เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 381 สายลมที่โชยพัดเข้ามา

ตอนที่ 381 สายลมที่โชยพัดเข้ามา

 

 

คนกลุ่มหนึ่งทำลายประตูเดินเข้ามา ที่ดึงดูดผู้คนได้มากที่สุดก็คือชายหนุ่มผมม่วงผู้หนึ่ง เขามีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้กล่าวอะไรออกมามากมาย

 

แต่ว่า สิ่งมีชีวิตที่ทำลายประตูได้เดินอยู่ทางบริเวณทางด้านหน้าของเขา ในตอนนี้สีหน้าของแต่ละคนอยู่ในอาการไม่สบอารมณ์ สายตาของพวกเขาก็ได้กวาดเข้ามาภายในตึกใหญ่อย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังหาคนอยู่ก็มิปาน

 

“เหอะเหอะ นี้มิใช่ท่านที่มาจากสำนักหวู่หว่าง(ไม่จบสิ้น)หรอกหรือ ? ทุกท่านมิใช่คนของดินแดนซีฮวงเรา แต่ว่าอย่างน้อยก็สมควรที่จะเข้าใจ สถานที่แห่งนี้มิใช่จะให้เข้ามาทำอะไรตามอำเภอใจ คิดจะมาหาเรื่อง ขอเชิญเปลี่ยนไปใช้สถานที่แห่งอื่น จะดีกว่าไหม ?”มีคนขมวดคิ้วเอ่ยปากขึ้นมา บนร่างของผู้ที่เอ่ยปากขึ้นมานั้นสวมเอาไว้ด้วยชุดฝึกยุทธ์สีแดง เห็นได้ชัดเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่มาจากอาณาจักรไฟ ในตอนนี้เขาก็ได้ขมวดคิ้วแล้วมองเข้าไปยังเด็กน้อยเหล่านั้น เกล่าออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

“สามหาว”

 

ต่อมาสิ่งมาชีวิตนั้นก็ได้กวาดสายตาไปที่เขาคราหนึ่ง จากนั้นก็ได้โบกมือฟาดออกมาหนึ่งฝ่ามือ จากนั้นก็ได้ยินเสียง “ผัวะ”ดังขึ้นมา สีหน้าของเด็กหนุ่มอาณาจักรไฟก็ได้แปรเปลี่ยนไป กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง เกิดอาการบอบช้ำจนล้มลงอยู่บนพื้น

 

“เชอะ——”

 

พริบตานั้นท่ามกลางสนามก็ได้มีผู้คนนับไม่ถ้วนส่งเสียงออกมาด้วยอาการตื่นตกใจขึ้นมา หอสวรรค์นี้เรียกได้ว่าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของทางราชวงศ์รัฐไฟก็ว่าได้ กล่าวกันโดยส่วนมากแล้ว คงจะไม่มีคนที่คิดจะลงไม้ลงมือในสถานที่เช่นนี้แน่นอน แต่ว่าผู้คนกลุ่มนี้กลับไม่เพียงแต่ลงมือ อีกทั้งยังไม่มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด ถึงกับทำร้ายเด็กหนุ่มรัฐไฟบาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่ามีความลำพองจนมากจนเกินไปก็ว่าได้

 

“เจ้าพวกเด็กน้อยเหล่านี้ของดินแดนซีฮวง ช่างไม่รู้จักกาละเทศะเอาเสียเลย ทว่าก็เป็นเพียงแค่กลุ่มชนชั้นต่ำเท่านั้นเอง คิดหรือว่าตนเอง ยังจะสามารถมีคุณสมบัติพอที่จะมาอาลาวาดขึ้นมาเช่นนี้ได้กัน ?”ผู้ที่ลงมือก็ได้หัวเราะออกมาเสียงเย็นชา สีหน้าไม่แยแสสนใจทุกสิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นดินแดนซีฮวงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย、ยิ่งไม่เห็นอาณาจักรไฟอยู่อีกด้วย

 

หลังจากที่เงียบงัน ท่ามกลางตึกใหญ่ก็ได้มีผู้คนเกือบครึ่งหน้าเปลี่ยนสีในเวลาเดียว คนเหล่านี้ต่างก็ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งดินแดนซีฮวง ตอนนี้ได้ถูกดูแคลนคล้ายดั่งตบไปที่ใบหน้า เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเหมือนไม่เห็นไปได้

