เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 428 ผู้มาจากวัฏจักรหวนคืน

ตอนที่ 428 ผู้มาจากวัฏจักรหวนคืน ?

บุรุษใบหน้าสีเงินในตอนนี้ก็ได้เกิดความลังเลขึ้นมา การแสดงออกของเขาเป็นที่ทำให้ผู้คนมองไม่ออกว่า แต่ว่าภายในดวงตาราวกับเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเป็นสาย เห็นได้ชัด การแสดงออกของ” ซิง” ทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวอย่างไร้ที่เปรียบ หากว่าแข็งแกร่งลงมือออกไปแล้วละก็ อย่างน้อยก็คงต้องจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเขา

หากมองในระดับความเป็นไปได้เช่นนี้แล้ว ในตอนนี้ ก็สามารถมองเห็นถึงสภาพไร้ความเชื่อมั่นในการท้าทายของบุรุษหน้าเงินที่มีต่อเยี่ยจง

“เจ้าคิดที่จะต้องการน้ำตาเทวะแห่งดวงอาทิตย์ในมือข้ามากเลยอย่างงั้นหรือ ? ย่อมได้ ขอเพียงเจ้าสามารถรอดพ้นไปจากการลงมือและรอดจากไปได้ ข้าก็ยินยอมที่จะมอบให้แก่เจ้าหยดหนึ่ง ” เยี่ยจงค่อยๆ ก้าวออกไปทางด้านหน้า ทอสีหน้าเย็นเยียบอย่างถึงที่สุด สิ่งนี้เป็นเหมือนท่าทีที่ไม่แยแสชนิดหนึ่ง แฝงเอาไว้ด้วยความเหยียดหยามอยู่ชนิดหนึ่ง

บุรุษใบหน้าสีเงินภายในดวงตาก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่า ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมตัวที่จะเอ่ยปากขึ้นมาทันใดนั้นเอง ในระหว่างนั้นเอง ก็ได้เกิดบรรยากาศของพลังจุดสูงสุดแห่งดวงตะวันอันเข้มข้นขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ในระหว่างนั้นเองก็ได้แผ่กระจายอยู่บริเวณเหนือศีรษะของผู้คนมากมาย

“นั้นมัน——”

ผู้คนทั้งหมดราวกับเงยหน้าขึ้นมาภายในพริบตาในเวลาเดียวกัน มุ่งหน้ามองเข้าไปบริเวณทางด้านหลังมองออกไป แล้วก็ได้พบว่า ตอนนี้ที่พื้นที่ว่างเปล่าของดอกไม้นั้นทางด้านบนของดอกศิลาดวงตะวันดอกนั้นก็ได้แผ่กระจายพลังขึ้นมา ไม่ทราบว่าได้มีเงาร่างสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเวลาใด

ท่าทีและการวางตัวของเงาร่างสายนี้ถือได้ว่างดงามอย่างยิ่ง เขาหรือว่านางได้สวมเอาไว้ด้วยชุดสีทองอยู่บนร่างกาย ร่างกายกลับมิได้ความสูงใหญ่มากมายนัก แต่ว่ากลับไม่ทราบว่าเขาได้ยืนอยู่ทางด้านบนของของดอกศิลานั้นตั้งแต่ช่วงเวลาใดกันแน่ กระนั้นสภาวะไม่เห็นอยู่ในสายตาก็ได้ทำลายสภาวะที่อยู่ท่ามกลางอากาศอย่างน่าหวาดกลัว แล้วก็ได้ยืนมือไพล่หลังอยู่เช่นนี้

“คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเวลาใดกัน ! ? ”

ผู้คนทั้งหมดในตอนนี้ต่างก็ละสายตากลับมา ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่มาจากภายนอก หรือว่าจะเป็นราชาปีศาจที่อยู่ภายในดินแดนขนาดเล็ก บนใบหน้าก็ได้เผยออกมาถึงสีหน้าของการครุ่นคิดเผยออกมา นั้นก็เพราะว่าทุกผู้คนต่างก็เริ่มที่จะยืนยันได้ ว่าไม่เคยพบเจอกับคนผู้นี้มาก่อน แต่ว่าคนผู้นี้ตอนนี้กลับปรากฏตัวออกมาอย่างไม่ทราบที่มาที่ไปอยู่ทางด้านบนของดอกศิลาดวงตะวันดอกนี้ เขาหรือว่านางมิได้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมาให้เห็น มีแต่เพียงแผ่นเงาหลังเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะหยุดผู้คนทั้งหมดเอาไว้ได้

ดอกศิลาดวงตะวันในตอนนี้ก็ได้ค่อยๆ ขยับเคลื่อนไหวขึ้นมา ผู้คนมากมายสามารถที่จะพบเห็นได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางดอกศิลาดวงตะวันสีหน้าดอกนี้ได้มีการเปล่งประกายสีทองและขยับใบไม้เพื่อหลั่งหยาดน้ำออกมา นี้ก็คือน้ำตาเทวะแห่งดวงอาทิตย์

เพียงแต่ว่า ในครั้งนี้น้ำตาเทวะแห่งดวงอาทิตย์เหล่านี้กลับมิได้หลุดออกมา จากนั้นก็ได้ค่อยๆ เก็บเข้าไปยังเงาร่างสีทองที่เข้ามาผู้นั้น จนทำให้เกิดบรรยากาศความลี้ลับขึ้นมา

“คนผู้นี้ ถึงกับสามารถที่จะควบคุมดอกศิลาดวงตะวันดอกนั้นได้ ช่วงชิงเอาน้ำตาเทวะแห่งดวงอาทิตย์ไป ” มีคนเอ่ยปากขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ กลืนน้ำลายเข้าไปคำหนึ่ง นั้นก็เพราะว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสายคนของคนใดก็มองออกได้ว่า คนผู้นี้ได้รับน้ำตาเทวะแห่งดวงอาทิตย์ไป คาดว่าหากเป็นไปอย่างที่คาดเดาเอาไว้ มีความเป็นไปได้อย่างมาก ท่ามกลางดอกศิลาดอกนั้นได้รวมเอาไว้ด้วยพลังความสามารถเทวะเอาไว้อยู่ทั้งหมด ต่างก็ได้ถูกดูดเข้าไปยังร่างของคนผู้นี้ไปแล้ว

และที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือ คนผู้นี้เพียงแต่ยืนอยู่ในฝ่ายใด ดอกศิลาดวงตะวันนั้นก็ได้เคลื่อนไหวอุทิศพลังความสามารถแห่งเทวะออกมามอบด้วยตัวเอง ฉากนี้ ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความลี้ลับและสงสัยอย่างถึงที่สุด

ในขณะนั้นเอง ผู้คนไม่น้อยต่างก็รู้สึกเจ็บที่หัวใจของตนเอง、ทั้งปวดตามกล้ามเนื้อ、ปวดศีรษะ ตลอดทั่วทั้งร่างก็ได้เกิดความเจ็บปวดขึ้นมา แต่ว่าแม้จะเกิดขึ้นเพียงวูบเดียว ในขณะนั้นเองไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่หาญกล้าพอที่จะลงมือออกไปแม้แต่คนเดียว อย่างน้อย ซากศพทางด้านล่าง ก็เป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าในจุดที่ดอกศิลาดวงตะวันอยู่ในตอนนี้ ที่แท้แล้วมีความอันตรายมากแค่ไหน

“นี้……คงมิใช่การแปลงกายของดอกไม้ปีศาจหรอกนะ ? ” เสี่ยวหลุนกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา ส่งเสียงไปยังเยี่ยจง นี้เป็นเพียงความคิดเห็นของมัน และก็มีความเป็นไปได้อย่างมาก

“ก็ไม่แน่ ” เยี่ยจงกลับส่ายหน้าเบาๆ สมควรที่จะเป็นปีศาจแปลงกายที่มีความไม่ปกติธรรมดาเช่นนั้น แต่ว่าไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร สิ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันก็ยังเป็นคนอยู่ กลับทำให้สภาวะของสถานที่แห่งนี้เกิดความซับซ้อนมากจนถึงขีดสุด หากว่าคิดที่จะไล่ตามเพื่อที่จะเก็บเกี่ยวตำนานที่ถูกเล่าขานกัน ก็คงจะมีความเป็นไปได้ที่จะทวีความยากลำบากมากขึ้นอีกอย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง

“ตื่นจากการหลับฝันมานับพันปี ภายในใจไร้ซึ่งการกักขังของบุญคุณความแค้น เอื้อนเอ่ยถามออกไปทุกผู้คนทั่วล้า จะสามารถตัดขาดจากวาสนาแห่งวัฏจักรหวนคืนแค่ไหนกัน……”

ทันใดนั้น ก็ได้เกิดเสียงถอนหายใจอันมืดมนรอดออกมาเป็นสาย น้ำเสียงนั้นทุ่มต่ำอย่างถึงที่สุด จนทำให้ผู้คนไม่อาจที่จะสามารถฟังออกได้ชัดเจน ว่าที่แท้ผู้ที่กล่าวเป็นบุรุษหรือว่าสตรี

แต่ว่าในขณะนั้นเอง ยอดฝีมือท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ทั้งหมดก็ได้เงยหน้าขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทอดสายตามองไปยังบนเงาร่างที่สวมไว้ด้วยชุดสีทอง นั้นก็เพราะว่า ผู้ที่กล่าวออกมา นอกเสียจากว่าเขาหรือว่านางแล้ว ก็คงจะไม่มีผู้อื่นแล้ว

“หรือว่า นี้จะเป็นวัฏจักรหวนคืนของท่านบรรพบุรุษ……” ราชานกกระจอกจูโรก็ได้กล่าวออกมาอย่างกะทันหัน ภายในน้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความสงสัยขึ้นมาเป็นสาย อีกทั้งยังมีความตื่นเต้นขึ้นมาเป็นสาย หากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแล้วละก็ เช่นนั้นในวันนี้ผู้คนทั้งหมดต่างก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดการแย่งชิงอะไรอีกแล้ว

“วัฏจักรหวนคืนของท่านบรรพบุรุษ ? ” หลังจากที่เงียบงัน ยอดฝีมือทั้งหมดต่างเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมา คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมาในช่วงเวลาที่มีความเหมาะเจาะเป็นอย่างมาก ก็เรียกได้ว่าน่าแปลกมากแล้ว หากว่าเป็นตำนานที่ตามคำเล่าขานจากท่ามกลางตำหนักโบราณว่าเป็นท่านผู้นั้นวัฏจักรหวนคืนแล้วละก็ เช่นนั้นพลังฝีมือของคนเบื้องหน้าสายตา อย่างน้อยก็คงจะอยู่ในระดับความน่ากลัวที่ยากจะคาดเดาเอาไว้ได้แล้ว

“ท่านบรรพบุรุษ ! หลานเหลนไร้ความสามารถ ไม่อาจที่จะปกป้องคุ้มครองต้นมรกตโบราณเอาไว้ได้ ปล่อยให้เผ่าพันธุ์ภายนอกเข้ามาภายในได้ ! ” ในระหว่างนั้นเองราชานกกระจอกจูโรก็ได้ก้าวเดินขึ้นมาอย่างกะทันหัน ส่งเสียงเปี่ยมมารยาทกล่าวออกมา เห็นได้ชัด เขาถือได้ว่าทราบได้อย่างชัดเจนถึงสถานะของคนผู้นี้

เงาร่างที่ยืนอยู่ทางด้านบนของดอกศิลาดวงตะวันในขณะนั้นเองก็ได้พยักหน้าตอบรับ เขาหรือว่านางนั้นมีใบหน้าที่เปล่งประกายสีทองขึ้นมาเป็นสาย จนทำให้ผู้คนไม่อาจที่มองเห็นรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจนได้ แต่ว่าทันทีที่เห็นการตอบรับกลับมาในพริบตานั้น ราชานกกระจอกจูโรนั้นก็ได้ส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ล้มลุกคลุกคลานถอยหลังไป ในเวลาเดียวกัน ภายในดวงตาของมันก็ได้มีโลหิตสีดำทมิฬหลั่งไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้พึ่งได้รับบาดอย่างหนัก

“ที่แท้จะใช่วัฏจักรหวนคืนของท่านบรรพบุรุษ ” ราชาไก่ฟ้าโบราณกาลก็ได้ก้าวเดินออกมา จากนั้นก็ได้มองไปทางด้านของราชานกกระจอกจูโรคราหนึ่ง

“ไม่อาจทราบได้ ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน ” ราชานกกระจอกจูโรทอสีหน้าสงสัยออกมาอย่างถึงที่สุด ร่างกายก็ได้สั่นเทาขึ้นมาน้อยๆ หากว่าเป็นวัฏจักรหวนคืนของท่านบรรพบุรุษผู้นั้นจริง เช่นนั้นหากกล่าวถึงเผ่าพันธุ์ทั้งสองของพวกมันแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก แต่ว่าถ้าหากไม่ใช่แล้วละก็ ในครั้งนี้การเดินทางมายังต้นไม้มรกต เกรงว่าคงจะเกิดเหตุแปรเปลี่ยนขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว

“จะเป็นการฟื้นคืนกลับมาของท่านบรรพบุรุษจริงหรือเปล่ากัน ? ” เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา เขาจ้องมองไปยังบุคคลเบื้องหน้าสายตา คนผู้นี้ตอนนี้ก็ได้มีบรรยากาศที่สงบอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ มองไม่ออกว่ามีความพิเศษเฉพาะในที่ใด แต่ว่าก็เป็นเพราะเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนรู้สึกยากที่คาดเดาได้ ดูไปแล้วน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด

ระหว่างนั้นเอง เงาร่างชุดทองก็ได้ก้าวออกไปจากท่ามกลางอากาศ ร่างกายก็ได้เคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ยากจะคาดคิดเอาไว้ได้ขึ้นมา ตรงดิ่งมุ่งหน้าเข้าไปบริเวณทางด้านที่ตั้งของตำหนักโบราณนั้น

ความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ผู้คนทั้งหมดต่างก็มีปฏิกิริยากลับมาไม่ทัน นั้นก็เพราะว่าเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที เงาร่างสายนี้ก็ได้เลือนหายไปแล้ว

“หากว่าคนผู้นี้มิใช่วัฏจักรหวนคืนของท่านบรรพบุรุษผู้นั้นของพวกเจ้าแล้วละก็ เช่นนั้นพวกเราก็คงจะเจอกับเรื่องยุ่งยากครั้งใหญ่ขึ้นมาแล้ว ” บุรุษผิวเขียวเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยากลับมา มันกวาดสายตามองไปทางด้านข้างอย่างเย็นเยียบไปทางด้านของราชาไก่ฟ้าโบราณกาลและราชานกกระจอกจูโรคราหนึ่ง ร่างกายก็ได้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อพบเห็นความเคลื่อนไหวของมัน ยอดฝีมือทั้งหมดก็ประดุจพึ่งตื่นจากความฝัน แต่ละคนต่างก็ทะยานร่างออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจไปที่เยี่ยจงอีก นั้นก็เพราะว่าทุกผู้คนต่างก็ทราบแล้วว่า สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดอย่างแท้จริง อย่างน้อยก็คงจะต้องอยู่ภายในท่ามกลางตำหนักนั้น

เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากนั้น เขาก็ได้ขยับร่างกายคราหนึ่ง ติดตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การตัดสินใจ เขาก็สัมผัสได้ว่า ตอนนี้การเข้าสู่ท่ามกลางตำหนัก แน่นอนว่าย่อมต้องมีอันตรายนานัปการอย่างแน่นอน แต่ว่า หลังจากที่ได้เดินเข้าไปแล้วก้าวหนึ่ง หากว่าดอกไม้นั้นถอยกลับออกมา เขาก็ไม่สนใจอยู่ดี ได้แต่เพียงเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง

ในครั้งนี้ อัจฉริยะท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ทั้งหมดและราชาปีศาจต่างๆ นานา ก็ได้มุ่งหน้าเข้าไปยังทางด้านของตำหนักเข้าไป นั้นก็เพราะว่าตอนนี้สภาวะที่เกี่ยวข้องกับการปิดกั้น ทุกผู้คนต่างก็ไม่อาจที่จะใช้ออกมาด้วยความเร็วที่มากมายนัก จนช่วงเวลาเมื่อได้มาจนถึงบริเวณทางด้านหน้าของตำหนักโบราณ ช่วงเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งก้านธูป

ตำหนักโบราณเก่าแก่ ก็ได้เริ่มจุดประกายแสงสีทองขึ้นมา ราวกับว่าร่างแต่เดิมของมันเป็นดวงอาทิตย์ก็มิปาน จนทำให้ไม่อาจที่จะมองเห็นได้ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วมันมีขนาดใหญ่โตถึงเพียงไร

มีแต่เพียงสิ่งที่ทำให้ผู้คนเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ประตูศิลาทางด้านหน้าอันเก่าแก่ตอนนี้ก็ได้ถูกคนดันออกมา เผยออกมาให้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศความลึกล้ำทางด้านใน

เมื่อได้ใช้สายตามองเข้าไป ก็จะสามารถพบเห็นกับสิ่งป้องกันมากมายนับไม่ถ้วนตามรายทางถูกผู้คนใช้พลังฝีมือในการทำลายมันลงไป ฉากเบื้องหน้านี้ทำให้ผู้คนทั้งหมดเห็นจนเป็นที่หน้าตื่นตกใจ

ควรทราบว่า สิ่งป้องกันเหล่านี้หากว่ามีคนต้องการปลดทำลายแล้วละก็ จำเป็นที่จะต้องสูญเสียทั้งเวลาและพลังอันมหาศาล แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตอนนี้ถึงกับถูกผู้คนทำลายมันลงไปเช่นนี้ได้ และยิ่งไม่ต้องคิด ผู้ที่ลงมือ ย่อมต้องเป็นเงาร่างสีทองเมื่อครู่นี้อย่างแน่นอน

“ที่แห่งนี้ คงจะมิใช่เป็นสุสานจักรพรรดิฟ้าซีเทียนในตำนานเล่าขานกันหรอกกระมั่ง ? ” ในระหว่างนั้นเอง ก็ได้มีคนเอ่ยขึ้นมา ภายในคำพูดแฝงเอาไว้ด้วยความไม่แน่ใจอยู่หลายส่วน

หลังจากที่เงียบงัน อัจฉริยะทั้งหมดก็ได้หวาดหวั่นขึ้นมาในเวลาเดียวกัน สีหน้าของแต่ละคนก็ได้แปรเปลี่ยนกลับกลายขึ้นมา

ในช่วงโบราณกาล เล่าขานกันว่ามีห้าจักรพรรดิฟ้าผู้ยิ่งใหญ่ อัจฉริยะเหล่านี้ต่างก็เคยได้ยินได้ฟังกันมาก่อน เล่าขานกันว่า ทางดินแดนซีฮวงมีจักรพรรดิฟ้าเซ่าเฮ่า หลังจากนั้นก็ได้เดินทางมาในระยะทางที่ไกลจนมาถึงต้นไม้มรกต ก่อตั้งจักรวรรดิร้อยปักษา และจักรพรรดิฟ้าเซ่าเฮ่า ก็ได้ถูกผู้คนเรียกขานกันว่าจักรพรรดิฟ้าแห่งดินแดนตะวันตก พลังฝีมือน่าหวาดกลัวเหลือคนานับ หากเป็นไปตามบันทึกโบราณ ในมือของจักรพรรดิฟ้า เพียงแค่หญ้าใบเดียวก็สามารถที่จะฟาดฟันดวงดาวเดือนตะวันบนฟ้าได้ ใช้หยดน้ำเพียงหยดเดียวพลิกมหาสมุทรพลิกกลับกลาย เพียงแค่มองจากความสามารถของวิชาเช่นนี้ ก็เพราะพอที่จะบ่งบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของพลังจักรพรรดิฟ้าได้

ในเวลาเดียวกัน นามแห่งจักรพรรดิฟ้า เป็นดั่งตัวแทนของระดับที่ยากจะคาดคิดได้แห่งขอบเขต ในดินแดนนี้ ต่างก็เป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งสี่ดินแดน ชนชั้นราชันถือได้ว่ามีพลังยุทธ์ที่เหนือล้ำ เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งแห่งดินแดน แต่ว่าตามตำนานคำเล่าขานของจักรพรรดิฟ้า กลับไม่ทราบว่าแข็งแกร่งกว่าชนชั้นราชันไม่รู้ก็เท่าตัว

ดังนั้น หากว่าสถานที่แห่งนี้มีตำนานที่ถูกเล่าขานของสุสานจักรพรรดิฟ้าซีเทียนจริงแล้วละก็ เช่นนั้นสิ่งที่เหลือทิ้งไว้ในสถานที่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม แน่นอนว่าย่อมต้องเพียงพอที่จะทำให้ยอดฝีมือระดับมหาราชันบ้าคลั่งได้เลย

หากการคาดเดานี้ในตอนนี้เป็นไปอย่างตำนานเล่าขานแล้วละก็ เช่นนั้นเกรงว่ามหาราชันมนุษย์แห่งสี่ดินแดน、ราชันปีศาจ จ้าวสำนักแต่ละคนแห่งแดนลับแล、จ้าวลัทธิ、ชนชั้นระดับมหาราชัน ก็คงจะฆ่าสังหารในเวลานับตั้งแต่แรก เพื่อที่จะแย่งชิงทุกสิ่งในที่แห่งนี้

ราวกับภายในพริบตานั้นเอง อัจฉริยะทั้งหมดก็ได้เข้าไปยังภายในท่ามกลางตำหนักในเวลาเดียวกัน ทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา

และราชาปีศาจเหล่านั้นในตอนนี้แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา พวกมันต่างก็กำลังหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา แต่ว่าไม่นานนักก็ได้ติดตามไปทางด้านหลังของอัจฉริยะกลุ่มนั้นเพื่อที่จะเข้าไปยังท่ามกลางตำหนัก

ท่ามกลางตำหนักที่มีพลังแห่งการแผดเผาสีทอง ทุกๆ บรรยากาศแต่ละสายในนี้ก็ได้ปกคลุมเอาไว้ด้วยพลังแห่งมรรคไฟอย่างมหาศาลและเข้มข้นเต็มสิบส่วน ในเวลาเดียวกัน ก็มีแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวชนิดหนึ่งแผ่กระจายอยู่ในท่ามกลางตำหนักแห่งนี้ กดดันจนผู้คนไม่น้อยเกิดอาการเจ็บปวด ยากที่จะทานทนรับได้

เห็นได้ชัด บริเวณนี้หากมิใช่มีพลังอยู่ในยอดฝีมือระดับราชัน ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับมหาราชันมายังที่แห่งนี้ อย่างน้อยต่างก็ยังคงต้องระมัดระวังเอาไว้ ไม่กล้าที่จะรั้งอยู่นาน

แต่ว่า ก่อนหน้าที่จะมีการปรากฏของคนชุดทองอันลี้ลับก็ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดขึ้นมา หากมิใช่การปรากฏตัวขึ้นมาของเขาแล้วละก็ อย่างน้อย อัจฉริยะและราชาปีศาจท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ต่างก็ไม่อาจที่จะเข้าไปได้

ความขัดแย้งชนิดนี้ จนทำให้อัจฉริยะทั้งหมดเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ภายในจิตใจ นั้นก็เพราะว่าตลอดมานี้ก็ได้วางแผนเอาไว้เป็นอย่างดีก็มิปาน ราวกับว่าอัจฉริยะทั้งหมด แม้จะลำบากลำบนแต่ก็ยังยินดีที่จะทะยานเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ก็มิปาน

ความรู้สึกชนิดนี้ถือได้ว่าน่าประหลาดอย่างยิ่ง จนทำให้อัจฉริยะเหล่านี้แต่ละคนเกิดการไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินทนความเจ็บบนร่างเอาไว้

“หึหึหึ——”

บริเวณทางด้านหลัง ราชาปีศาจกลุ่มนั้นเหม่อมองไปยังอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหน้าสายตา แต่ละคนก็ได้หัวเราะขึ้นมาอย่างประหลาดพิกล พวกมันในตอนนี้เรียกได้ว่าแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ก็มิปาน

“ทุกท่าน หากเป็นไปตามตำนานที่เล่าขาน พวกเราก็ราวกับว่าในตอนนี้สมควรที่จะลงมือแล้ว จัดการฆ่าเผ่าพันธุ์ที่มาจากทางด้านนอกเหล่านี้ เซ่นสังเวยจักรพรรดิฟ้ากันเถอะ ! ” ในระหว่างนั้นเอง ราชานกกระจอกจูโรก็ได้กล่าวออกมาเสียงเย็นชา ทอสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างเหลือล้น

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่น กลุ่ม 5-12 ราคา 600
ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
#####Fanpage#####

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset