ตอนที่ 420 การปรากฏตัวของชนชั้นราชา
“ต้นไม้โบราณแห่งป่ามรกต……”
เยี่ยจงเหม่อมองไปที่ฉากเบื้องหน้า ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังใจเช่นเขา ตอนนี้ภายในใจต่างก็ยังมีอาการแตกตื่นขึ้นมาอยู่ชนิดหนึ่ง
นับตั้งแต่โบราณกาล ป่ามรกตเปรียบเสมือนดั่งตำนานเทพบทหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นอยู่จริง การปรากฏเมื่อครั้งที่แล้วไม่อาจที่จะเสาะหาพบตั้งแต่แรก วันคืนที่ตะวันขึ้นสู่ฟ้าครบสิบดวง ก็ได้ขึ้นมาจากทางด้านของป่ามรกตขึ้นมา และตอนนี้ ป่ามรกตถึงกับปรากฏขึ้นมาจากภายในของศิลาตะวันบริสุทธิ์ จนเป็นที่อดไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนต่างก็เกิดความคิดติดต่อกันขึ้นมา
“พวกเจ้าดู นั้นไม่ใช่พระอาทิตย์หรอกหรือ แต่กลับเป็นเพียงวังกลุ่มหนึ่ง……”มีคนหลุดปากกล่าวออกมาอย่างกะทันหัน เกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เขาราวกับว่าไม่กล้าที่จะมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองพบเจอ
“อะไรกัน!?”
ในขณะนี้เอง ราวกับว่าอัจฉริยะทั้งหมดต่างก็มองเข้าไปยังที่ห่างไกลในพริบตา มุ่งหน้ามองเข้าไปทางด้านนั้น จากนั้น ทุกๆคนต่างก็สามารถที่จะพบเห็นได้ว่า ในการปรากฏขึ้นมาของต้นป่ามรกตนั้นเปี่ยมเสมือนดั่งดวงอาทิคย์ที่สาดแสงสีทองขึ้นมา จนปรากฏวังโบราณขึ้นมา ประดุจดั่งตำนานเทพที่เล่าขานกันก็มิปาน
“ถึงกับเป็นสถานที่เช่นนี้เอง……”เสี่ยวหลุนจู่ๆก็ได้ส่งเสียงพร้อมกับถอนหายใจออกมากะทันหัน เห็นได้ชัดว่า มันต้องทราบอะไรบางอย่าง เพียงแต่ว่าไม่ว่าเยี่ยจงจะถามออกไปเช่นไร มันกลับไม่ยอมตอบกลับมา ราวกับกำลังนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ก็มิปาน
แม้แต่ราชาปีศาจโบราณเหล่านั้นที่อยู่ทางด้านหน้าตอนนี้แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าตกใจปรากฏขึ้นมา พวกมันต่างก็อยู่ในสภาพใช้ความคิดอย่างมากมาย เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าสายตาว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ในสถานที่แห้งนั้น เกรงว่าจะต้องมีวาสนาครั้งใหญ่แล้ว!”ราชามดทองคำกล่าวออกมาอย่างได้ใจ จากนั้นก็ได้ใช้สายตามองเข้าไปทางด้านหลังของอัจฉริยะผู้โดดเด่นจำนวนมากคราหนึ่ง ราวกับต้องการที่จะท้าทายคนพวกเขาก็มิปาน
ผู้คนทั้งหมดต่างก็เงียบงันกันเป็นสาย ใบหน้าดำคล้ำ ยังคงเกรงว่าพวกเขาจะคาดเดาไม่ออกถึงจุดสูงสุดของวังโบราณที่อยู่ท่ามกลางป่ามรกต แน่นอนว่าย่อมต้องมีวาสนาครั้งใหญ่แล้วมิใช่หรือ?
“หากว่าที่กล่าวขึ้นมาเป็นจริงแล้วละก็ เกรงว่าคงจะใช้ต้องเรือเพื่อที่จะข้ามผ่านทะเลสายนี้จึงจะได้แล้ว ”ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะกล่าวขึ้นมาเสียงแผ่วเบา กำลังอยู่ในการครุ่นคิด เมื่อครู่สภาพที่เกิดขึ้นของราชาม้าเขาเดียวทุกผู้คนต่างก็พบเห็นได้ ในช่วงเวลาเช่นนี้ คงจะไม่มีผู้ใดคิดที่จะพึ่งพาแต่กำลังของตนเองเพื่อที่จะเข้าไปสู่ป่ามรกตแล้ว
“ทางด้านนั้นมีเรืออยู่ลำหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด อาจจะเป็นโอกาสก็เป็นได้ ”ราชาวิหคตะวันทองคำกล่าวพึมพำออกมา จากนั้นก็ได้ถอยออกไปทางด้านหลัง
“ซวบ——”
ราชาปีศาจโบราณกลุ่มนี้พึ่งจะลงมือ ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งผืนฟ้าทางด้านหลัง ก็ได้พบเห็นกับเงาของบางอย่างปรากฏขึ้นมาปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้าเข้ามา ท่ามกลางครึ่งหนึ่งนั้นกลับเป็นไก่ฟ้าโบราณกาลสีขาวขึ้นมา ส่วนอีกทางด้านหนึ่งกลับเป็นนกกระจอกที่ร่างกายเต็มไปด้วยพลังเพลิงไฟทั่วทั้งร่างกาย
“นี้มัน……เผ่าไก่ฟ้าโบราณกาลและเผ่านกกระจอกจูโร”อัจฉริยะกลุ่มหนึ่งก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน มีคนจดจำทั้งสองเผ่าพันธุ์ขึ้นมาได้ ทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นถือได้ว่ามีความแข็งแกร่งมากมายอย่างถึงที่สุดภายในดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่คนที่มาจากด้านนอกไม่อาจที่จะไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้ ตอนนี้ ทั้งสองเผ่าต่างก็จัดการส่งกลุ่มผู้คนจำนวนมากเข้ามา เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าได้แล้ว
ราชาปีศาจโบราณเหล่านั้นตอนนี้ต่างก็ประหลาดใจขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาพบเจอกับฉากเบื้องหน้าเช่นนี้ จนทำให้พวกมันค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นมา
“สหายร่วมแนวทางทุกท่าน พวกเจ้าคงจะไม่ทราบกันว่า วังโบราณนั้นเป็นสุสานใหญ่ของจักรพรรดิใด……โดยเฉพาะอย่างเจ้า ราชาวิหค เจ้าก็ถือได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีต้นกำเนอดมาจากดินแดนแห่งนี้ ท่านผู้นั้นก็ถือได้ว่าเป็นดั่งบรรพบุรุษเดียวกันกับพวกข้า นี้มิใช่เหมือนกับการไม่เคารพหรอกอย่างงั้นหรือ?”ท่ามกลางเผ่าไก่ฟ้าโบราณกาลและนกกระจอกจูโร ราชาของแต่ละฝ่ายต่างก็มาจนถึงพื้นดิน ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลมองเข้าไปที่ราชาวิหคตะวันทองคำนั้นคราหนึ่ง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พี่ไก่ฟ้าโบราณกาล สุสานใหญ่ของจักรพรรดิของท่านผู้นั้น ข้าย่อมไม่อาจที่จะไม่เคารพได้ แต่ว่าสิ่งของที่ท่านผู้นั้นเหลือทิ้งเอาไว้ กลับไม่อาจสามารถที่ปล่อยให้เปรอะเปื้อนเช่นนี้ไปได้ตลอด อีกทั้ง ต่อให้ข้าไม่ลงมือ เจ้าเด็กน้อยที่มาจากทางด้านนอกเหล่านั้น ก็คงไม่ละความพยายามหรือไง?”ราชาวิหคตะวันทองคำหัวเราะขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะมีความหวาดเกรงต่อราชาไก่ฟ้าโบราณกาลอยู่หลายส่วน แต่ว่ากลับไม่มีความหวาดเกรงจนเกินไป
อัจฉริยะที่มาจากทางด้านนอก ตอนนี้ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ต่างก็มีการตัดสินใจที่จะรวมตัวกันขึ้นมา ทุกๆคนต่างก็ค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นมา หากว่าเป็นเผ่าไก่ฟ้าโบราณกาลและเผ่านกกระจอกจูโรคิดที่จะลงมาในตอนนี้แล้วละก็ อย่างน้อยก็คงจะต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นมาอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า อัจฉริยะเหล่านั้นต่างก็มีความเชื่อมั่นอยู่เต็มสิบส่วน ตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดที่จะถอยออกไป
ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลขมวดคิ้วขึ้นมามองไปที่อัจฉริยะจากด้านนอกในขณะนี้ แล้วจึงได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ:“ต่อให้พวกเจ้าทั้งหมดขึ้นไปด้วย ก็มีแต่เพียงไปบูชาโลหิตเท่านั้น มีประโยชน์อะไรกัน?”
“เหอะ พี่ไก่ฟ้าโบราณกาล ความหมายของเจ้าก็คือ เจ้าพวกเหล่าชนชั้นรุ่นหลังเหล่านี้สามารถขึ้นไปได้อย่างงั้นหรือ?ไม่เช่นนั้น พวกข้าก็จะสาบาตตนร่วมกัน แน่นอนว่าต้องไม่เป็นการลบหลู่บรรพบุรุษผู้นั้นของพวกเขาในสุสานใหญ่ของจักรพรรดิ เพียงแต่เป็นการเสาะหาตำนานมิใช่หรือ?ในเมื่อเป็นคำบอกเล่าที่ผ่านมาจากบรรพบุรุษท่านนั้น ก็คงจะต้องปรากฏขึ้นในดินแดนตอนนี้แล้ว หากว่าเป็นเศษซากของเมืองร้าง ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี เจ้าไม่คิดหรือว่า พลังยุทธ์การฝึกฝนของดินแดนของพวกเขา จุดสูงสุดก็คือระดับราชา นี้กลับมิใช่เหตุผลที่ทั่วทั้งฟ้าดินจะต้องมีกฎเกณฑ์ แต่กลับไม่สมควรที่จะมาเพื่อที่จะฝึกปรือ ตอนนี้ป่ามรกตปรากฏขึ่นมาอีกครั้ง นี้ก็เป็นเหมือนพวกเขาได้ไปลบหลู่บรรพบุรุษผู้นั้นแล้ว ”ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะหัวเราะฮิฮะกล่าวออกมา ราวกับกำลังอธิบายออกมา แต่ว่ากลับเป็นที่น่าแปลกอย่างถึงที่สุด
ถึงแม้ว่า เผ่าพันธุ์ของไก่ฟ้าโบราณกาลและเผ่าพันธุ์ของนกกระจอกจูโรต่างก็ต่างก็ถือได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความแข็งแกร่งแห่งดินแดนนี้ แต่ว่าก็เป็นประดุจดั้งอย่างที่ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะกล่าวออกมาก็มิปาน ว่าภายในท่ามกลางดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้ ผู้ที่อยู่ในชนชั้นราชา พวกเขาต่างก็ถือได้ว่าเป็นที่สุดของดินแดนนี้ ต่อให้ตอนนี้เผ่าพันธุ์ไก่ฟ้าโบราณกาลและเผ่าพันธุ์นกกระจอกจูโรต่างก็เป็นยอดฝีมือจำนวนมากเข้ามา แต่ว่าพวกเขาใช่ว่าจะเกรงกลัว
ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลและราชานกกระจอกจูโรสบตามองกันคราหนึ่ง สีหน้าต่างก็ได้ปั้นยากขึ้นมาอยู่หลายส่วน ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์ทั้งสองตอนนี้จะสื่อความหมายออกมาเช่นนี้ คิดที่จะต้านทานกลุ่มพวกราชาปีศาจโบราณนั้นถือได้ว่าไม่ยากเย็น แต่ว่าอย่างน้อยก็คงจะต้องจ่ายออกไปในราคาค่างวดที่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน
“พวกเจ้าทั้งสองตระกูล นอกเสียจากว่าต้องการที่จะหลงลืมบรรพบุรุษกัน หากว่าข้าจดจำไม่ผิดแล้วละก็ บรรพบุรุษท่านนั้นของพวกเขาได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ หากว่ามีการปรากฏขึ้นมาของป่ามรกต ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ย่อมที่จะสามารถที่จะเข้าไปได้ ขอเพียงมีชีวิตกลับออกมาได้ก็เพียงพอแล้ว ”มีคนได้ค่อยๆก้าวเดินออกมา คนผู้นี้มีรูปลักษณ์ใหญ่โตตัวสีแดงเพลิง บนร่างกายสวมเอาไว้ด้วยชุดเกราะสีแดง ใบหูทั้งสองข้างประดุจงูเหลือมสีแดงเพลิงสองตน ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
เผ่าพันธุ์ควาฟู่
https://goo.gl/whvz79
ผู้คนทั้งหมดต่างก็ค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นมา สีหน้าปั้นยากขึ้นมาอย่างถึงที่สุด คิดไม่ถึงว่าราชาของเผ่าพันธุ์ถึงกับปรากฏขึ้นมา
เผ่าพันธุ์ควาฟู่ถือได้ว่ามีความน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดเผ่าพันธุ์หนึ่ง ในสมัยก่อนนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์นี้ได้สยบไปทั่วสี่ทิศมาก่อน เพื่อที่จะเข่นฆ่าสังหารวิหคทองคำในตำนาน ก็ได้ไล่ตามวิหคทองคำไปทั่วทั้งสี่ดินแดน ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดจะมิอาจที่จะทำได้สำเร็จ จนปล่อยให้วิหคทองคำหลบหนีไปได้ กลับคืนสู่การเป็นดวงตะวันอีกครั้ง แต่ว่านี้ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกได้ถึงความน่าหวาดกลัวของเผ่าพันธุ์นี้ได้แล้ว
“มวลเทพแห่งฟ้าดิน、เป็นดั่งตำนานที่ไม่เสื่อมคลาย พบเจอไขว่คว้ากับวาสนา สมควรที่จะเป็นเช่นนี้แล้ว ”มีงูเหลือมขนาดใหญ่ตนหนึ่งโผล่ออกมา กลายร่างจนกลายเป็นร่างมนุษย์ผิวสีเขียวขึ้นมา เขาหัวเราะฮิฮะขึ้นมาเสียงเย็นชา อีกทั้งยังทอสีหน้าเย็นเยียบขึ้นมา
ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลและราชานกกระจอกจูโรต่างก็ทอสีหน้าแปลกใจขึ้นมา การปราฏตัวของราชาปีศาจตอนนี้ยิ่งมายิ่งมาก ต่อให้เป็นพวกเขาใช้พลังออกมาทั้งหมด ก็ใช่ว่าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสามารถที่จะสัมผัสได้ว่า กลุ่มนั้นตอนนี้ก็ได้เกิดความสงสัยถึงยอดฝีมือที่มาจากภายนอกแน่นอนว่าย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นเอง ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลในที่สุดก็ได้กล่าวออกมาเสียงเย็นชา:“เยี่ยม ในเมื่อสหายร่วมแนวทางไม่ชมชอบที่จะรับฟังคำเตือน เช่นนั้นก็ขอเชิญเข้าสู่ทะเล เพื่อตามหาวาสนากันเถอะ ”
ราชานกกระจอกจูโรที่อยู่ทางด้านข้างก็ได้ส่งเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นเขาก็ได้โบกมือคราหนึ่ง แล้วก็ได้พบว่าท่ามกลางของเผ่าพันธุ์ไก่ฟ้าโบราณกาลและเผ่าพันธุ์นกกระจอกจูโร แต่ละฝ่ายต่างก็ส่งตัวแทนออกมาสิบคน ยืนอยู่บริเวณทางด้านหลังของพวกเขา และส่วนไก่ฟ้าโบราณกาลและนกกระจอกจูโรตนอื่นๆ ก็ได้ถอยออกอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่า ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลและราชานกกระจอกจูโรก็ต้องการที่จะลงมือในเวลาเดียวกัน เพื่อที่จะแย่งชิงกับวาสนาในครั้งนี้
จากนั้น ราชาปีศาจเหล่านี้ต่างก็ได้ต่างฝ่ายต่างแยกออกจากกัน จ้องมองเข้าไปยังทางด้านของเรือที่อยู่บนท้องทะเล เพื่อที่จะเสาะหาวิธีในการเข้าสู่เรือ
แต่ว่าที่น่าประหลาดใจก็คือ นับตั้งแต่เริ่มจวบจนถึงบัดนี้ เหล่าราชาปีศาจกลับไม่ได้ลงมือต่อยอดฝีมือที่มาจากด้านนอก ราวกับทำเหมือนกับว่าพวกเขานั้นไม่มีตัวตนอยู่ก็มิปาน
เมื่อได้เหม่อมองไปยังพลังฝีมือของราชาปีศาจของแต่ละฝ่ายได้ที่ได้ไปจนถึงเรือแล้ว สีหน้าของอัจฉริยะมากมายก็ได้ทอแววประหลาดใจขึ้นมาอย่างมาก ถึงกับไม่เห็นอยู่ในสายตาเช่นนี้ กล่าวออกมาอย่างง่ายดายก็แทบจะไม่ต่างจากการเหยียบหยามเกียรติแม้แต่น้อย
“ท้องทะเลผืนนี้ ยังคงมีการเปิดขึ้นมาของต้นไม้เทพมรกตอยู่ อย่างน้อยก็คงจะมีความเกี่ยวข้องกับการออกเดินทางของพวกข้า อีกทั้ง ท่ามกลางท้องทะเลสายนี้ก็ยังพอที่จะสามารถก่อรวมเอาสิ่งที่ภยันตรายอันยิ่งใหญ่ การเดินทางแต่ละก้าวสมควรที่จะระวังเอาไว้ให้ดี หากไม่ระวังแม้แต่น้อยแล้วละก็ อย่างน้อยก็คงจะต้องตายตกลงไปอย่างแน่นอนแล้ว ”มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ชุดสีเขียวของเขาลอยพลิ้วไหวไปมา มีใบหน้าประดุจดั่งหยก เส้นผมเส้นยาวลอยระบำไปมา ดวงตาทอเป็นประกายเจิดจ้า ในเวลาเดียวกันที่ใต้เท้าของเขาก็ได้เหยียบอยู่บนหอกยาวสีเขียวเล่มหนึ่ง ทอประกายหลั่งไหลพลังความเย็นเยียบออกมาเป็นสายแผ่กระจายออกมาจากตัวของหอกยาว
บุคคลผู้นี้แท้จริงแล้วก็คืออัจฉริยะแห่งหุบเขาเทพชิงหวิน ชุดเขียว ตอนนี้เขาก็ได้เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ เพื่อที่จะทำให้ผู้คนมากมายต้องตกอยู่ภายใต้สภาวะความกังวลขึ้นมา เป็นเหมือนกับการกล่าวออกมาในความคิดของผู้คนจำนวนมากขึ้นมา
เยี่ยจงยืนอยู่ที่บริเวณส่วนปลายของกลุ่มผู้คน จ้องมองเข้าไปยังบุคคลผู้นี้อย่างลึกล้ำ แต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมามากมาย ขุมกำลังใหญ่เหล่านี้ต่างก็มีความแค้นที่ไม่อาจที่จะอยู่ร่วมกันได้กับเขา หากว่ามีโอกาส เขาย่อมไม่ลังเลที่จะที่จะจัดการเด็กน้อยเหล่านี้เพื่อทิ้งให้อยู่ภายในสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
“อย่างน้อยก็คงจะเป็นเหมือนกับราชาปีศาจเหล่านั้นก็มิปาน เสาะหาเรือเพื่อที่จะจะเข้าไปสู่ป่ามรกต อย่าได้มัวแต่ชักช้า หากว่าล้าหลังแล้วละก็ วาสนาทั้งหดทั้งมวลต่างก็คงจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว ”มีคนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ภายในคำพูดแฝงเอาไว้ด้วยความเชื่อมั่นอยู่ชนิดหนึ่ง ราวกับขอเพียงพวกเขาเริ่มออกเดินทาง ก็จะสามารถได้รับวาสนาที่แน่นอนได้ก็มิปาน
ไม่นานนัก มีอัจฉริยะหลายคนเริ่มที่จะก้าวเดินออกไป พวกเขาต่างก็ถือได้ว่ามีพลังฝีมืออยู่พอตัว ใช้พลังสภาวะดึงดูดเรือลำหนึ่งเข้ามา เรือลำนี้มีลักษณะสีขาวส่วนหัวแหลมเรียว ในส่วนของภายในนั้นกลับว่างเปล่า มิได้มีสิ่งของใดๆ ไม่นานนัก อัจฉริยะหลายคนนี้ก็ได้ขึ้นไปบนเรือด้วยกัน หลังจากนั้นไม่นานนักก็ได้มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณใจกลางของทะเลผืนนี้
“ในเมื่อต้องการเช่นนี้ ”เมื่อมีคนกลุ่มแรกกระทำได้สำเร็จ ไม่นานนักก็ได้มีคนอื่นๆใช้พลังของฝ่ายตนเองออกมา เพื่อที่จะใช้สภาวะดูดเรือลำนี้มาจากท่ามกลางท้องทะเลเข้ามา อัจฉริยะเหล่านี้ความจริงแล้วเดิมทีก็อยู่ในกลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ได้มีผู้คนไม่น้อยได้รวมตัวกันขึ้นมา วินาทีนั้นก็ได้ร่วมกันออกความคิด มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณส่วนลึกของท้องทะเลผืนนี้ เข้าไปในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของป่ามรกต
ไม่นานนัก อัจฉริยะที่อยู่ท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ต่างก็เดินไปมาอย่างระเกะระกะ หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น คนกลุ่มนี้ถือได้ว่ามีความรอบคอบกว่าผู้อื่น พวกเขาได้เข้าไปใกล้ยังเรือทั้งหมดสามลำเอาไว้ จึงได้เลือกสรรเรือที่มีขนาดใหญ่กว่าลำอื่น แล้วจึงตระเตรียมเพื่อที่จะเข้าไปยังภายใน
“ท่านซิง หรือไม่ท่านก็มาด้วยกันกับพวกเราดีหรือไม่?”ท่ามกลางคนกลุ่มนี้ โหยวเหลียนก็ได้กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางได้ปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ทว่ากลับยังคงเงียบอยู่ก็เท่านั้น ตอนนี้นางราวกับพึ่งจะมาให้ความสนใจต่อเยี่ยจงก็มิปาน ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ทางด้านข้างของนางหลายคนก็ได้ค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นมา เหม่อมองไปที่“ซิง”ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจอยู่หลายส่วน เห็นได้ชัดว่า พวกเจ้าไม่ต้องการที่จะขึ้นไปยังเรือลำเดียวกันกับ“ซิง”ผู้นี้
“นางเซียนโหยวเหลียน พวกข้าคนครบกันแล้ว หากว่าต้องมาเพิ่มคนที่ไม่รู้จักที่มาที่ไปแล้วละก็ คงจะชักนำความลำบากมาให้ ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้ต่างก็ถือได้ว่ามีความแค้นกับคนในกลุ่มของพวกเรา หากว่าเข้าไปร่วมกันแล้ว เกรงว่าคงจะไม่ดีหรอกกระมั่ง?”มีคนเอ่ยขึ้นมา ด้วยคำพูดที่เย็นชา
“ท่านซิงถือได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งยุค พลังฝีมือไม่ธรรมดาสามัญ ในเมื่อเขามีเพียงแค่คนเดียวแล้ว พวกเรามีเขาอยู่ด้วย ตามรายทางหากพบเจอกับศัตรู ไม่แน่ว่าอาจจะพอที่จะสร้างความปลอดภัยให้ได้บ้างไม่มากก็น้อย มิใช่หรือ?”อีกทางด้านหนึ่ง ชิงหญิงเอ่ยปากตอบกลับมาในทันที
โหยวเหลียนและชิงหญิงสองสาว ต่างก็มีความแค้นร่วมกัน แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าทั้งสองตอนนี้ถึงกับตัดสินใจมาขึ้นเรือลำเดียวกัน
.
.
.
.