เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 157 พระบรมมหาราชวัง

ตอนที่ 157 พระบรมมหาราชวัง

 

“ เจ้า …….. เจ้า …….. เจ้า …….. เจ้าถึงกลับกล้าสังหารท่านขุนน้อยผิงติ่ง เจ้า เจ้า เจ้าตายแน่ “

 

เมื่อได้จ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้าอย่างอ้าปากตาค้าง หลังจากนั้น ท่ามกลางรถม้าสีเงิน ก็ได้มีเด็กหนุ่มร่ำร้องเอ่ยปากกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก

 

“ งั้นหรือ ? “ เยี่ยจงถอนหายใจ “ เช่นนั้นจากที่ข้าดูแล้ว ข้าคงจะต้องจัดการกับพวกเจ้าด้วยแล้วละ จึงจะไม่มีผู้ใดที่ทราบได้ว่าเจ้าขยะเช่นนี้ได้ตายด้วยน้ำมือของข้า ใช่หรือไม่ ? “

 

หลังจากที่สิ้นเสียง เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆก้าวเดินเข้าไปยังรถม้า เมื่อพบเห็นเขาเดินเข้ามาทีละก้าว เด็กหนุ่มบนรถม้าหลายคนก็ได้ร่ำร้องขึ้นมา ถึงแม้ว่าตามปกติพวกเขาจะเถรไถลอย่างไร้ที่เปรียบ แต่ว่าก็มิได้โง่เขลา ทราบว่าในวันนี้ตนเองได้เหยียบลงบนแผ่นเหล็กร้อนแผ่นหนึ่งแล้ว อีกทั้งยังเป็นชนิดที่เรื่องได้ว่ามีความแข็งแรงอย่างมาก

 

“ นายท่าน เป็นข้าน้อยที่มีตาหามีแววไม่มีเขาไทซานอยู่ตรงหน้ากลับไม่รู้จัก ยกโทษในความผิดให้ด้วย “

 

ในช่วงเวลาที่ได้ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เด็กหนุ่มหลายคนที่เหลืออยู่บนรถก็ค่อยได้มีการตอบสนองกลับมา หลังจากที่พวกเขาได้อ้อนวอนออกมาแล้ว ก็ได้กระโดดลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ได้คุกเข่าลงเบื้องหน้าเยี่ยจง ยื่นมือออกมาตบไปที่ใบหน้าของตนเอง

 

ดังตบดังเพียะเพียะดังขึ้นมาก้องใบหู ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็ได้ตบจนใบหน้าของตนเองบวมจนคลายกับหัวหมู

 

“ พอแล้ว พอแล้ว ดูเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ ก็น่าสงสารแล้ว “ เยี่ยจงเดินเข้าไปด้วยความปวดใจ เตะเข้าไปคนละทีจนพวกเขาลอยออกไป จนทำให้กระอักโลหิตออกมา

 

” พวกเจ้าเหตุใดต้องกระทำต่อตนเองเช่นนี้ ? ให้ข้าฆ่าพวกเจ้าแต่โดยดีก็ดีอยู่แล้ว ช่วงชีวิตในภายหลังของพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีภาพหลังเช่นในวันนี้แล้วมิใช่หรือ ? “ เยี่ยจงมองไปทางพวกเขาแล้วก็ยิ้มออกมา “ แต่ว่าข้าก็ยังเป็นคนที่ถือในคำพูด บอกว่าให้โอกาสแก่พวกเจ้า ก็จะให้โอกาสแก่พวกเจ้าสักครั้งแล้วกัน “

 

กล่าวจบ เขาก็ได้โดดขึ้นไปยังรถม้าเงินของเหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายนี้ ใช้ฝ่าเท้าถีบออกไปคราหนึ่ง รถม้าก็ได้ค่อยๆมุ่งไปทางด้านหน้า

 

มีเด็กหนุ่มหลายคนที่ได้ถูกเตะจะลอยไปในตอนนี้ก็ได้คุกคลานขึ้นมาจากบนพื้นดิน พวกเขาเหม่อมองไปยังเงาร่างของเยี่ยจงที่ได้ขี่ม้าจากไป ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวราวกับพบเจอกับผีสางก็มิปาน ผู้อื่นไม่แม้แต่จะมองดูกลุ่มคนพวกเขาเหล่านี้อยู่ในสายตาเลย แต่ว่าพวกเขาก็ได้แต่เพียงมองไปยังผู้อื่นที่กรอกตาไปมา ยังไงเสียความผิดที่ก่อขึ้นก็มาจากตนเอง มิอาจที่จะโทษผู้อื่นได้

 

เมื่อได้เหม่อมองไปยังศพไร้หัวบนพื้น พวกเขาก็ถึงกับเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะสามารถให้ทางตระกูลออกหน้าให้ เพื่อศักดิ์ศรีนี้ แต่ว่า พวกเขาในตอนนี้ก็ยังไม่แม้แต่จะทราบได้ว่าตนเองได้ลบหลู่ผู้ใดกันแน่

 

และทั่วทั้งบริเวณสี่ทิศแปดด้าน ตอนนี้ได้มีสายตาอันแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนกวาดตามองเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้ทำให้เหล่าคุณชายเหล่านี้ใบหน้าราวกับมีเพลิงผลาญก็มิปาน คิดที่จะทุบตีผู้คนกลับถูกตบหน้ากลับมา เรื่องในครั้งนี้เกรงว่าคงได้กลายเป็นเรื่องขำขันที่ใหญ่โตที่สุดของงานเลี้ยงขององค์ชายใหญ่แล้ว หลังจากที่ครุ่นคิด คุณชายหลายคนนี้ก็มิได้ทนอยู่ในที่แห่งนี้นานมากนัก แต่ละคนเพียงแต่ชักสีหน้า แล้วก็มุ่งหน้าไปทางด้านวังชั้นนอกไปอย่างรวดเร็ว

 

……

 

เยี่ยจงที่ได้นั่งรถม้าเงินไปถึงยังงานเลี้ยง ด้านความเร็วนับได้ว่าเร็วขึ้นอยู่หลายส่วน แล้วก็ได้ลากรถม้าจนผ่านสนามประลองของม้า ถึงแม้รถม้าเงินจะมีขนาดใหญ่ แต่ว่าภายใต้การดึงรั้งของม้าพ่วงพีทั้งหมดแปดตัว ระดับความเร็วจึงถึงได้ว่ารวดเร็วอย่างยิ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้พบกับประตูใหญ่ของวังชั้นนอกปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตาของเยี่ยจง

 

ในตอนนี้ ได้มีรถม้าไม่น้อยได้หยุดลง เด็กหนุ่มหลายคนมากมายได้ลงมาทีละสองสามคน จากนั้นก็ได้ชักบัตรเชิญออกมาแล้วมุ่งหน้าไปทางด้านประตูใหญ่ของวังชั้นนอก บริเวณทางด้านประตูใหญ่ แน่นอนว่าเวรยามก็มีหน้าที่ตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าที่จะมีเรื่องแม้แต่น้อย

 

“ เหว่ย ? นี้มิใช่เด็กหนุ่มเมื่อครู่ที่เดินอยู่ตามทางหรอกหรือ ? เหตุใดเขาถึงได้มาถึงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ? “

 

มีผู้คนไม่น้อยได้สังเกตเห็นเยี่ยจง เมื่อพบว่าเขาได้ลงมาจากรถม้าสีเงินคันหนึ่งเข้ามา ต่างก็มองไปด้วยสายตาที่สาดประกาย

” อีกทั้ง รถม้าคันนั้นมิใช่มาจากบ้านขุนนางสี่ทัพงั้นหรือ ? เหตุใดถึงได้ตกมาอยู่ในมือของเขากัน ? “

 

คนเหล่านี้ต่างก็คาดเดาไปทั่ว แต่ว่าความเคลื่อนไหวนี้ก็มีความหาญกล้าจนเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำ ถึงแม้จะทำเช่นนี้แล้วละก็ ก็เป็นเหมือนดั่งตั้งตัวเป็นศัตรูกับเหล่าขุนนางหากไม่ตายก็เหลือซาก ควรทราบว่าขุนนางนั้นเห็นแก่หน้าตาเป็นอย่างที่สุด

 

“ พวกเราก็สามารถดูๆได้ เด็กน้อยผู้นี้จะเข้าสู่วังชั้นนอกเช่นไรกัน “

 

“ ไม่มีบัตรเชิญ ก็มิอาจที่จะผ่านด่านของเวรยามเหล่านี้เข้าไปได้ “

 

มีผู้คนไม่น้อยที่พลิกบัตรสีเงินในมือของตนเองออกมา แล้วก็นำออกมาอย่างระวัง บัตรเชิญสีเงินนั้นหมายถึงการบ่งบอกสถานะอย่างหนึ่ง มีเพียงแค่เหล่าขุมกำลังใหญ่และลูกหลานของขุนนางที่แข็งแกร่งจึงจะสามารถได้รับบัตรเชิญสีเงินได้ เหล่าขุมกำลังที่มายังบริเวณนี้ โดยส่วนมากก็ครอบครองแค่บัตรปกติธรรมดาเท่านั้น

 

ในตอนนี้ ผู้คนเหล่านี้ต่างก็คาดเดาวุ่นวายว่า ในมือของเยี่ยจงไม่มีแม้กระทั่งบัตรเชิญธรรมดา

 

กับผู้คนที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ เยี่ยจงก็คร้านที่จะมองแม้แต่น้อย เขาก้าวยาวๆไปยังบริเวณทางเข้า เหมือนกับคิดที่จะเข้าไปโดยตรง

 

” ขอประทานอภัย แขกท่านนี้ ที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของวังชั้นนอก ไม่มีบัตรเชิญแล้วละก็ เกรงว่าจะให้ท่านเข้าไปมิได้ “ เวรยามของพระราชวังถือได้ว่ามีการสอนสั่งมีดีอยู่หลายส่วน จากนั้นเวรยามหลายคนก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา กลับขวางทางอยู่บริเวณทางด้านหน้าของเยี่ยจง แล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา

 

” บัตรเชิญ ? เป็นของสิ่งนี้งั้นหรือ ? แต่ว่าทำไมถึงดูไม่เหมือนกับของผู้อื่นกันเล่า ? “ เยี่ยจงหยิบบัตรเชิญทองคำใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ด้วยใบหน้าที่ดุดัน

 

“ ข้าน้อยสมควรตาย “ เมื่อพบเห็นเยี่ยจงนำเอาบัตรเชิญออกมา เวรยามเหล่านี้ก็ได้ร่ำร้องออกมาในเวลาเดียวกัน คุกเข่าลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็มีคนโบกมือคราหนึ่ง วินาทีนั้นก็พบกับเวรยามที่ขวางทางอยู่หลีกทางให้อย่างรวดเร็ว พวกเขาได้ปูพรมสีแดงเอาไว้บนพื้นเป็นทาง จากนั้นก็คารวะเชิญเยี่ยจงเดินเข้าไป

 

เยี่ยจงหยักไหล่ไปมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็เดินเข้าไปตามทาง

 

แต่ว่าเหล่าเด็กน้อยที่อยู่บริเวณทางด้านหลังเหล่านี้ความจริงได้เตรียมที่จะขำขันกัน แต่ละคนก็ได้แต่อ้าปากตาค้าง พูดไม่ออกมาแม้เพียงครึ่งคำ

 

“ ข้ามิได้ดูผิดไปใช่ไหม ? นั้นเป็นถึงบัตรเชิญทองอีกด้วยนะ กล่าวกันว่างานเลี้ยงในครั้งนี้ องค์ชายใหญ่ได้เตรียมบัตรเชิญทองคำเอาไว้ทั้งหมดแปดใบเท่านั้น ผู้คนโดยส่วนมากต่างก็คาดเดากันไป ว่าที่แท้จะมีบุคคลเช่นไรถึงจะสามารถไดรับบัตรเชิญทองคำทั้งแปดใบนี้ คิดไม่ถึงว่ากับอยู่ในมือเด็กหนุ่มผู้นี้หนึ่งใบ “

 

“ เจอเสือซ่อนเล็บเข้าแล้ว เด็กน้อยผู้นี้ก็ชั่งน่าหวาดกลัวเสียจริง ในมือครอบครองด้วยบัตรเชิญทองคำ ยังถึงกับเดินเท้ามา ดูเหมือนว่าข้าจะคาดเดาได้ไม่ผิดแล้ว เขาได้ชิงบัตรเชิญมาจากรถศึกคันนั้น

 

“ แต่ว่าคนผู้นี้ที่แท้มีสถานะมาจากตระกูลขุมกำลังใดกัน ? หากกล่าวถึงพวกเรารัฐต้าโจวหวังเฉา ต่อให้เป็นทั้งสามรัฐใหญ่ก็ยังมิเคยได้ยินว่ามีบุคคลเช่นนี้อยู่ “

 

“ ทว่าบุคคลผู้นี้กลับดูราวกับคล้ายกับที่อยู่ที่ชุมนุมการค้าหวูจี้เมื่อวันก่อน และได้ลงมือกับองค์ชายสามด้วย วันก่อนองค์ชายใหญ่ยังได้เชิญชวนด้วยตนเอง หรือว่าเขาอาจจะเป็นคนผู้นั้นกัน ? “

 

” หากว่าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ เกรงว่าองค์ชายใหญ่คงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกคราละมั่ง ? “

 

หลังจากที่วิจารอยู่หลายคำ คนเหล่านี้ก็ได้เกิดความเกรงกลัวต่อเยี่ยจง กระทั่งองค์ชายสามเมื่อวันก่อนที่เกิดที่ชุมนุมการค้าเพื่อแย่งสิ่งของกับผู้อื่น ต่างก็เล่าลือกันตั้งแต่แรกแล้ว หากว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าสายตาเป็นคนเดียวกับเมื่อวันก่อนแล้วละก็ ก็ไม่แปลกที่จะได้รับบัตรเชิญทองคำหนึ่งในแปดใบขององค์ชายใหญ่

 

……

 

วังชั้นนอกของราชวังนั้นมีขนาดใหญ่ ราวกับมองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่มีขนาดเท่ากับป่าเขาผืนหนึ่ง บริเวณวังชั้นนอกถูกจัดแต่งเต็มไปด้วยป่าหินและแอ่งน้ำ และเมื่อได้รวมกับบรรยากาศอันงดงามจากทั่วทั้งสี่ด้าน

 

เท้าของเยี่ยจงได้เหยียบไปตามทางพรมแดง ที่ใช้เพียงเพื่อให้รองเท้าของเขาไม่เกิดสิ่งสกปรก เป็นการต้อนรับที่มักจะพบเห็นได้จากเหล่าองค์ชายใหญ่ที่ให้แก่เหล่าผู้ที่ถือบัตรเชิญทองคำนี้

 

หลังจากที่ได้เดินไปทางของพรมแดงแล้ว เยี่ยจงก็ได้มาถึงยังบริเวณส่วนลึกวังชั้นนอก

 

บริเวณทางด้านหน้า เป็นคูน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้น ทางด้านหลังของคูน้ำ ก็ได้มีภูเขาสูงลูกหนึ่ง บริเวณส่วนกลางของภูเขาใหญ่นั้นเอง ก็สามารถที่จะพบได้กับบ้านขนาดใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ในตอนนี้เต็มไปด้วยหมอกควัน เห็นได้ชัดว่าสภาพของงานเลี้ยงยังคงอยู่ในการเตรียมการ ยังมิได้เริ่มแต่อย่างไร

 

และทางด้านหน้าของคูน้ำก็เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ในตอนนี้กลับถูกจัดวางไว้ด้วยโต๊ะหินเก้าอี้หินอยู่ไม่น้อย เหล่าลูกผู้มั่งมีต่างก็สามารถพบปะกันได้ในที่แห่งนี้ เพื่อสนทนาและเปลี่ยนสิ่งต่างๆ

 

เยี่ยจงกวาดสายตาจ้องมองไปยังบุคคลเหล่านี้คราหนึ่ง อายุของพวกเขาเหล่านี้มีที่ประมาณสิบห้าสิบหกปีไปจนถึงยี่สิบกว่าปีเป็นต้น แต่ว่าโดยส่วนมากแล้วร่างกายต่างก็อบอวนไปด้วยกลิ่นอายการฝึกยุทธ์ เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อยก็มีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่ห้าแล้ว แน่นอนว่า หากว่าไม่มีพลังฝีมือเช่นนี้เป็นอย่างน้อยแล้วละก็ เกรงว่าจะไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะสามารถย่างกายเข้ามายังวังชั้นนอกได้

 

และนอกเสียจากเหล่ายอดฝีมือปกติธรรมดาแล้ว ก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของพลังอันน่าตระหนกของใครบางคนได้ เพียงแค่มองดูก็ทราบแล้วว่ามีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด อีกทั้งยังมีบางคนที่มีพลังฝีมือจนถึงขั้นก่อฟ้าในการเข้าสู่แบบธรรมดา

 

กล่าวได้ว่า ภายในรัฐต้าโจวหวังเฉา รวมทั้งภายในท่ามกลางสามรัฐใหญ่ ต่างก็เป็นเหล่าผู้มีพรสวรรค์ของขุมกำลังต่างๆที่มาเพื่ออวยพรวันครบรอบราชวง ต่างก็รวมตัวกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้

 

ตามปกติแล้วต่างก็มาจากคนละตระกูลกัน เป็นเหล่าผู้เยาว์ที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอมจากขุมกำลังต่างๆ ในตอนนี้กลับสามารถรวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้

 

” เหว่ย ? นั้นมิใช่คนที่ท่านอ๋องในตอนนี้ชื่นชมที่สุดองค์หญิงหกงั้นหรือ ? กล่าวกันว่าเป็นผู้ที่มีปราณฟ้าอยู่แต่กำเนิด

 

” ต่างก็กล่าวกันว่าซูเหวินชิงเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองเยียจิง แต่ว่าเมื่อได้พบเห็นในวันนี้ องค์หญิงหกผู้นี้ก็ยังมิอาจที่จะเทียบได้กับซูเหวินชิงได้เลย “

 

” ไม่ทราบว่าในวันนี้ตระกูลซูจะส่งผู้คนมาหรือไม่ หากว่าซูเหวินชิงสาวงามอันดับหนึ่งก็มาด้วยแล้วละก็ สมควรที่จะเกิดความคึกครืนขึ้นอย่างแน่นอน “

 

” เมื่อกล่าวถึงซูเหวินชิง ราวกับสมควรที่จะกล่าวถึงคู่หมั่นตามคำล้ำลือของนางผู้นั้นด้วย เยี่ยจงแห่งตระกูลเยี่ย เหอะเหอะเหอะ …….. “

 

” ตระกูลเยี่ย ก็มิจำเป็นต้องกล่าวแล้ว พวกเจ้าทราบหรือไม่ ? วันนี้ราวกับมียอดฝีมือไปหาเรื่องตระกูลเยี่ยถึงบ้านด้วย เข่นฆ่าตระกูลเยี่ยจงโลหิตไหลดั่งธารธารา คืนวันนี้พวกเขาจะส่งผู้คนเข้าร่วมงานก็ยากที่จะกล่าวได้แล้ว “

 

” ดูเหมือนว่า หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองเยียจิงผู้นี้ ตอนนี้จะไม่มีเจ้าของแล้วละ ไม่ทราบว่าพวกเราเหล่านี้จะมีโอกาสหรือไม่ “

 

“ อืม อย่าได้ว่ากล่าววุ่นวายไปแล้ว ซูเหวินชิงเกลียดชังที่จะมีผู้คนมากล่าวเช่นนี้ที่สุด กล่าวกันว่าซูเหวินชิงในตอนนี้ หุหุหุ …….. “

 

เหล่าเด็กหนุ่มมากมายได้รวมตัวกันขึ้นมา เหม่อมองไปยังหญิงสาวที่สวมไว้ด้วยชุดกระโปรงสีแดงในที่ห่างไกล หญิงสาวมีอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี แต่ว่าใบหน้ากลับสวยงามละเอียดลออ แต่ว่าทางด้านหลังของนางก็มีชายหนุ่มผมสั้นหนึ่งติดตามอยู่ บนร่างของชายหนุ่มแผ่พุ่งพลังออกมา ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเข้าใกล้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า

 

บริเวณอีกทางด้านหนึ่ง ก็ได้หญิงสาวผู้นี้ที่มีคนงามไม่แพ้กัน แต่ว่าในตอนนี้กลับไม่มีชายหนุ่มมากมายมองไปทางด้านนั้น ก็เพราะว่าใบหน้าของหญิงสาวในตอนนี้ได้เต็มไปด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าหากแตะต้องเพียงเล็กน้อยในตอนนี้ก็อาจจะระเบิดได้

 

” เหร่ยทิงเหอแห่งตระกูลเหร่ยงั้นหรือ ? “ เมื่อได้มองไปที่หญิงสาว เยี่ยจงก็แอบยิ้มภายในใจ คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้ก็ได้มาเข้าร่วมกับงานเลี้ยงด้วย

 

และในบริเวณไม่ไกลจากเหร่ยทิงเหอ ในตอนนี้จ้านหวังน้อยโจวชือฉือก็กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ด้านข้างของเขาได้นั่งไว้ด้วยสาวน้อยที่งดงามราวดอกไม้ทั้งนาง กำลังพูดคุยหยอกล้อหัวเราะส่งเสียงคิกคัก และมีสาวน้อยไม่น้อยที่กำลังรายล้อมเขาราวกับพระอาทิตย์เปล่งแสงรอบๆตัวเขา ฟังเรื่องราวการทำสงครามของเขา

 

เยี่ยจงหัวเราะไร้เสียงคราหนึ่ง แต่ก็มิได้มุ่งหน้าออกทักทายให้เห็นแต่อย่างไร ทว่าทันใดนั้นต่อมา เขาก็เกิดงงงันขึ้นมาอย่างกะทันหัน จ้องมองไปยังเงาร่างอีกร่างที่อยู่ในบริเวณไม่ไกลมากนัก

.

.

.

.

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset