ตอนที่ 164 งานเลี้ยงครั้งใหญ่
*ตอนก่อนหน้านี้ที่แปลองค์ชายทั้งหกผิดนะครับ จริงๆเป็นองค์หญิงหกนะครับ(องค์หญิงลำดับที่หก)พอดีไม่มีเนื้อเรื่องเลยงงๆ
ณ บริเวณภายในวังชั้นนอก ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่อยู่กึ่งกลางเขา
ในตอนนี้ ที่นั่งได้แบ่งออกเป็นแปดแถว วางไว้ด้วยสิ่งของต่างๆนาๆบนโต๊ะงานเลี้ยง บนโต๊ะงานเลี้ยง มีสาเกทั้งเหล่าหว่าโหยวชั้นเลิศ และสิ่งอื่นๆนับไม่ถ้วน และสิ่งอื่นๆที่ถูกจัดตั้งอยู่ในงานเลี้ยงต่างก็เป็นทั้งของที่ทำจากของยาวิญญาณและโอสถวิญญาณ เห็นได้ชัดว่ามีประโยชน์ในการใช้ด้วย
ผู้คนที่ถึงกับสามารถถูกองค์ชายใหญ่เชิญมายังงานเลี้ยงได้นั้น ต่างก็นับได้ว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติ เหล้าหว่าโหยวปกติธรรมดาเรียกได้ว่าแทบจะไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา ดังนั้นภายใต้งานเลี้ยงในวันนี้เอง เนื้อก็ทำมาจากเนื้อของสัตว์ประหลาด เหล้าก็ยังถูกหมักมายาวิเศษ ในช่วงเวลานี้ เป็นเหมือนได้ทานยาวิเศษมากมายจำนวนมาก ผลลัพธ์ที่ได้คงจะที่กล่าวออกมาได้
เพียงแต่ว่า ยอดฝีมือที่ได้นั่งอยู่เต็มไปทั่งทั้งห้องโถงขนาดใหญ่นี้ แต่กลับไม่มีผู้ใดที่คิดจะแตะแม้แต่ตะเกียบเลย ผู้คนทั้งหมดต่างก็มองไปยังบริเวณใจกลางห้องโถงใหญ่ทั้งสิ้น
บริเวณจุดศูนย์กลางด้านหน้าสุดของห้องโถงใหญ่ ถูกจัดวางไว้ด้วยฐานมังกรคำรนขนาดใหญ่จัดตั้งด้วยพระที่นั่ง บนตัวของพระที่นั่งถูกจัดตีขึ้นมาจากทองคำสดใส สามารถเห็นได้ชัดจากแสงที่ทอสว่างไสว สิ่งนี้นับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีเพียงราชาต้าโจวเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติที่จะนั่ง
แต่ว่าบริเวณของพระที่นั่งนี้เอง ในตอนนี้ก็ได้จัดวางไว้ด้วยที่นั่งไม่เหมือนกันมากมากนับไม่ถ้วน ที่นั่งในงานเหล่านี้เมื่อเทียบกับพระที่นั่งหลักแล้วยังถือว่าแตกต่างกว่านับสิบเท่า ทุกๆที่นั่งที่อยู่ด้านข้าง ต่างก็มีสาวงามสองนางคอยปรนนิบัติ
และในตอนนี้ บริเวณทางด้านบนของจุดศูนย์กลางของงานเลี้ยง ที่เป็นที่นั่งขององค์ชายใหญ่ บนใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม ที่อบอุ่นอย่างถึงที่สุด
บริเวณทางด้านซ้ายของเค้าได้ถูกจัดวางไว้ด้วยที่นั่งอีกสองตัว ที่นั่งไว้ด้วยองค์ชายสามและนางเซียนชิงหญิงทั้งสอง สถานะของทั้งสองคนนี้ ก็นับได้ว่าเพียงพอที่จะนั่งบนที่นั่งทั้งสองตัวนี้ และต่อจากนั้นก็คือจ้าวหวังน้อยโจวฉีซือและองค์หญิงหก
บุคคลทั้งสี่คนได้ปรากฏตัวอยู่ด้านเกือบบนสุดของงานเลี้ยงเหล่านี้ แต่ทว่าก็มิได้เกินความคาดหมายของผู้คนทั้งหมดแต่อย่างไร
แต่ว่าที่นั่งในงานเลี้ยงที่อยู่ฝั่งซ้ายขององค์ชายใหญ่อีกสี่ตัว บรรยากาศก็ได้เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดหลายส่วน
นั้นทันทีที่องค์ชายใหญ่ได้นั่งลงไปนั้นเอง ก็ได้พบเห็นกับพระญาติขุนนางเสื้อแพร เพียงแต่ว่าในตอนนี้ใบหน้าอันขาวผ่องได้มีรอยแดงๆอยู่ เห็นได้ชัดว่าเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างถึงสุดขีด สายตาของเข้าได้จ้องมองไปยังเก้าอี้อีกทางด้านหนึ่งด้วยสายตาอาฆาตแค้น ในตอนนี้ เยี่ยจงนั่งลงอยู่ในที่แห่งนั้นด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง ถึงกับมีความเสนาะสนใจที่จะเริ่มที่จะวิเคราะห์สาเกหวาโหยวชั้นเลิศที่อยู่เบื้องหน้าสายตานี้ และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่แม้แต่จะเห็นพระญาติขุนนางเสื้อแพรอยู่ในสายตา
นอกเสียจากทั้งสองคนนี้แล้ว อีกสองที่นั่งของงานกลับยังว่างอยู่
คงมีเพียงองค์ชายใหญ่ที่ทราบ ทั้งสองที่นั้นที่ความจริงได้เตรียมไว้เพื่อให้แก่เสวียนเชาแห่งสำนักเสวียนหวินและซูชิงทั้งสองคน เพียงแต่ว่าในตอนนี้เสวียนเชาได้ถูกเยี่ยจงจัดการเก็บกวาดเป็นที่เรียบร้อย เตรียมการฆ่าหลังจบพิธีอวยพรนี้
แน่นอนว่าย่อมไม่อาจที่จะปรากฏตัวออกมาได้ อีกทั้งซูชิงผู้นั้น อย่างน้อยคนของตระกูลซูก็มิได้ปรากฏตัวขึ้นมาในบริเวณนี้
หลังจากที่ได้ทอประกายสายตาแล้ว องค์ชายใหญ่ก็ได้ยืนขึ้นมา ยกมือคารวะไปทั่วทั้งสี่ทิศ กล่าวออกมา “ ทุกท่าน
ขอขอบคุณที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังของข้าในครั้งนี้ ข้านั้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง การจัดงานเลี้ยงในวันนี้ ข้าหวังว่าจะไม่มีการแบ่งแยกสถานะสูงต่ำแต่อย่างไร การที่จะสามารถมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ ต่างก็เป็นวีรบุรุษผู้กล้ารุ่นเยาว์ทั้งสิ้น ทุกท่านสาน
ความสัมพันธ์ให้มาก ไปมาหาสู่กันให้มากไว้ หลังจากนี้คงจะเป็นเรื่องที่ดี มิใช่หรือ ? “
เพียงแต่ว่าหลังจากที่ได้กล่าวออกมาจนจบแล้ว แม้แต่องค์ชายใหญ่เองก็ยังรู้สึกเกรงอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากที่ได้เริ่มต้นงานเลี้ยง ก็ยังเกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย กล่าวได้ว่างานเลี้ยงในครั้งนี้ ก็ไม่ถือว่าสำเร็จบรรลุผลแต่อย่างไร
“ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญทุกท่านตามสบาย “ องค์ชายใหญ่นั่งลง แล้วก็ได้โบกคราหนึ่งเบาๆ
ต่อมายอดฝีมือมากามยก็ได้ส่งเสียงดังสนั่นว่าดีเยี่ยมขึ้นมา ทันใดนั้นบรรยากาศก็ได้เปลี่ยนเป็นคึกครืนขึ้นมาอยู่หลายส่วน
ไม่ว่ากล่าวยังไงก็ตาม นี้ก็เป็นงานฉลองที่นับว่าหาได้ยากแล้ว สามารถที่จะเพลิดเพลินไป มีหรือที่จะพลาดได้
บริเวณด้านบนใจกลางแท่น นางเซียนชิงหญิงในตอนนี้ก็ได้จ้องมองไปทางด้านของเยี่ยจงอย่างลืมตัว ทันใดนั้นนางก็ได้ยิ้มออกมาเบาๆคราหนึ่ง กล่าวเสียงดังว่า “ พี่เยี่ยจงเก่งกาจสมเป็นวีรบุรุษ ผู้น้องขอคารวะหนึ่งจอก ก่อนหน้านี้หากทำให้ไม่พอใจ ยังคงขอให้พี่เยี่ยจงอย่าได้ถือโทษ วันหน้าพวกเรายังคงสามารถร่วมมือกันในเรื่องอื่นๆได้อีกมิใช่หรือ ? “
เยี่ยจงเงยหน้าขึ้นมาอย่างเงียบงัน หลังจากที่มองไปทางด้านนางเซียนชิงหญิงอย่างระมัดระวัง ก็ได้ส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว “ นางเซียนชิงหญิงที่เป็นหมายปองของผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องการที่จะให้ข้าทำตามเจ้างั้นหรือ ? ดังนั้นร่วมมือกันอันใดก็ช่างมันเถอะ อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ขอเพียงเจ้าไม่มาหาเรื่องกับข้า ข้าก็ไม่คิดที่จะไปสนใจ “
เยี่ยจงก็กล่าวออกไปต่อนางเซียนชิงหญิงอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้นางต้องขมวดคิ้วสีเข้มขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่เคยมีชายใดเลยที่กระทำเช่นนี้ต่อนาง ทำให้นางรู้สึกไม่เคยชิ้นอยู่หลายส่วน
องค์ชายสามจ้องมองไปที่เยี่ยจง นัยน์ตาสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย เค้าว่าท้ายที่สุดก็ได้อดรนทนไว้ ไม่ได้ลงมือออกมาแต่อย่างใด
“ พี่ใหญ่เยี่ยจง ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาข่าวลือว่าท่านเป็นเจ้าขยะที่ไม่อาจที่จะฝึกยุทธ์ได้ ข่าวลือนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเยียจิง แต่ว่าจากที่มองจากลักษณะของท่านแล้ว เกรงว่าข่าวลือก่อนหน้าเหล่านี้จะเป็นเรื่องเท็จซะแล้ว ? “ องค์หญิงหกอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี ความคิดความอ่านยังมีไม่ลึกซึ้งพอ นางในตอนนี้จึงมองเยี่ยจงอย่างแปลกใจ
หลังจากที่เงียบงัน บุคคลเช่นองค์ชายใหญ่ก็ได้มองไปที่เยี่ยจงเช่นเดียวกัน พระญาติขุนนางเสื้อแพรก็อดไม่ได้ที่จะต้องจ้องมองเยี่ยจงเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าขยะเยี่ยจงก็นับได้ว่าเป็นที่เล่าลือกันไม่น้อย แต่การ
ปรากฏตัวของเขาในวันนี้ กลับมีความแข็งแกร่งจนน่าตกใจ ราวกับดวงดาวกลับคืนสู่ท้องฟ้า จะทำให้ผู้คนทั้งหมดมิกล้าคิดว่าทั้งสองคนจะเป็นคนๆเดียวกัน
“ องค์หญิงหกมีความสนใจงั้นหรือ ? “ เยี่ยจงยิ้มน้อยๆ กับเด็กสาวที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ เขาก็ยังถือว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง “ หากว่าองค์หญิงหกมีความสนใจแล้วละก็ หลังจากที่งานเลี้ยงจบลงแล้วพวกเราก็หาสถานที่เงียบสงบค่อยๆคุยกันดีหรือไม่ ? “
“ แค๊กแค๊ก “
องค์ชายใหญ่จู่ๆก็ได้ไอขึ้นมา แล้วเขาก็ได้โบกมือไปมา กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อึดอัดหลายส่วน “ พี่เยี่ยจง น้องหญิงของข้านั้นยังเล็กยิ่งอยู่นัก “
องค์หญิงหกในตอนนี้ก็ได้มีประฏิกิริยากลับมา ทันใดนั้นใบหน้าก็ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ในสถานะที่เป็นคนของราชวงศ์ หลายปีมานี้ก็ได้มีผู้คนมากมายพยายามเข้ามาใกล้ชิด นางจึงมิใช่เด็กสาวที่ไม่ทราบอะไร ต่อมาก็เริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมา
“ พวกท่านเข้าใจผิดกันแล้ว “ เยี่ยจงสีหน้ายังคงเป็นปกติ “ เพียงแต่ว่าองค์หญิงหกในร่างมีพลังปราณฟ้า ข้าก็ได้มีความสนใจอยู่หลายส่วน หากว่าองค์หญิงหกมีความต้องการที่จะทราบความลับของข้า ก็ใช้ความลับของนางมาแลกเปลี่ยนกันก็ยังถือว่าไม่เลว ? “
หลังจากที่เงียบงัน องค์ชายใหญ่จึงได้มองไปทางด้านเยี่วจงอย่างมีเลศนัยคราหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาก็ฟังออกถึงสิ่งที่เยี่ยจงกล่าวออกมา เกรงว่าเจ้าขยะเยี่ยจงเมื่อก่อนหน้านี้ตามที่ล้ำลือกันคงจะเป็นเรื่องจริง และตามที่ล้ำลือกันเองจากที่เคยทราบ เขาถึงกลับสามารถก้าวมาถึงยังจุดๆเช่นวันนี้ได้ ก็ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
“ เจ้าก็คือเจ้าขยะเยี่ยจงเมื่อก่อนหน้างั้นหรือ ? “ พระญาติขุนนางเสื้อแพรจ้องทองไปที่เยี่ยจง เอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นเทา “ เป็นไปได้อย่างไรกัน เมื่อก่อนหน้านี้เจ้ายังคอยตามข้าไปจับแมลงเล่น เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน …….. “
“ เจ้าก็เริ่มคันอีกแล้วงั้นหรือ ? “ เยี่ยจงเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่ว่าพระญาติขุนนางเสื้อแพรผู้นี้กลับเริ่มลุกรน กล้ำกลืนคำพูดกลับเข้าไป
“ ใช่แล้วเยี่ยจง ได้ข่าวมาว่าตระกูลเยี่ยของเจ้าได้เกิดเรื่องขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ขุมกำลังของตระกูลเยี่ย สูญสิ้นไปราวครึ่งหนึ่ง เรื่องนี้ใช่เรื่องจริงหรือไม่ ? “ จ้านหวังน้อยโจวฉีซือจ้องเยี่ยจงเขม็ง เอ่ยออกมาอย่างมีเลศนัย
“ ตระกูลเยี่ยกับข้ามีความสัมพันธ์อันใดกัน ? “ เยี่ยจงหยักไหล่ แต่ก็มิได้ตอบกลับไปโดยตรง
โจวฉีซือเข้าใจในความหมายในคำพูดจึงได้พยักหน้าอยู่หลายครา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามต่อ จากที่เขามอง เยี่ยจงเบื้องหน้าผู้นั้ก็ช่างมีความลับอันมากมายเหลือเกิน ยังคงอย่าได้วุ่นวายจะดีกว่า
งานเลี้ยงได้ดำเนินต่อเช่นนี้ ในช่วงระยะเวลานี้องค์ชายใหญ่ก็เริ่มอยากที่จะทดสอบเยี่ยจงดู เยี่ยจงเลือกที่จะตอบในแบบของตนเอง ทำให้พวกเขามิอาจที่จะเข้าใจได้อย่างชัดเจนได้ ในเวลาเดียวกันเยี่ยจงก็ได้ทำความรู้จักกับขุมกำลังในเมืองเยียจิงอย่างวุ่นวาย นับได้ว่าได้ทำความเข้าใจโดยส่วนใหญ่ และเหล่าความลับที่อยู่ในเมืองเยียจิง ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่ลัทธิแห่งดวงดาวไม่อาจที่จะตรวจสอบพบได้ หากว่ากล่าวตามเยี่ยจง ก็ยังนับว่ามีประโยชน์ไม่น้อย
ช่วงเวลาได้ล่วงเลยไป งานเลี้ยงก็ใกล้จะถึงจบลงแล้ว องค์ชายใหญ่ก็ได้ลุกขึ้นมา เตรียมตัวที่จะกล่าวอันใดออกมา ทันใดนั้นเขาก็ได้ขมวดคิ้วเบาๆ มองไปยังทางด้านบริเวณทางเข้าห้องโถง
ทุกผู้คนก็เริ่มที่จะเสาะพบ แต่ละคนเริ่มที่จะกวาดตามองไปอย่างรวดเร็ว ก็พบว่า ในตอนนี้ก็พบเห็นเงาร่างของผู้คนหลายคนค่อยๆเดินเข้ามาจากทางด้านบริเวณทางเข้า คนเหล่านี้มีอายุโดยประมาณสามสิบปี ต่างกับอยู่ในช่วงอายุนี้ เห็นได้ชัดว่ามิได้ถูกองค์ชายใหญ่เชิญร่วมงานตาอย่างไร
“ นั้นมัน ซูจื่อหวินแห่งตระกูลซูนิ ? “
มีคนเริ่มที่จะจดจำสถานะของคนผู้นี้ออก ทันใดนั้นแต่ละคนก็ได้กรอกตาไปมาแล้วถอนหายใจคำหนึ่ง
ซูจื่อหวินผู้นี้นับได้ว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่นในรุ่นที่สามของตระกูลซู สามารถกล่าวได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงของเมืองเยียจิงได้ ยอดฝีมือเช่นนี้ มีสถานะที่สูงล้ำ คิดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ได้ เห็นได้ชัดอย่างยิ่ง เขาคงมาตามหาผู้คนเท่านั้น
ตามข่าวลือในเมืองเยียจิง ซูจื่อหวินนั้นถือได้ว่าเป็นคนที่หยิ่งทะนง แต่ว่าฝีมือนั้นก็ถือได้ว่าโหดเหี้ยม นับได้ว่าเป็นบุคคลที่เป็นแขนข้างหนึ่งของตระกูลซูเลยทีเดียว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าบุคคลเช่นนี้จะถึงกับมายังที่แห่งนี้ด้วยตนเอง ดูเหมือนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมาครั้งนี้คงจะยากแก้ไขแล้ว
“ ท่านอาซูสื่อ “ องค์ชายใหญ่ขมวดคิ้ว ซูจื่อหวินเมื่อเห็นผู้ที่ไม่ได้รับเช่นมายังบริเวณของงานเลี้ยง แต่ก็ยากที่จะไม่ให้เกียรติได้ “ ไม่ทราบว่าท่านอาซูสื่อมาได้อย่างไรกัน แต่ว่าที่แห่งนี้ก็ยังเป็นเขตวังหลวงของข้า ยังคงขอเชิญถอยไปเถอะ “
ในตอนนี้องค์ชายใหญ่ไม่อาจที่จะไม่เอ่ยปากกล่าวออกมาได้ เขาเชิญแขกมาแค่ไหนก็แค่นั้น แต่ว่าถ้าหากมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาก่อความวุ่นวาย เช่นนั้นก็เหมือนดังกับการตบหน้าเขาแรงๆคราหนึ่ง
“ องค์ชายใหญ่ เรื่องในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับที่ราชสำนักท่าน แล้วก็ไม่เกี่ยวกับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ข้าผู้แซ่ซูที่มาหาถึงที่แห่งนี้ เมื่อจบเรื่องแล้วจะขอขมาเอง ดังนั้น เรื่องในวันนี้ขออย่าได้สอดมือเข้ามายุ่ง “ ซูจื่อหวินแสดงออกถึงความรีบร้อน ดวงตากวาดราวสายฟ้า แล้วจึงเอ่ยปากขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้ยกมือขึ้นคารวะไปที่องค์ชายใหญ่ จากนั้นจึงได้ค่อยๆเคลื่อนสายตาไปยังที่นั่งด้านข้างที่นั่งไว้ด้วยเยี่ยจงอยู่ในตอนนี้
และในช่วงเวลาเดียวกัน ทางด้านหลังของเขาก็มีผู้คนมากมายกระเสือกออกมา ดวงตาของแต่ละคนปรากฏรังสีสังหาร
ซูจื่อหวินโบกมือคราหนึ่ง ทำให้คนเหล่านี้ถอยลงไป จากนั้นเขาจึงค่อยได้จ้องมองไปยังเยี่ยจงอย่างมีเลศนัย กล่าวเสียงดังกังวาน “ เจ้าก็คือเยี่ยจง ? “
“ เกี่ยวอันใดกับเจ้ากัน ? “ เยี่ยจงยกแก้วสาเกผลไม้กลืนลง คร้านที่จะใช้ดวงตามองไป
“ เจ้าคือเยี่ยจงก็ยิ่งดี เป็นเจ้าที่ข่มเหงแขกผู้มีเกียรติเสวียนเชาของตระกูลซูเราใช่หรือไม่ ? “ ซูจื่อหวินมิได้ทำอะไรวู่วามต่อเยี่ยจง ใบหน้ายังคงเยือกเย็นอย่างถึงที่สุด
“ ในข้อนี้ข้าก็ไม่อาจที่จะทราบได้อย่างชัดเจน “ เยี่ยจงลุกขึ้นมา จ้องเขม็งไปที่ซูจื่อหวิน จากนั้นก็ได้แสยะยิ้ม “ ทว่าข้าเมื่อครู่ก็ได้จัดการกับสุนัขขนเงินตัวหนึ่งไปแล้ว ท่านอาซูซือต้องการที่จะดูว่า ใช่แขกจากตระกูลของท่านหรือไม่ ? “
.
.
.
.