหอะเหอะ …… นายท่าน นายท่านกล่าวล้อเล่นไปแล้ว พวกเรามีหรือที่จะกล้าลงมือต่อท่าน หากมิใช่ว่าเมื่อครู่เกรงกลัวความเคลื่อนไหวของพลังที่พุ่งลอยขึ้นมามีอันตรายแล้วละก็ พวกเราแน่นอนว่าคงมิบังอาจมารบกวนท่านแน่นอน “ เหลียนตงกลื่นน้ำลายคำแล้วคำเล่า เอ่ยปากกล่าวแล้วทั้งยิ้มแห้งๆอย่างรวดเร็ว

 

“ ทำไมข้ารู้สึกว่า วิธีการพูดเมื่อครู่ของเจ้าและวิธีการพูดตอนนี้ช่างแตกต่างเราคนละคนกันเลย ? “ เยี่ยจงเขย่าร่างกายเหลียนตงไปมา แล้วเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วนออกมา

 

“ เหอะเหอะ …… นายท่านท่านน่าจะมองผิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เป็นข้าเองที่มีตาหามีแววไม่ เป็นค่ะเองที่ไร้เดียงสาจนเกินไป “ เหลียนตงเผยรอยยิ้มประจบ แต่ว่าภายใต้สายตากลับทอประกายความอาฆาตแค้นออกมาสายหนึ่ง อีกทั้งภายใต้สถานะภาพของเขา ในตอนที่ได้รับความอดสูเช่นนี้ ดังนั้น ถึงแม้สีหน้าจะแสดงความหวาดเกรง แต่ว่าภายในจิตใจกลับเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นอย่างถึงที่สุด

 

“ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง ยังไงเสียก็ต้องจ่ายค่าชดชดออกมา …….. “

 

เมื่อได้มองดูภายในดวงตาที่สาดประกายความอาฆาตของเหลียนตง เยี่ยจงก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา ทันใดนั้นมือบีบไปที่มือขวา คว้าจับไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย แล้วก็ค่อยๆบีบลง

 

“ อึก อ็อก “

 

เสียงร้องดังอันแปลกประหลาดดังออกมา ยังไม่ทันที่เหลียนตงผู้นั้นจะทันได้ร้องออกมา ทั่วทั้งศีรษะก็ได้แสดงท่าทางบิดตัวอย่างประหลาดชนิดหนึ่งถอยออกไปบริเวณทางด้านหลังอย่างวุ่นวาย ในช่วงเวลาที่ผ่านไปไม่กี่วินาที ยอดฝีมือขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดผู้นี้ หลังจากที่ได้เห็นภาพอันวุ่นวายแล้ว ในขณะที่ได้บิดร่างกายไปมาแล้ว ก็ราวกับได้สูญเสียเป้าหมายในการมีชีวิตอีกต่อไป

 

“ ชู่ว “

 

เมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยสายตา ชายหนุ่มเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ได้ใช้วิธีการอันง่ายดายอย่างการบีบจนเหลียนตงตายลง ยอดฝีมือที่เหลืออีกทั้งสองคนในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตัดสินใจถอยหลังไปครึ่งก้าว จากนั้นก็สูดลมหายใจด้วยความตื่นตกใจ สาดประกายแววตาอย่างไม่หยุดยั้งขึ้นมา พลังฝีมือในการสังหารผู้คนของเยี่ยจงผู้นี้ ถึงกับสามารถหยุดยั้งพวกเขาเอาไว้ได้

 

“ นาย ……. นายท่าน …….. ความจริงแล้วข้า ความจริงแล้ว ……. “ ยอดฝีมือพลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดนั้น เอ่ยปากกล่าวตะกุกตะกักออกมา ในตอนนี้พลังฝีมือเยี่ยงเขาก็ยังมิอาจที่จะมีความกล้าที่จะลงมือ ได้แต่เพียงเอ่ยปากขอร้องขึ้นมาอยู่หลายคำ

 

“ เมื่อครู่ข้ามิใช่ให้โอกาสแก่พวกเจ้าแล้วหรือไง แต่ว่าพวกเจ้าถึงกับยังอาจหาญกล้าลงมือต่อศิษย์ลัทธิแห่งดวงดาว พวกเจ้าก็สมควรทราบว่า หลังจากที่ล้มเหลวแล้วจะมีผลอันใดตามมา พวกเจ้าควรจะยินดีนะ ตอนนี้ข้าอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับเหล่าตระกูลหรือขุมกำลังใดที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้า “ เยี่ยจงตอบกล่าวเสียงดังกังวาน ทันทีที่เขาเงยหน้ามองไปยังทั้งสองคนคราหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมากะทันหัน “ ช่างเถอะ ข้าจะให้โอกาสอีกครั้งแก่พวกเราละกัน ……. “

 

หลังจากที่เงียบงัน ร่างกายของทั้งสองคนก็ได้แน่นิ่งลง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มยินดีสายหนึ่ง

 

“ เอาเช่นนี้ ให้โดดลงไปด้วยตนเอง เป็นตายร้ายดีแล้วแต่ดวง ดีหรือเปล่า ? “

 

เยี่ยจงชี้นิ้วออกไปอย่างไม่ใส่ใจไปยังยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อเกิดระดับที่หกราวกับให้กระโดดออกไปจากทางหน้าต่าง แล้วก็เอ่ยปากกล่าวพร้อมกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม เกี่ยวกับเด็กน้อยเหล่านี้ แน่นอนว่าเขานั้นไม่มีความเห็นใจเลยแม้แต่น้อย หากว่าตนเองไม่สามารถที่จะจัดการพวกเขาแล้วละก็ เกรงว่าตนเองในตอนนี้ก็คงจะถูกพวกเขาฆ่าไปตั้งแต่แรกแล้ว แม้แต่ร่องรอยใดๆก็จะไม่หลงเหลือ

 

ดังนั้น เมื่อต้องต่อกรกับเด็กน้อยเหล่านี้ เยี่ยจงก็ไม่มีแม้แต่ความเกรงใจแม้แต่น้อย

 

หลังจากที่ได้ยินถึงการให้โอกาสของเยี่ยจง ร่างกายของทั้งสองก็ได้นิ่งขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทั่วทั้งสรรพร่างก็ได้สั่นเทาขึ้นมาอย่างหยุดเอาไว้ไม่อยู่

 

ในตอนนี้ บริเวณทางด้านล่างของราชสีห์เศียรอินทรีนี้ ต่างก็เป็นหุบเขาที่ไม่เห็นแม้แต่เหว อีกทั้งความสูงในตอนนี้ก็ไม่น้อยไปกว่าพันเมตรขึ้นไป กับพลังฝีมือเช่นพวกเขา ถ้าหากตกจากความสูงขนาดนี้ลงไปแล้วละก็ ต่อให้ไม่ตาย เกรงว่าก็คงต้องได้รับบาดเจ็บหนัก อีกทั้งภายใต้อาการบาดเจ็บเช่นนั้น การที่จะสามารถเอาตัวรอด คงจะ …….

 

“ ดู ข้ามิใช่ให้โอกาสแก่พวกเจ้าอีกครั้งแล้วงั้นหรือ ? หรืออยากจะบอกว่า พวกเจ้าต้องการที่จะให้ข้าลงมือด้วยตัวเองงั้นหรือ ? “ เยี่ยจงจ้องมองไปด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มมองไปยังอีกฝ่าย ฝ่ามือได้ค่อยๆคว้าออกไป ทันใดนั้น ไอพลังรังสีสังหารก็ได้ถูกแผ่ออกมาจากบริเวณใจกลางฝ่ามือ

 

หลังจากที่ได้เห็นฉากเบื้องหน้า ยอดฝีมือทั้งสองคนหลังจากที่ได้สบตากัน สุดท้ายก็ทราบได้ ทางรอดเดียวที่หลงเหลือขงอพวกเขาก็คือกระโดดลงไปเท่านั้น

 

ช่วงเวลาที่ภายไปไม่นานหลังจากนั้น ยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดผู้นั้นก็หันหน้ากลับมาจ้องเขม็งไปที่เยี่ยจงอย่างเอาเป็นเอาตาย จากนั้นก็ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันไปมากระโดดลงไป และยอดฝีมือที่มีพลังฝีมือขั้นก่อเกิดระดับที่หกผู้นั้นกลับไม่มีแม้แต่ความกล้า

 

“ เปรี้ยง “

 

เยี่ยจงไม่ต้องการที่จะเสียเวลาไปกับเขาอีกต่อไป เดินเข้าไปใช้ออกด้วยเท้าอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ได้แหว่งออกไป

 

แต่ว่าช่วงเวลาทันใดนั้นเอง ด้านบนของราชสีห์เศียรอินทรีนี้ความจริงได้มียอดฝีมือทั้งหมดสี่คน กลับต้องสูญหายไปด้วยประการเช่นนี้ หลงเหลือไว้แต่เพียงเยี่ยจงเพียงคนเดียวที่อยู่ด้านบน

 

หลังจากที่เดินกลับไปยังห้องนอนของตนเองก็ได้นั่งสมาธิลง เยี่ยจงก็พลิกมือคราหนึ่ง นำม้วนคัมภีร์ทักษะยุทธ์สีแดงเพลิงม้วนนั้นออกมาแล้วก็เปิดค่อยๆเปิดออก

 

ยังต้องใช้เวลาในการเดินทางอีกสองวัน อีกทั้งในช่วงเวลาระหว่างนี้คงน่าเบื่อหน่าย การฝึกปรือทักษะยุทธ์คงเป็นทางเลือกที่ไม่เลว

 

“ หมัดเตาทองคำมายา (จินติ่งฮวาหมอเชวียน) ทักษะยุทธ์โจมตีขั้นวิญญาณระดับสูง “

 

ในตอนที่ได้พลิกมือเปิดทักษะยุทธ์นี้แล้ว เยี่ยจงก็ต้องตกตะลึงในระดับขั้นของอยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าเยี่ยจงในมือจะมีทักษะยุทธ์ขั้นเซียนที่แท้จริงอยู่ส่วนหนึ่งก็ตาม แต่ว่าถึงแม้ในตอนนี้เขาจะต้องเดินสายเส้นทางยุทธ์เส้นนี้ เช่นนั้นทักษะยุทธ์ขั้นเซียนก็ยังไม่ถึงเวลาที่จำเป็นต้องใช้

 

แต่ว่า หมัดเตาทองคำมายาที่เป็นทักษะยุทธ์โจมตีขั้นวิญญาณระดับสูงนี้ ยังคงมีข้อดีอยู่ ถึงแม้ว่าต่อให้เยี่ยจงทราบดีอยู่แล้ว ว่าพลังฝีมือของตนเองในตอนนี้เป็นเช่นไร และตอนนี้เมื่อได้ทักษะยุทธ์ระดับสูงเพิ่มมาอีกชิ้นหนึ่งไว้ปกป้องแล้วละก็ ก็ถือว่าได้ทำให้ตนเองมีความปลอดภัยมากขึ้นอีกหลายส่วน

 

เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เยี่ยจงหลังจากที่ได้วิเคราะห์ทักษะยุทธ์นี้อย่างระมัดระวังแล้ว เขาจึงได้ค่อยๆนั่งสมาธิลง ใช้ทั้งสองมือค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ต่างๆขึ้นมา

 

จากพลังในการมองและประสบการณ์ของเยี่ยจง การฝึกปรือทักษะยุทธ์เช่นนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในสภาพจิตมากมายนัก เขายังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ จะดียิ่งกว่านี้ถ้าหากสามารถทำความคุ้นเคยกับทักษะยุทธ์ชุดนี้ได้ ………

 

……

 

วันเวลาเพียงสามวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ช่วงเวลที่เยี่ยจงได้ตื่นขึ้นจากการฝึกปรือ พื้นที่ทางด้านหลังเป็นกลุ่มเขาให้เห็นอยู่ไกลตา ในระยะสายตาทางด้านหน้า ก็ได้เห็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

 

ตึกรามบ้านช่องที่ถูกปลูกสร้างจนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่โตเช่นนี้ ราวกับเป็นดั่งหัวของสัตว์ประหลาดก็มิปาน มีบรรยากาศชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ บริเวณนี้ ถึงแม้จะมิได้ใหญ่โตเช่นเมืองหมื่นดาราก็ตาม แต่เหล่าขุมกำลังอำนาจภายในเมืองแห่งนี้ ก็นับได้ว่ามากกว่าเมืองหมื่นดาราจนน่าตกใจ

 

ควรทราบว่า เมืองหมื่นดารานั้นเป็นพื้นที่ของลัทธิแห่งดวงดาว อีกทั้งที่แห่งนั้นยังขึ้นตรงต่อลัทธิแห่งดวงดาวด้วย จึงทำให้เกิดความแย่งชิงกันน้อย

 

แต่ว่าเมืองเยียจิงขนาดใหญ่โตแห่งนี้นั้นไม่เหมือนกัน ภายในเมืองเยียจิงมีทั้งคนดีคนเลวปนกัน การรวมตัวของขุมกำลังน้อยใหญ่ อีกทั้งยังมีขุมกำลังที่ไม่แสดงตัวตนส่วนหนึ่งของเมืองเยียจิง กล่าวโดยทั่วไปเมืองเยียจิงนับว่ามีจำนวนคนอยู่มากมากมหาศาล

 

หลากหลายจำพวก ทำให้เมืองเยียจิงนี้เป็นจุดรวมของความวุ่นวายอย่างถึงที่สุด

 

แต่ว่าก็ได้ทำให้คนของวังหลวงยิ่งใหญ่ได้เช่นทุกวันนี้ และอำนาจของวังหลวง ก็ยังเพียงพอที่จะกดดันเหล่าขุมกำลังน้อยใหญ่ภายในเมืองเยียจิงได้ ดังนั้น ขุมกำลังเหล่านี้ถึงแม้จะมีข้อพิพาทส่วนหนึ่งอยู่ก็ตาม แต่ว่าก็ไม่กล้าที่จะกระทำจนเกินเลยไปภายในเมืองเยียจิง

 

ช่วงเวลาตอนที่ราชสีห์เศียรอินทรีมาถึงบริเวณลานกว้างขนาดใหญ่นอกเมืองเยียจิง เยี่ยจงก็เป็นคนแรกในเวลานั้นที่ลงมาจากราชสีห์เศียรอินทรี แล้วก็หายตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังด้านนอกของประตูเมืองเยียจิง

 

การกลับมายังเมืองเยียจิงในครั้งนี้ ระยะเวลาที่ต้องไปเอวยพรฮ่องใหญ่นั้นยังมีเวลาอีกยี่สิบวัน จากในช่วงเวลาเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะให้ตนเองไปสะสางเรื่องราวมากมายได้แล้ว

 

ในขณะที่ได้เดินผ่านเข้าสู่บริเวณทางเข้าของประตูเมืองที่มีผู้คนส่งเสียงโวยวาย เยี่ยจงก็มิได้ทำเช่นเดียวกันกับผู้อื่นที่คอยส่งเสียงโวยวายที่ประตูใหญ่ แล้วตนเองก็ได้เดินทางเข้าสู่ประตูเล็กที่อยู่ทางด้านข้างเข้าไปด้วยตัวคนเดียว ในตอนที่เหล่าทหารรักษาการณ์กำลังจะเอ่ยปากขึ้นมา เขาก็ได้นำป้ายสะสมวิญญาณขึ้นมาให้ดู

 

ทหารรักษาการณ์เบิ่งตาค้างในเวลาเดียวกัน ป้ายคาดเอวของลัทธิแห่งดวงดาวพวกเขาย่อมรู้สึกแน่นอน และภายใต้ขอบเขตของรัฐต้าโจวหวังเฉา มีเพียงลัทธิแห่งดวงดาวเท่านั้นที่ทางวังหลวงไม่กล้าที่จะท้าทายด้วย และในตอนนี้ พวกเขาก็มิกล้าที่จะเสียมารยาทแม้เพียงเล็กน้อย และก็ได้คำนับส่งเยี่ยจงจากไปด้วยสายตา

 

หลังจากที่ได้เข้าสู่เมืองเยียจิง หลังจากที่เยี่ยจงได้สำรวจอยู่หลายรอบแล้ว ก็ปรากฏว่าเมืองใหญ่แห่งนี้ในความเห็นของตนเอง แม้มิใช่ความรู้สึกที่เหมือนกับแปลกตา หรือว่าเป็นเพราะความทรงจำที่เคยประสบพบพาน บริเวณนี้หากกล่าวโดยเยี่ยจงแล้ว ราวกับเคยมาก่อนหน้าก็มิปาน

 

หลังจากนั้นที่ได้เดินภายในเมืองเยียจิงเช่นนี้แล้ว เยี่ยจงก็ได้หนีจากเขตที่มีเสียงของความวุ่นวายไป และก็ได้เข้ามาจนถึงชั้นในของเมืองเยียจิง

 

ชั้นในของเมืองเยียจิง เป็นที่อยู่ของศิษย์พรรคที่เป็นขุมกำลังขนาดใหญ่ หรืออาจจะเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับทางราชวงศ์ต้าโจวจึงถือได้มีคุณสมบัติที่เพียงพอ ตามปกติจะเงียบสงบอย่างถึงที่สุด

 

แต่ว่า ท่ามกลางภายในเมืองในตอนนี้ เป็นเพราะเหตุผลที่เป็นวันครบรอบของอ๋องใหญ่ จึงได้มีการรวมตัวกันของยอดฝีมือมากมายภายในรัฐต้าโจวหวังเฉา ร่างกายของเยี่ยจงเมื่อได้เข้าไปท่ามกลางกลุ่มยอดฝีมือเหล่านี้ โดยส่วนใหญ่แล้วก็มิได้เป็นที่ดึงดูดความสนใจเท่าไรนัก

 

“ เหว่ย —- นั้นมิใช่เด็กน้อยตระกูลเยี่ยหรอกหรือ ? ช่วงนี้เด็กน้อยเหล่านี้ได้เก็บเนื้อเก็บตัว เหตุใดถึงได้ออกมาด้วยตัวเองเล่า “

 

เยี่ยจงค่อยๆก้าวเดินออกมา ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งสี่ทิศก็ได้มีเสียงวิพากษ์วิจาร ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย และจากนั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะกวาดสายตามองไปรอบหนึ่ง

 

ความจริงแล้วเขาเตรียมตัวที่จะหาเวลาไปสะสางหนี้แค้นกับตระกูลเยี่ย แต่ว่ากลับคิดไม่ถึงว่า ในที่แห่งนี้ยังสามารถพบเจอคนของตระกูลเยี่ยได้อีก

 

หลังจากที่ได้กวาดสายตาไปแล้ว เยี่ยจงก็ได้พบกับเด็กสาวผู้หนึ่งสวมชุดกระโปรงสีเขียวคลุมอยู่ทั่วร่างกายอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี นำพาผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งมาเดินตลาดอีกทางด้านหนึ่ง

 

ในช่วงเวลาที่ได้กวาดตามองไปที่ร่างของหญิงสาวนางนี้ ก็ได้ปรากฏความรู้สึกที่คุ้นเคยออกมาจากภายในจิตใจ

 

หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยจงสายตาของเยี่ยจงก็ได้เปลี่ยนเป็นสงสัยขึ้นมาอยู่หลายส่วน

 

เด็กสาวนางนี้ เขาถึงกับรู้จักด้วยงั้นหรือ ?

 

เพราะว่า หญิงสาวนางนี้มิใช่คนอื่นใด ที่แท้ก็เป็นน้องสาวร่วมบิดาต่างมารดาของเขา เยี่ยถง

 

ภายในความทรงจำของเยี่ยจง ตนเองและน้องสาวเยี่ยถงแม้จะมิได้ไปมาหาสู่กันมากนัก เพียงแต่ว่า ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร นางก็ยังเป็นน้องสาวของตนเอง ต่อให้ตนเองไม่อยากที่จะยอมรับ แต่สายเลือดนั้นย่อมข้นกว่าน้ำ ทำให้ทั้งสองคนมิอาจที่จะไม่ยอมรับได้

 

ดังนั้น เพียงแต่ว่าหลังจากที่ได้เกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที เยี่ยจงก็ได้ขยับกายคราหนึ่ง เดินตามเยี่ยจงและคณะไปอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากที่ได้เดินตามเส้นทางที่ถูกทิ้งไว้ เยี่ยถงและคณะก็ได้มาจนถึงบ้านหลังหนึ่งที่มีความแตกต่างจากรอบบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว เหล่าผู้คุ้มกันของเยี่ยถงก็ได้ยื่นมือออกไปเคาะที่ประตูบานใหญ่ของบ้านหลังนั้น ประตูใหญ่ของบ้านหลังนั้นก็ได้ถูกเปิดออกมาอย่างไร้สุ่มเสียง จากนั้น เยี่ยถงและพวกก็ได้เข้าไปยังบริเวณที่เป็นทางเข้าอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อพบเห็นฉากแลดูลึกลับเช่นนี้แล้ว หลังจากที่เยี่ยจงได้ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็ได้ใช้ฝ่ามือกดไปยังบนผนังคราหนึ่ง หลังจากหลบรอดจากสายตาของผู้คุ้มกันแล้ว ร่างกายของเขาก็ได้ไปถึงยังใจกลางของลานแห่งหนึ่ง จากนั้นเยี่ยจงก็ได้ทิ้งระยะห่างจากเยี่ยถง ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังห้องหลังหนึ่งที่อยู่ภายในบ้านหลังนี้เข้าไป

.

.

.

.

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset