ตอนที่ 162 บุคคลใหญ่โตแห่งสำนักเสวียนหวิน
เสียงดังก้องที่ใบหูออกมาอย่างยาวนาน ชายเสื้อแพรที่คุกเข่าอยู่ก็ได้ถูกลูกขุนนางเหล่านี้ตบจนใบหูสว่างขึ้นมา เงยหน้ามองดูไปที่ใบหน้าของเยี่ยจงอย่างหวาดกลัว ราวกับพบเห็นจ้าวแห่งปีศาจที่เบื้องหน้าสายตา พวกเขานับได้ว่าเกรงกลัวอย่างแท้จริงแล้ว กล่าวได้ว่าก่อนหน้านี้ถึงพวกเขาจะมีความคิดแก้แค้น แต่ว่าพวกเขาในตอนนี้ก็คิดแต่เพียงแค่จะทำเช่นไรจึงจะหลบหนีจากเยี่ยจงเบื้องหน้านี้ได้
“ ไสหัวไป ครั้งหน้าถ้ายังมาปรากฏตัวเบื้องหน้าของข้าอีก ก็จะไม่อาจพูดดีๆเช่นนี้ได้อีกแล้ว “ เยี่ยจงกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ ดูเหมือนว่าที่เมื่อครู่เขาได้จัดการไปจะมิใช่กลุ่มอำนาจแห่งเมืองเยียจิง แต่เป็นเพียงน้องแมวน้องสุนัขกลุ่มหนึ่งก็มิปาน
หลังจากที่เงียบงัน ใบหน้าของเหล่าขุนนางน้อยต่างก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด นับได้ว่าเป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุดก็ว่าได้ แต่ว่าในช่วงเวลานี้พวกเขากลับไม่กล้าที่จะกล่าวอันใดออกมา เพียงแต่โค้งกายให้แก่เยี่ยจง ในตอนนี้ก็ได้พยุงชายเสื้อแพรผู้นั้นที่ถูกพวกเขาทุบตีจนมึนงงอยู่ ถอยจากไปอย่างรวดเร็ว
“ เจ้า เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ เจ้าที่แท้ทราบหรือไม่ว่า ขุนนางเสื้อแพรในเมืองเยียจิงนี้ ที่แท้มีกำลังพลมากเพียงใด ? “
เมื่อถึงในตอนนี้ เหร่ยทิงเหอค่อยมีการตอบสนองกลับมา นางตัดสินใจที่จะถอยหลังไปหนึ่งก้าว เงยหน้ามองไปทางด้านเยี่ยจงด้วยสายตาแปลกประหลาด เกรงว่าต่อให้เป็นถึงอ๋องของประเทศแห่งหนึ่ง ก็ยังไม่หาญกล้าที่จะลงมือต่อขุนนางเสื้อแพรที่เป็นเชื้อพระวงศ์เลย ? เยี่ยจงเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ ก็ช่างบ้าบิ่นเสียจริง
และเหล่าผู้สอดรู้สอดเห็นที่อยู่เมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ต่างก็ได้มีความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ทั้งนับถือและหวาดเกรงมองไปทางด้านของเยี่ยจงด้วยสายตาที่ซ้ำซ้อนในที่ห่างไกล สาวน้อยย่อมชื่นชอบวีรบุรุษผู้ห้าวหาญ การกระทำเช่นนี้ได้ทำให้พวกนางเหล่านี้ทอประกายนัยน์ตาอย่างเร่าร้อน เพียงแต่ว่าเขาได้เหยียบย้ำเชื้อพระวงศ์เสื้อแพร ที่มีสถานะพิเศษ ดังนั้นเหล่าเด็กสาวต่างก็มิกล้าพอที่จะขึ้นล้อมไว้ เกรงว่าจะก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น
“ ขุนนางเสื้อแพรกับอำนาจใหญ่ ก็สมควรที่ข้าจะถูกข่มเหงงั้นหรือ ? “ เยี่ยจงมองไปทางเหร่ยเหอทิงคราหนึ่ง สีหน้าสงบราบเรียบ ราวกับการที่มีเรื่องบาดหมางกับขุนนางเสื้อแพรนั้นมิใช่เรื่องสำคัญอันใด
การที่วันนี้ได้ให้ขุนนางเสื้อแพรคุกเข่าลงต่อหน้า นอกเสียจากอีกฝ่ายจะมาหาเรื่องถึงที่เองแล้ว อีกเรื่องก็คงจะเป็นเพราะ ในความทรงจำของเยี่ยจงน้อยนั้น ได้มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ส่วนหนึ่ง ทำให้การกระทำของเขามีความเลือดเย็นมากขึ้น จึงได้ลงมือได้อย่างรุนแรงเช่นนี้
เพียงแต่ว่าเรื่องราวก็ได้ทำลงไปแล้ว แต่ก็มิได้เสียใจในสิ่งที่ทำลงไปแต่อย่างไร อีกทั้งเยี่ยจงก็ไม่เชื่อว่า เพียงแค่ขุนนางชุดแพรจะกล้าที่จะมีข้อบาดหมางกับลัทธิแห่งดวงดาวด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับหรือไม่ ในตอนนี้ตนเองก็ได้เป็นถึงตัวแทนลัทธิแห่งดวงดาวมาส่งมอบคำอวยพรแก่ราชวงศ์ หากมีผู้ใดลงมือก่อน ไม่เพียงแต่จะมีปัญหากับลัทธิแห่งดวงดาว ทั้งยังต้องมีปัญหากับคนในราชวงศ์ต้าโจวอีกด้วย แน่นอนว่า ถ้าหากเป็น” การต่อยตีอันเล็กน้อย “ของเหล่าผู้เยาว์แล้ว เช่นนั้นก็ยังพอที่จะกล่าวได้ สิ่งนี้ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เยี่ยจงลงมืออย่างไม่เกรงกลัว
“ เหอะ —— “
“ ได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่แรก ลัทธิแห่งดวงดาวเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งสามรัฐใหญ่นี้ ศิษย์ที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาว ถึงกับเก่งกล้าไร้ที่เปรียบ ต่อให้ขุนนางเสื้อแพรทำอันใดเกินเลยไป ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือหนักเช่นนี้หรอกมั่ง ? “ มีเสียงนิรนามดังขึ้นออกมาอย่างกะทันหัน พร้อมทั้งยังมากับสายลม
ผู้คนทั่วทั้งบริเวณต่างก็ผวากันขึ้นมา ชายเสื้อแพรที่เมื่อครู่พึ่งถูกเยี่ยจงลงมือจนพ่ายแพ้ยับเยินไป ในตอนนี้กลับยังมีคนที่หาญกล้ามาหาเรื่องกับเขาอีกหรือ ?
“ เกี่ยวอันใดกับเจ้ากัน ? “ เยี่ยจงเงียบงัน เอ่ยปากเสียงเย็นชา กวาดออกไป
ประโยคนี้ของเยี่ยจง ทันใดนั้นก็ได้ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งสนามเปลี่ยนเป็นราวกับถูกกระบี่กรีดออกมา
เหร่ยทิงเหอขยี้ศีรษะไปมามองไปบริเวณทางด้านหน้าคราหนึ่ง จากนั้นก็ได้ขยับเข้าใกล้เยี่ยจงแล้วกล่าว “ คนผู้นี้เป็นถึงยอดฝีมือของสำนักเสวียนหวิน เจ้าระวังตัวเองไว้ด้วย “
ผู้คนทั้งหมดหันไปมองทางด้านที่มีเสียงพูดขึ้นมา ก็พบเห็นคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆก้าวเดินเข้ามา คนกลุ่มนี้ต่างก็เป็นบุคคลใหญ่โตแห่งเมืองเยียจิงโดยทั้งสิ้น จ้าวหวังน้อยโจวฉือชือ หกองค์ชาย ซูเหวินชิงเป็นต้นต่างก็ร่วมอยู่ด้วยกัน
ภายในกลุ่มที่ซูเหวินชิงที่เดินอยู่นั้นเอง ก็ได้มีชายหนุ่มผมสีเงินอยู่เต็มศีรษะผู้หนึ่ง ชายหนุ่มพกพารอยยิ้มมองไปทางด้านของเยี่ยจง เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้ก็เป็นเขาเองที่เอ่ยปากออกมา
“ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่ว่าจะอย่างไร คนที่เจ้าข่มแหงก็ยังเป็นคนของรัฐต้าโจวหวังเฉา พวกเจ้ารัฐต้าโจวหวังเฉากลับไม่มีผู้ใดออกหน้าให้เขา ข้ายังต้องไปยุ่งได้อย่างไรกัน ? ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าเจ้าเกะกะลูกตาก็เท่านั้นเอง “ ชายหนุ่มผมเงินยิ้มออกมาอย่างเย็นชา พร้อมด้วยความเยียบเย็น
ชายหนุ่มผู้นี้มีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ผมสีเงินไปทั้งศีรษะ ใบหน้าดูคล้ำเล็กน้อย แต่ว่าภายในดวงตากลับทอประกายคมกล้า เห็นได้ชัดว่ากล้าแข็งอยู่บ้าง
แล้วเขาก็ได้มองไปที่ใบหน้าของเยี่ยจงอย่างเยียบเย็นเช่นนี้ เหมือนกับเย้ยหยันชนิดหนึ่ง เหมือนดั่งผู้ที่อยู่เบื้องบนมองสามัญชน เห็นได้ชัดว่า เขามิได้เห็นเยี่ยจงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“ ข้าเกะกะลูกตางั้นหรือ ? “ เยี่ยจงทวนซ้ำ “ เจ้าพวกขยะโดยส่วนมากเมื่อเห็นคนที่ยอดเยี่ยมกว่า ดวงตาย่อมต้องลุกลนเป็นธรรมดา ข้าเข้าใจเจ้า จากนี้ออกจากบ้านน้อยหน่อย อย่าให้ตนเองต้องเป็นบ้าไป “
ชายหนุ่มผมเงินยิ้มอย่างเย็นชา แต่ว่าคำพูดเหล่านี้กลับมิได้ทำให้เยี่ยจงโกรธแต่อย่างไร เขาเพียงแต่ตอบกลับอย่างเย็นเยียบ “ มีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง คิดว่าตนเองร้ายกาจที่สุดในเยาว์เดียวกัน ยากที่จะหาคู่ต่อสู้ คนที่ไม่คุ้นเคยแม้กระทั่งกับสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ เขาก็ไม่ต่างจากตัวโง่งมเท่านั้น “
“ ยากนักที่จะพบเจอคนที่ไม่รู้จักประมาณตนเองเช่นนี้ ข้าขอนับถือ “ เยี่ยจงกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มจ้องมองไปไปยังชายหนุ่มผมเงินแห่งสำนักเสวียนหวิน เอ่ยปากยิ้มออกมาเล็กน้อย เพียงแต่ว่าถึงแม้ใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่ว่าคำพูดที่กล่าวออกมาราวกับเข็มที่ทิ่มแทงเข้ามาก็มิปาน จนผู้คนเจ็บแสบจนต้องกรอกตาไปมา
บุคคลเช่นโจวฉีซือ เหร่ยทิงเหอเป็นต้นต่างก็มองไปทางด้านเยี่ยจงอย่างไร้คำพูด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทราบอยู่แล้วว่าเยี่ยจงมาจากลัทธิแห่งดวงดาว แต่ว่า เยี่ยจงผู้นี้กับเยี่ยจงก่อนหน้าที่เป็นเหมือนดั่งเรื่องล้อเล่นสนุกสนานนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงนับตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวในวังชั้นนอกจนถึงตอนนี้ ก็ได้ถูกหาเรื่องไปแล้วไมน้อย และชายหนุ่มผู้นี้ที่มาจากสำนักเสวียนหวิน ต่อให้เป็นจ้านหวังน้อย หกองค์ชายเป็นต้นก็ยังต้องระมัดระวังตัวเลย แต่ว่าบุคคลเช่นนี้ เยี่ยจงกลับยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยงั้นหรือ ?
สีหน้าของชายหนุ่มแห่งสำนักเสวียนหวินเปลี่ยนไปคราหนึ่ง เด็กหนุ่มเบื้องหน้าสายตาถึงกับไม่เห็นแก่หน้าของเขา กับสถานะของเขา จะมีผู้ใดกันที่หาญกล้าพูดคุยกับเขาเช่นนี้กัน ?
“ เด็กน้อย เจ้าทราบหรือไม่ว่ากำลังพูดคุยอยู่กับใครกัน ? “ เขาจ้องไปที่เยี่ยจงอย่างโกรธแค้น ร้องเชอะอย่างเย็นชา
“ เรื่องล้อเล่น สุนัขข้างทางกลับเห่าข้าอยู่หลายครา ข้าอยากทราบจริงๆว่าสมควรเรียกเขาว่าเสียวฮวา(เจ้าดอกไม้)หรือว่าหวังฉาย(หมาน้อย)กัน ? “ เยี่ยจงแสดงสีหน้ารังเกียจ
ก่อนหน้านี้เขามีความสามารถเทียบฟ้า เด็กหนุ่มผมเงินเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ไม่ว่าจะมีพลังมือหรือว่าสถานะใด เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ของเยี่ยจงก็เหมือนดั่งมดแมลงก็มิปาน ดังนั้น กับพลังอำนาจของเขาที่มีต่อเยี่ยจงในตอนนี้ ก็แทบจะไม่ส่งผลใดๆเลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่องค์ชายสาม นางเซียนชิงหญิงเป็นต้นต่างก็มีอาจทำอะไรที่ทำให้เยี่ยจงรู้สึกอันใดได้ ชายหนุ่มผมเงินผู้นี้ ก็ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน
“ เจ้าหาที่ตายซะแล้ว “ ชายหนุ่มผมเงินร้องเฮอะคำหนึ่ง เขาถอยออกไปหนึ่งก้าว สีหน้าเย็นเยียบ บนใบหน้าปรากฏความฆ่าฟัน
เมื่อพบว่าเขาเป็นเช่นนี้แล้ว เยี่ยจงก็ได้ยิ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมา “ องค์ชายใหญ่ วังชั้นนอกของท่านนี้ถึงกับปล่อยให้สุนัขที่เลี้ยงไว้วิ่งเพ่นพ่านได้อย่างไรกัน เมื่อพบเจอคนก็คิดจะทำร้าย ราชวังของพวกท่านก็ไม่คิดสนใจหรืออย่างไร ? “
ในตอนที่เยี่ยจงส่งเสียงดังกังวานไร้ที่เปรียบนี้ ทันใดนั้นที่บริเวณด้านข้างของพื้นที่ว่างเปล่าของห้องโถงในวังชั้นนอก
เหล่ายอดฝีมือที่ยืนอยู่ด้านข้างของเยี่ยจงทั้งหมดก็ได้คุกเข่าลงทีละคน จนทำให้บางคนเกือบที่จะล้มลงไปกับพื้น
เยี่ยจงพรุ่งนี้ก็ช่างไม่พูดถึงเหตุผลเลย เมื่อครู่ที่ได้พบกับองค์ชายสาม เขายังถึงกับยังกล้าลงมือด้วยตนเอง แต่ว่าเด็กหนุ่มผมเงินเบื้องหน้าผู้นี้ก็ได้ค่อยๆก้าวเดินเข้ามา
แน่นอนว่า ในตอนนี้ต้องไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขาจะรู้สึกเกรงกลัวชายหนุ่มผมเงินผู้นี้ นั้นก็เพราะว่าทุกผู้คนต่างก็มองออกว่า การกระทำของเยี่ยจงเมื่อเผชิญหน้าเป็นเหมือนดั่งการข่มอีกแบบหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเหมือนดั่งกำลังดูถูกอีกด้วย
“ เยี่ยจง มีเขาไทซานอยู่เบื้องหน้ากลับมองไม่เห็น คนผู้นี้เป็นคนใหญ่โตแห่งสำนักเสวียนหวิน ไม่รีบขอขมาแล้วละก็ ข้าเกรงว่าเจ้าจะออกจากวังชั้นนอกมิได้
ท่ามกลางคนกลุ่มนี้ มีศิษย์ของตระกูลซูอยู่หลายคนก้าวออกมา หนึ่งในนั้นได้กล่าวกับเยี่ยจงด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ เหว่ย นั้นมิใช่ศิษย์พี่ซูเสวียนหรอกหรือ ? “เยี่ยจงกวาดตามองเข้าไป ใบหน้าปรากฏความเย็นเยียบขึ้น “ ดูเหมือนข้ายังเก็บกวาดเจ้าที่อารามก่อฟ้ายังไม่พอใจสินะ เจ้าหมาเจ้าแมวในวันนี้เลยจะแยกเขี้ยวใส่ เจ้าถึงกับหาญกล้าถึงขนาดนี้เลยงั้นหรือ ? “
เมื่อได้ถูกเยี่ยจงกวาดสายตาเข้ามา กลุ่มศิษย์ของตระกูลซูต่างก็ตัดสินใจถอยหลังไปคนละครึ่งก้าว แต่เมื่อคิดได้ว่าพวกตนในตอนนี้ยังมีคนที่คอยหนุนหลังอยู่ ต่อมาก็ได้ร้องเฮอะคำหนึ่ง ก้าวขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
“ ขายพี่สาวน้องสาวในตระกูล เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุน ถึงได้กล้าปรากฏตัวเบื้องหน้าของข้าเชียว ตระกูลซูของเจ้าก็ช่างเป็นตระกูลขยะเสียจริง ยังขยะเสียกว่าตระกูเยี่ยอีก “ เยี่ยจงถอนลมหายใจออกมาคำหนึ่ง ก็พบว่าเขาได้โบกมือออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ก็ได้สายลมคมกลีบพุ่งออกไปราวกับลูกศรหลุดจากแหล่ง ตอนขณะที่ทุกผู้คนยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยากลับมาได้ทันกับสถานการณ์เช่นนี้ สายลมคมกลีบก็ได้พุ่งไปที่ใบหน้าของซูเสวียน วินาทีนั้น ก็ได้เห็นรอยฝ่ามือประทับอยู่บนใบหน้า ใบหน้าของซูเสวียนถึงกลับปั้นยากขึ้นมาเต็มสิบส่วน ในช่วงเวลาที่เยี่ยจงได้ลงมือนั้น ยังไม่แม้แต่จะสามารถใช้ออกด้วยเรี่ยวแรงเพื่อขัดขืนได้
“ ซูเสวียน เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้าทุบตีเจ้ากัน ? “ เยี่ยจงกล่าวเสียงดังกังวาน “ เจ้ายังไงเสียก็ยังเป็นศิษย์สาขาในของลัทธิแห่งดวงดาวเรา ในตอนนี้เจ้ากลับไปกอดขาของสำนักเสวียนหวินอย่างออกหน้าออกตา นอกจากนี้ข้าจะนำเรื่องนี้กลับไปแจ้งให้ทางสำนักลงโทษเจ้าก็แล้วกัน “
“ เยี่ยจง เจ้าอย่าได้มามากหยิ่งผยองในที่แห่งนี้ ในเมื่อเจ้ากล่าวอ้างลัทธิแห่งดวงดาวเพื่อโอ่อวดในที่แห่งนี้ได้ เรื่องนี้ข้าก็จะแจ้งกลับไปสู่ทางลัทธิได้เช่นกัน “ ซูเสวียนเอ่ยปากด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ ไม่เป็นไร “ เยี่ยจงตอบกลับเสียงดังกังวาน “ ในเมื่อตระกูลซูก็ใกล้จะสูญสิ้นแล้ว เจ้าต้องการจะไปก็ไปเถอะ “
เยี่ยจงกล่าวจบ ก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง แล้วก็เตรียมตัวหันกายเดินจากไป
“ เยี่ยจง เจ้าบังอาจเกินไปแล้ว “ เมื่อพบว่าตั้งแต่แรกเริ่ม ตนเองก็ไม่อยู่ภายในสายตา ชายหนุ่มผมเงินแห่งสำนักเสวียนหวินก็อดใจไว้ไม่ไหว ผมสีเงินของเขาได้เคลื่อนไหวโดยไร้แรงลมด้วยตัวเองอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ได้ก้าวเท้าออกไป อีกทั้งยังได้นำพาพลังอันมหาศาลมุ่งหน้าผลักดันไปยังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่
พลังขั้นก่อเกิดระดับแปด ซานกวานเทียนทง ขั้นรู้แจ้งวิญญาณ
ทันใดนั้นเอง ผู้คนนับไม่ถ้วนในสถานที่แห่งนี้ต่างก็อ้าปากตาค้าง เมื่อได้รับทราบพลังความสามารถของชายหนุ่มผมเงินผู้นี้แล้ว กล่าวกันโดยส่วนมาก บุคคลที่สามารถฝึกปรือภายเส้นทางสายนี้ได้ ถ้าหากมิใช่ยอดอัจฉริยะ ก็จำเป็นที่จะต้องมีความขยันหมั่นเพียรเป็นอย่างมาก บุคคลเช่นนี้ แน่นอนว่าคงจะหาผู้ใดเทียบเคียงได้ พลังขอบเขตของคนเช่นนี้ อย่างน้อยๆเมื่อเทียบกับยอดฝีมือที่ฝึกปรือในช่วงที่อยู่ขอบเขตก่อฟ้าระดับเล็กนั้นยังถือได้ว่ายากเย็นอย่างยิ่ง
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือชายหนุ่มผมเงินผู้นี้กลับทราบเรื่องราวที่เยี่ยจงมีความสามารถที่จะต่อกรโดยที่ไม่พ่ายแพ้องค์ชายสามได้ อีกทั้งยังมีความกล้าที่จะรังควานต่อเยี่ยจงอีก สิ่งนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกได้ว่าเป็นความแข็งแกร่งที่มีความเชื่อมั่นในตนเองที่สูงชนิดหนึ่ง
“ ตูม “
พลังอันน่าหวาดกลัวแผ่กระจายเข้ามา ประกายเยียบเย็นแผ่ออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของเยี่ยจง แต่ก็มิได้หลบเลี่ยงแต่อย่างไร เพียงแต่ก้าวเดินออกไปเช่นเดียวกัน พลังที่อยู่ภายในร่างตอนนี้ก็ได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และก็ได้เข้าปะทะกับพลังของชายหนุ่มผมเงินผู้นั้นในทันที
.
.
.
.