 

“เหอะ ทุกท่านเป็นผู้ที่มาจากดินแดนภายนอกซีฮวง อาจจะไม่ทราบขนบธรรมเนียมประเพณี หรือไม่ก็พวกเจ้าคิดที่จะดูแคลนดินแดนซีฮวงเราให้ได้กัน ? มีอยู่หลายท่านที่อาลาวาดถึงเพียงนี้ มีปัญญาก็ไปท้าทายเยี่ยจงสิ !”มีคนจ้องมองไปยังหลายคนนี้แล้วก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมา

 

“ชิ !”ยอดฝีมือสำนักหวู่หว่างผู้นี้ก็ได้หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ตอบกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ก็เพียงแค่เยี่ยจงเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง หากว่าเขาไม่ปรากฏตัวขึ้นมาก็ช่างมันเถอะ หากว่าปรากฏตัวขึ้นมา ก็ให้เขาไปหาข้าที่ยอดเขาประตูสำนักหวู่หว่าง !”

 

ผู้คนหมู่มากหลังจากที่เงียบงัน แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าที่เผยออกมาให้เห็นถึงความสงสัย สำนักหวู่หว่างมีจากดินแดนหนานฮวง กล่าวกันว่ามีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างมาก เปรียบได้ดุจดั่งแดนปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ลัทธิเทพแดนลี้ลับแห่งดินแดนซีฮวงเป็นต้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่า สำนักแห่งนี้กลับมีจะมีนิสัยที่ไร้มารยาทได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับหาญกล้าที่จะให้สุดยอดรุ่นเยาว์ขึ้นไปหาพวกเขาที่สำนักด้วยตนเอง ?

 

เห็นได้ชัด ท่ามกลางสนามในตอนนี้ก็ได้มียอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งดินแดนซีฮวงต่างก็มุ่งเป้าไปที่เยี่ยจง แต่ว่าตอนนี้เยี่ยจงกลับถูกผู้ที่มาจากดินแดนภายนอกเย้ยหยัน มีหรือที่จะไม่ทำให้พวกเขาไม่เกิดความโกรธแค้นขึ้นมาต่อศัตรูที่มาดูถูกชาติกำเนิดได้

 

“ทุกท่าน ในเมื่อสถานที่แห่งนี้คือเมืองของอาณาจักรไฟ เวลาที่ทุกท่านคิดจะกล่าวอันใดออกมา ยังคงขอให้เหลือน้ำใจกันบ้าง”มีหญิงสาวนางหนึ่งออกมากล่าวขึ้นมาอย่างช้าๆ นางมีใบหน้าที่งดงามอย่างถึงที่สุด บนใบหน้าสว่างไสว เรียบเนียนดุจดั่งหยก จนทำให้ผู้คนไม่อาจที่จะละสายตาไปได้

 

“นี้คือองค์หญิงจื่อหวิน”มีคนเอ่ยขึ้นมา เปิดเผยสถานะของสาวน้อยนางนี้ออกมา จากนั้นผู้คนไม่น้อยต่างก็เกิดอาการตื่นตกใจขึ้นมา

 

องค์หญิงจื่อหวินนั้นก็ได้มาจากดินแดนหนานฮวงเช่นเดียวกัน กล่าวกันว่ามีสถานะที่ลี้ลับจากหุบเขาเมฆาม่วง อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงองค์หญิงแห่งเผ่าพันธ์ ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสาวงามแห่งแดนใต้ งดงามจรดแดนดิน

 

ผู้คนมากมายในตอนนี้เมื่อได้มองเข้าไปในคราแรกกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าเมื่อได้มองไปหลายคราแล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าองค์หญิงจื่อหวินมีความงดงามอย่างถึงที่สุด、ดุจดั่งบุพผาเบิ่งบานท่ามกลางแสงจันทร์ที่ฉายส่องลงมา ที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวในแดนมนุษย์ มีผู้คนไม่น้อยที่มองจนไม่อาจละสายตา จนเกือบที่จะพูดอันไม่ออก

 

สิ่งมีชีวิตมากมายของสำนักหวู่หว่างก็ได้มีสีหน้าประหลาดขึ้นมา ส่วนสิ่งมีชีวิตอื่นๆต่างก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากออกมา นั้นก็เพราะว่าพวกเขานั้นมิได้มีฐานะที่คู่ควรพอ หลังจากที่ชายหนุ่มผมม่วงได้จดจ้องไปยังองค์หญิงจื่อหวินแล้ว ทันใดนั้นก็ได้หัวเราะแล้วกล่าวออกมา “ในเมื่อองค์หญิงกล่าวออกมาเช่นนี้ เช่นนั้นผู้น้อยก็ขอยอมรับผิดก็แล้วกัน ที่ก่อนหน้านี้เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายของข้ากลับไม่รู้จักกาลเทศะหนักเบา วีรบุรุษแห่งอาณาจักรไฟทุกท่าน ต้องการให้พวกเขารับผิดชอบอย่างไร”

 

องค์หญิงจื่อหวินยิ้มขึ้นมาเบาๆ ราวกับดอกบัวนับร้อยเบิ่งบานท่ามกลางสายน้ำก็มิปาน วินาทีนั้น ท่ามกลางตึกใหญ่ก็ได้มีชายหนุ่มท่าทางองอาจก็ได้ทอประกายดวงตาสว่างวาบขึ้นมา บ่งบอกถึงความเกลียดชังที่มีต่อผู้คนที่มุ่งร้ายเข้ามาเหล่านี้

 

“ยังคงขอเชิญองค์หญิงนั่งก่อน ผู้น้อยยังมีเรื่องที่ต้องกระทำอยู่เล็กน้อย หลังจากนั้นค่อยมารินสุราคารวะสนทนากันอีกครา”ชายหนุ่มผมม่วงยิ้มขึ้นมาเบาๆ จากนั้นเขาก็ได้หันหน้ากลับไป ทอดสายตามองเข้าไปยังบริเวณท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ จากนั้นก็ได้กวาดสายตาไปอย่างช้าๆ

 

ไม่นานนัก ท่ากลางกลุ่มสิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างก็ได้จ้องมองเข้าไปยังบนร่างของเยี่ยจง จากนั้น บริเวณทางด้านหน้าหลายคน ต่างก็มีความเคลื่อนไหวอยู่บนใบหน้าในเวลาเดียวกัน กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ “สมควรที่จะเป็นเขาแล้วละ”

 

ชายหนุ่มผมม่วงก็ได้พยักหน้าตอบคำ กล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ไปนำเอาสิ่งของกลับมา จำเอาไว้ พวกเขามาในฐานะแขก ต้องมีมารยาทและสำรวมเอาไว้ อย่าได้ทำให้ผู้คนทั้งหมดลำบากใจไปด้วย”

 

ชายหนุ่มผมม่วงมีมารยาทอย่างยิ่ง กล่าวจบเขาก็ได้ยกมือขึ้นทำการคารวะ แล้วก็ได้เริ่มที่จะจ้องมองไปออกไปยังศิลาตะวันบริสุทธิ์ทางด้านนอก เห็นได้ชัด เขาแทบจะไม่สนใจกับเรื่องเช่นนี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีท่าทางที่องอาจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ให้พวกเขาออกหน้า ไม่ว่าอันใดก็สามารถที่จะจัดการได้หมด

 

สิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างที่เดินออกมาก่อนหน้า ไม่นานนักก็ได้เดินเข้ามาจนถึงทางด้านของโต๊ะที่เยี่ยจงนั่งอยู่ จากนั้นก็ยกมือขึ้นคารวะ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่หน้ามองออกมาเล็กน้อย กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พี่ท่านนี้ ขอบังอาจถามว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ท่านได้เข้าไปยังภายในเมืองเพื่อหาซื้อศิลาสีดำคล้ำก้อนหนึ่งหรือไม่ ?”

 

เยี่ยจงกำลังอยู่ในการเข้าสมาธิ ก็ได้ถูกทำให้ตื่นขึ้นมา เขาย่อมรู้สึกไม่พอใจอยู่หลายส่วน กวาดตามองไปยังสิ่งมีชีวิตที่เอ่ยปากขึ้นมา มิได้กล่าวตอบกลับไป เพียงแต่ยกชาขึ้นมาดื่มจอกหนึ่ง หลังจากที่ดื่มเข้าไปคำหนึ่ง ก็ได้มองเข้าไปยังศิลาตะวันบริสุทธิ์อีกครั้ง

 

ตอนนี้ ผู้คนมากมายท่ามกลางภายในตึกใหญ่ต่างก็ได้รวมตัวกันจดจ้องสิ่งที่เกิดขึ้นในบริเวณสถานที่แห่งนี้ รวมไปทั้งองค์หญิงจื่อหวิน ก็ยังต้องเหม่อมองมายังทางด้านนี้ ท่าทีของเยี่ยจงในตอนนี้องอาจอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกถึงแรงกดดันชนิดหนึ่ง จนทำให้ผู้คนไม่น้อยต้องทอประกายสายตาสว่างวาบขึ้นมามิได้ จากนั้นก็ได้เริ่มคาดเดาขึ้น ว่าวีรบุรุษหนุ่มผู้นี้นั้นมาจากสถานที่อันใดกันแน่

 

สิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างขมวดคิ้ว ก็ได้มีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขึ้นมา คนที่อยู่ทางด้านหน้าไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยปากออกมา อีกทั้งยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย จนทำให้ภายในสายตาของเขาปรากฏรังสีฆ่าฟันขึ้นมา

 

การกระทำไม่ว่าสิ่งใดๆของสำนักหวู่หว่างแห่งดินแดนหนานฮวงนั้นเรียกได้ว่ามีความบ้าคลั่งและเผด็จการ เห็นได้ชัดเมื่อครู่พึ่งจะได้ถูกชายหนุ่มผมม่วงกล่าวเตือนให้มีมารยาทเข้าไว้ แต่ว่าตอนนี้ภายในสายตาของเขากลับปรากฏเพลิงไฟที่ลุกโชนขึ้นมา

 

“พี่ท่านนี้ ข้ากำลังพูดอยู่กับเจ้าเจ้าไม่ได้ยินหรือยังไงกัน ?”สิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างก็ได้อดกลั่นที่จะลงมือเอาไว้ อีกทั้งยังขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวออกมา

 

“ประสาทไปแล้ว”

 

เยี่ยจงกล่าววาจากวนประสาทขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเขาก็ลุกขึ้น ใช้สายตาที่เหมือนดั่งมองไปยังคนเสียสติมองไปยังสิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างเหล่านั้นแล้วก็ได้หายกายหมายจากไป คร้านที่จะสนใจเขาอีก คิดที่จะไปฟังการสนทนาอีกทางด้านหนึ่งของตึก

 

“เจ้าหยุดให้ข้าเลยนะ !”สิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างแม้จะมีอายุอานามไม่มากนัก เต็มเปี่ยมไปด้วยสภาวะของคนหนุ่ม ตอนนี้เขากลับถึงไม่เห็นอยู่ในสายใน ในที่สุดก็ข่มอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ ใช้แขนข้างหนึ่งมุ่งหน้าคว้าจัยเข้าไปยังหัวไหล่ของเยี่ยจง

 

“ประสาท ต้องรักษาแล้วกระมั่ง”เยี่ยจงขมวดคิ้ว จากนั้นก็ได้หันกายกลับมาอย่างสบาย จนสลัดหลุดออกมาจากมือของสิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่าง จากนั้นเขาก็ได้สบัดมือออกไปสองครั้งคราตบไปที่ปากของทั้งสองคนนั้น แล้วก็ได้ยินเสียง “เพียะพร๊ะ”ดังขึ้นมาติดต่อกัน จนทำให้สิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างนี้มีเลือดกลบปากไหลรินออกมา、ห้วงสมองเกิดเสียงสั่นระรัวอึงอนขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็ไม่อาจที่จะมีปฏิกิริยากลับมาได้ทัน

 

ผู้คนทั้งหมดท่ามกลางตึกใหญ่ก็ได้ตื่นตะลึงขึ้นมา สำนักหวู่หว่างที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ แต่ว่าคนของพวกเขามากมายถูกทำเหมือนไม่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ด้วยคำพูดที่กล่าวออกมาเพียงสองคำพูด ? ที่ก็เปรียบได้เหมือนดั่งถูกตบหน้าเข้าไปอย่างแรงก็มิปานเลยทีเดียว

 

“ประสาท กลับบ้านไปกินยาเถอะ ไม่ต้องออกมารักษาแล้ว”เยี่ยจงขมวดคิ้ว กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนอย่างข้าเป็นคนที่พูดคุยด้วยง่าย ไม่ชมชอบลงมือฆ่าฟัน แต่ว่า อย่าได้มีครั้งต่อไป หากว่ายังมารบกวนข้าอีกแล้วละก็ ข้าจะลบล้างเจ้าทั้งสำนักเลย”

 

คำพูดของเยี่ยจงนั้นสงบเยือกเย็น อีกทั้งยังเข้ากับท่าทางอันองอาจของเขาตอนนี้ คำพูดที่กล่าวออกมานั้นได้ทำให้ผู้คนไม่น้อยต้องตะลึงขึ้นมา หากกล่าวว่าสำนักหวู่หว่างทั้งบ้าคลั่งและเผด็จการแล้วละก็ เช่นนั้นเด็กหนุ่มเบื้องหน้าสายตาที่ยังคงความสงบเอาไว้ได้ อีกทั้งยังสงบเยือกเย็นอย่างถึงที่สุด คำพูดทั้งหมดที่เขากล่าวออกมาราวกับเป็นเหมือนดั่งเหตุผลของทุกสรรพสิ่งก็มิปาน แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอันใด

 

แต่ว่า เพียงแต่แค่ความสงบเยือกเย็นเช่นนี้ ก็ทำให้มียอดฝีมือไม่น้อยเกิดความตื่นเต้นภายในจิตใจราวกับมีกลองลั่นขึ้นมา ต่างก็คาดเดาต่างๆนาๆ สำนักหวู่หว่างในครั้งนี้คงจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนเองเสียแล้วละ ?

 

“เจ้า……อยากตายแล้วหรือไง !”ในที่สุดสิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างก็ได้มีปฏิกิริยากลับคืนมา เขาเกิดโทสะขึ้นมาอย่างรุนแรง สั่นเทาไปทั่วทั้งร่างกาย พุ่งร่างกายออกไป

 

“เปรี้ยง——”

 

ในครั้งนี้ เยี่ยจงแสดงการกระทำได้อย่างหมดจดอย่างถึงที่สุด เพียงแต่ยกเท้าข้างหนึ่งกวาดออกไป ด้วยท่าทีที่องอาจอย่างถึงที่สุด เรียกได้แทบจะไม่เห็นแม้แต่เงาความเคลื่อนไหว มีความรวดเร็วอย่างถึงที่สุด แล้วก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างนี้ก็ได้ลอยกระเด็นออกไป พุ่งเข้าชนกับประตูตึก จนทะลุออกไปทางด้านนอก กระอักโลหิตออกมาคำโต

 

“นี้……”

 

ผู้คนหมู่มากต่างก็ไร้คำจะกล่าว สิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างเบื้องหน้าสายตาผู้นี้เห็นได้ชัดถึงแม้ว่าจะมิได้อยู่ในระดับราชัน แต่ว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังถือได้ว่ามีพลังฝีมือในขั้นก่อฟ้าขอบเขตลมปราณครบรอบ แต่ว่าตอนนี้กลับถูกกระทำดุจดั่งไก่ดินถูกเตะก็มิปาน กลับถูกคิดที่จะทำเช่นไรก็กระทำเช่นใด คนของสำนักหวู่หว่างนี้มีครั้งใดกันที่ได้ถูกทุบตีเช่นนี้มาก่อน ?

 

สิ่งมีชีวิตสำนักหวู่หว่างนั้นก็ได้ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แต่ว่าในครั้งนี้เขากลับไม่อาจที่จะขยับเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว นั้นก็เพราะว่าในตอนนี้ เขาได้ถูกเตะจนกระดูกซี่โครงหักไปนับสิบซีกแล้ว

 

“ดูเหมือนว่าในครั้งนี้สำนักหวู่หว่างข้าจะไม่เห็นเขาไท่ซานคงจะไม่รู้จักเสียแล้ว”ชายหนุ่มผมม่วงก็ได้หัวเราะอย่างไร้เสียงขึ้นมาในทันที เขาก็ได้ก้าวออกไปทางด้านหน้า ขวางรั้งบริเวณทางด้านหน้าของเยี่ยจง บนใบหน้าก็ได้เผยออกมาให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ดูเป็นธรรมดาก็มิปาน อีกทั้งยังเป็นกันเองอย่างยิ่ง “ศิษย์น้องผู้นั้นของข้ามักจะเป็นคนตรงไปตรงมา ในวันนี้พี่ท่านพอที่จะสามารถช่วยข้าให้คำชี้แนะแก่เขาสักรอบ ถือได้ว่าน่าขอบคุณอย่างยิ่ง หรือไม่ ข้าอยากจะขอเชิญพี่ท่านดื่มสุราซักจอก เพื่อที่จะเป็นการแสดงถึงความจริงใจดีหรือไม่ ?”

 

เยี่ยจงกวาดสายตาของเขาออกไปคราหนึ่ง กล่าวออกมาด้วยความเกียจคร้าน จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางหมายจะจากออกไป

 

“เหอะ……ดูเหมือนว่านามแห่งสำนักหวู่หว่างข้า จะใช้ไม่ได้ผลในเวลานี้แล้วสินะ”ชายหนุ่มผมม่วงสลายรอยยิ้ม แต่ว่าเสียงหัวเราะนั้นยังคงทวีความเย็นชา “สหาย เจ้ารายกาจมาก เจ้าคิดหรือว่าสำนักหวู่หว่างข้าจะไร้ผู้คนอย่างงั้นหรือ ?”

 

“ดูท่าเจ้าก็มีอาการประสาทเหมือนกันสินะ ?”ในที่สุดเยี่ยจงก็ได้หันสายตากลับมาจ้องมองไปที่เขาคราหนึ่ง สีหน้ามิได้มีความเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างไร ตอนนี้เขาก็พอที่จะคาดเดาได้ อีกฝ่ายอย่างน้อยก็มาเพื่อที่จะช่วงชิงศิลาชำระสวรรค์อย่างแน่นอน ทว่าของสิ่งนั้นย่าว่าแต่ได้ถูกเสี่ยวหลุนกลืนกินเข้าไปแล้ว ต่อให้มี เยี่ยจงก็ไม่อาจมอบสิ่งของออกมาให้ได้

 

“เหอะเหอะ……”ชายหนุ่มผมม่วงยิ้มขึ้นมาเบาๆ ทอสีหน้าเยียบเย็นขึ้นกว่าเดิม “พี่ท่าน ไว้ข้าจะชดเชยกลับคืนให้ เพื่อเป็นการชดเชยการเข้าใจผิดของพวกข้าเอง”

 

เยี่ยจงขมวดคิ้ว หลังจากที่มองไปที่ชายหนุ่มผมม่วงแล้ว จึงได้กล่าวออกมาด้วยความเย็นชา “มีอันใดจะชี้แนะ ?”

 

“ชี้แนะนั้นมิกล้า เพียงแต่ว่าต้องการที่จะถามหาของสิ่งหนึ่งจากพี่ท่านก็เท่านั้นเอง”ชายหนุ่มผมม่วงก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา “ก่อนหน้านี้พี่ท่านได้นำเอาศิลาดำคล้ำก้อนหนึ่งออกไปจากร้านค้าภายใต้ความดูแลของข้า ยังคงขอให้พี่ท่านส่งมอบกลับคืนมา ไว้ข้าจะชดเชยให้อีกหลายเท่าตัว ข้าคิดว่า พี่ท่านที่มีท่าทางอันองอาจถึงเพียงนี้ คงไม่อาจไม่ยอมรับหรอกกระมั่ง ?”

 

“หากข้าบอกว่าไม่มีละ ?”เยี่ยจงเอ่ยปากขึ้นมาอย่างเย็นชา สีหน้ายังคงมิได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก

 

“เช่นนั้น พี่ท่านก็อย่ากล่าวโทษข้าว่าไม่รู้จักสัมมาคารวะและเหตุผลแล้ว !”ชายหนุ่มผมม่วงยกมุมปากขึ้นมา เผยเขี้ยวฟันอันขาวผ่องออกมา

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่น กลุ่ม 5-11 ราคา 600

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ INBOX ในเพจเลยครับ

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset