เย่เทียนเฉินเห็นหานเจี๋ยและจางหลานเดินออกไปจากห้องของตนหมดแล้วก็ทอดถอนใจออกมา นั่งขัดสมาธิอีกครั้ง เข้าสู่สภาวะสมาธิ อยู่ในสภาพสำรวจภายในร่างกายของตน พบว่าอาการบาดเจ็บที่ไหล่และท้องเริ่มดีขึ้นแล้ว พลังอันอบอุ่นสายนั้นเหมือนกับเกิดมาเพื่อรักษาบาดแผลโดยเฉพาะ เมื่ออยู่ภายใต้การผลักดันด้วยพลังพิเศษอันแข็งแกร่งส่วนตัวของเย่เทียนเฉินก็ยิ่งผสานบาดแผลได้เร็วขึ้น
หากต้องการหายเป็นปกติอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรร้ายแรง ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงล้มตัวลงนอน การนอนนับเป็นส่วนสำคัญสำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บเช่นกัน นี่เป็นเพราะสุขภาพของเย่เทียนเฉินค่อยๆ แข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังมีพลังอันอ่อนโยนที่จางรั่วถงทิ้งไว้ในร่างกายของเย่เทียนเฉิน ทำให้บาดแผลของเย่เทียนเฉินหายดีเร็วขึ้น มิฉะนั้นถ้าเป็นคนธรรมดา ต่อให้เป็นยอดฝีมือในระดับเดียวกัน ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้ไม่ตายก็ต้องรักษาไปปีครึ่ง
เรียกได้ว่าพลังอันอ่อนโยนนี้ช่วยชีวิตเย่เทียนเฉินเอาไว้ ในช่วงเวลาที่เย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บ พลังอันอ่อนโยนก็ควบคุมอาการบาดเจ็บภายในของเย่เทียนเฉินไม่ให้ทรุดตัวลง ยิ่งไปกว่านั้นยังรักษาอย่างเชื่องช้า คอยทำการสมานบาดแผลอีกด้วย ไม่เช่นนั้นหากปล่อยไว้ต่อไป เย่เทียนเฉินคงสิ้นชีพไปนานแล้ว
“รั่วถงมีร่างกายแบบไหนกันแน่? ถึงกับแข็งแกร่งขนาดนี้ หลังจากที่เธอมอบพลังอ่อนโยนให้เรา ตอนนี้เธอจะเป็นยังไง? จะอยู่ที่ไหน?”
ก่อนนอนหลับ เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ จางรั่วถงเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่ง ได้รู้จักกับเธอไม่นาน เรียกได้ว่าพบกันครั้งเดียวในตอนที่ช่วยชีวิตมู่หรงอวี๋ตู ในตอนที่พบกันครั้งที่สองเย่เทียนเฉินก็หลับไหลไม่ได้สติ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือยตาย จางรั่วถงใช้ร่างกายของตนมาช่วยเหลือเขา ชั่วชีวิตนี้เขาเย่เทียนเฉินจะไม่ทำตัวแย่กับจางรั่วถงเด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ หากทำไม่ดีต่อจางรั่วถง เขาก็เป็นผู้ชายที่ไม่อาจเผชิญฟ้าดินแล้ว
เช้าตรู่วันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกปลุกให้ตื่น คนที่มาปลุกเขาก็คือชางหลาง เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์ที่ทางการส่งมาได้มาถึงเมืองชายแดนแล้ว และจอดอยู่บริเวณที่ว่างของเมืองชายแดน นี่คือคำสั่งที่ท่านผู้นำสูงสุดสั่งลงมาเองกับตัว ให้ส่งเฮลิคอปเตอร์ทางการทหารมารับพวกเย่เทียนเฉินกลับไป เห็นได้เลยว่าเรื่องในครั้งนี้พวกผู้นำระดับสูงอย่างเช่นท่านผู้นำสูงสุดได้รับข่าวสารเรียบร้อยแล้วและให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งเมื่อเย่เทียนเฉินและชางหลางไปถึงบริเวณที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอด หานเจี๋ยกับจางหลานก็ขึ้นเครื่องไปแล้ว ส่วนหลัวเหว่ยเคอนั้น เขาเป็นสายสืบที่ชายแดน ทำงานมาหลายสิบปีจึงไม่คิดจะไปจากที่นี่ และชินกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่แล้วด้วย
เย่เทียนเฉินและชางหลางไม่ได้ชวนเขา จะอย่างไรทุกคนก็มีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน มีเส้นทางที่ไม่เหมือนกัน ไม่อาจฝืนได้
ในตอนที่เฮลิคอปเตอร์ขึ้นบิน เย่เทียนเฉินพลันมองไปยังพงหญ้ารกร้างบริเวณไม่ไกล สายตาดุดันเล็กน้อย มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา เขาพบอะไรบางอย่างแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ลงมือ อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะลงมือด้วย ปล่อยให้ชายชราคนนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายวันแล้วกัน เขาจะต้องไปแก้แค้นตนที่เมืองหลวงแน่นอน ถึงตอนนั้นค่อยฆ่าชายชราคนนี้ซะ
เป็นดังคาดจริงๆ บริเวณพงหญ้าที่อยู่ไม่ไกล มีมือสังหารชุดดำยืนอยู่สามคน หนึ่งในนั้นที่เป็นหัวหน้าก็คือคาเมดะอิจิโร่ เขาพาคนมาสองคน คอยจับตามองพวกเย่เทียนเฉินอยู่ตลอด เขาให้คนไปรายงานสถานการณ์แล้ว ผลักความตายซาโต้และคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวทั้งหมดไปให้เย่เทียนเฉิน เชื่อว่าบุคคลระดับสูงในสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะต้องสั่นสะท้านแน่นอน กระทั่งจักรพรรดิดาบที่ไม่ได้ลงมือมาหลายปีก็คงหวั่นไหวบ้าง ถึงตอนนั้นก็จำเป็นต้องส่งยอดฝีมือที่ร้ายกาจยิ่งกว่าซาโต้มา ตอนนั้นเย่เทียนเฉินก็จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย!
“พวกแกรีบไปเมืองหลวงซะ จับตามองเย่เทียนเฉินให้ฉันด้วย ถ้ามีข่าวอะไรฉันจะบอกพวกแกทันที เวลาที่ไอ้หนูนี่จะตายมาถึงแล้ว มันฆ่าผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริวของพวกเรา ใครก็ช่วยมันไม่ได้ ฉันเชื่อว่าความแค้นนี้ บุคคลระดับสูงจะต้องแก้แค้นให้ซาโต้แน่!” คาเมดะอิจิโร่พูด มุมปากเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกมา
บนเฮลิคอปเตอร์ เย่เทียนเฉินและจางหลานเหมือนก็เป็นศัตรูกันอย่างไรอย่างนั้น และลงมือกันเหมือนเป็นคู่รักด้วย ด้านฝีปากไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายโน้นประโยคหนึ่งฝ่ายนี้ประโยคหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางหลานหาจุดที่นำมาแขวะเย่เทียนเฉินเจอแล้ว ทำให้เย่เทียนเฉินอับจนคำพูดและไม่ยอมทน รวมกับที่บนเครื่องค่อนข้างซบเซาเงียบเหงา หยอกล้อสักหน่อยก็ดี
ชางหลางและหานเจี๋ยที่มองอยู่ด้านข้างก็รู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหานเจี๋ยถึงกับเกิดความอิจฉาขึ้นมา ในใจของเธอมองเย่เทียนเฉินในแง่ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าญาติผู้น้องสามารถทะเลาะกับเย่เทียนเฉินได้และโต้เถียงกันอย่างสนิทสนมแบบนั้น ในใจก็รู้สึกอิจฉาจริงๆ หากคนคนนี้เปลี่ยนเป็นตนจะดีขนาดไหนกัน!
“เครื่องของพวกเราบินไปที่จงหนานไห่ ท่านผู้นำอยู่ที่นั่น ท่านต้องการพบพวกเรา!” ชางหลางเอ่ยปากพูด
“งั้นฉันโดดร่มลงไปแล้วกัน ฉันไม่อยากเจอท่านผู้นำแล้ว ตอนนี้ฉันมีชีวิตในเมืองของตัวเอง ไม่อยากยุ่งเรื่องทางการทหารแล้ว!” จางหลานพูดพลางส่ายหน้า
“นิสัยเสีย แต่ยังไงท่านผู้นำก็ไม่ได้บอกว่าจะพบเธอสักหน่อย เข้าข้างตัวเอง!” เย่เทียนเฉินจงใจมองน้องหบฃลานแล้วพูดขึ้น
จางหลานจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วมองไปที่ชางหลาง พูดขึ้นว่า “เป็นยังไงคะ?”
ชางหลางถูกสองคนนี้ทำเอาไปไม่เป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่เทียนเฉินคนนี้ เขาชางหลางเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า ก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้บังคับบัญชาของเย่เทียนเฉิน เป็นคนที่เข้มงวดจริงจังมากคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่เคยยิ้มหรือพูดจาล้อเล่นเลย ตอนนี้กลับถูกเย่เทียนเฉินทำให้เป็นคนมีอารมณ์ขันขึ้นมาบ้าง สภาพแวดล้อมส่งผลกับคนจริงๆ ยิ่งพบกับความอันธพาลแบบนี้ของเย่เทียนเฉิน ถ้าไม่ติดนิสัยมากคงเป็นไปไม่ได้
“ท่านผู้นำไม่ได้บอกว่าจำเป็นต้องพบเธอให้ได้ ถ้ายังไง หลังจากลงเครื่องที่จงหนานไห่แล้วฉันจะเตรียมรถไปส่งเธอแล้วกัน พวกเรายังต้องไปรายงานสถานการณ์กับท่านผู้นำ!” ชางหลางเอ่ยปากพูด
“ได้ค่ะ!” จางหลานพูดด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เองเย่เทียนเฉินมองชางหลางครู่หนึ่ง พูดขึ้นด้วยเจตนาที่แฝงไปด้วยความจริงจังและความหยอกเย้าเล็กน้อย “ผมเพิ่งจะไปพบท่านผู้นำมาเอง ไม่ไปพบแล้วได้หรือเปล่าครับ คุณกับหานเจี๋ยไปรายงานสถานการณ์กันสองคนก็พอแล้ว ถ้าหากต้องพูดถึงผมให้ได้ก็บอกไปว่าผมหล่อกว่าสองวันก่อนมากก็พอ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็อยากจะอัดเจ้าหมอนี่แรงๆ สักครั้ง เจ้าหนูนี่โอ้อวดจริงๆ ท่านผู้นำต้องการพบ เขาถึงกับกล้าบอกว่าไม่พบ ยิ่งไปกว่านั้น ปฎิบัติการในครั้งนี้มีเย่เทียนเฉินเป็นหนึ่งในผู้ร่วมปฏิบัติภารกิจ อีกทั้งครั้งนี้ยังสามารถช่วยหานเจี๋ยออกมาได้และฆ่าผู้แข็งแกร่งแบบซาโต้ไปได้ด้วย นับว่าเย่เทียนเฉินมีผลงาน ถ้าเขาไม่ไปเรื่องนี้คงรายงานได้ไม่ชัดเจน
“ไอ้หนู แกจำเป็นต้องไปกับฉัน ไม่ให้ต่อรอง ไม่งั้นตอนนี้ก็กระโดดลงไปสิ ไม่มีร่มให้นะ!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินยู่ปาก นั่งลงบนตำแหน่งตัวเอง จางหลานหันไปทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉินแล้วหัวเราะเสียงดังอยู่ด้านข้าง ทำให้เย่เทียนเฉินโกรธจนทนไม่ไหว คิดว่าท่านผู้นำไม่เลวเลย ไปรายงานเสียหน่อยก็ได้ อย่างน้อยชายชราคนนี้ก็ยังต้องไว้หน้าบ้าง
เวลาบ่ายโมง เฮลิคอปเตอร์ทางการทหารลำหนึ่งจอดลงที่สนามจอดเฮลิคอปเตอร์ที่พวกผู้นำจงหนานไห่ใช้กัน เย่เทียนเฉิน ชางหลาง หานเจี๋ย และจางหลาน ทั้งสี่ลงมาจากบนเฮลิคอปเตอร์ รถจี๊ปทหารสองคันจอดรออยู่บริเวณที่ว่างแล้ว เมื่อเห็นเฮลิคอปเตอร์ของพวกชางหลางมาถึงก็มีคนขับรถจี๊ปทหารเข้ามา
ชางหลาง เย่เทียนเฉิน หานเจี๋ย ทั้งสามขึ้นไปบนรถจี๊ปทหารคันหนึ่ง ส่วนจางหลานขึ้นไปบนรถอีกคันหนึ่งคนเดียว จางหลานไม่คิดจะไปพบท่านผู้นำจริงๆ เธอลาออกแล้ว ไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการทหารของทางการอีก ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะต้องการช่วยหานเจี๋ยญาติผู้พี่ของเธอ จางหลานก็คงไม่ลงมือ เธอล้างมือจากชีวิตที่ต้องตบตีฆ่าฟันแล้ว คิดเพียงจะใช้ชีวิตให้เหมือนผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งอย่างสงบสุข ไม่ใช่ผู้หญิงแข็งแกร่งอะไรอีก
“เย่เทียนเฉิน เรื่องนั้นฉันไม่จบกับนายแน่ ฉันจะไปหานาย รอดูเถอะ!” จางหลานนั่งลงบนตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับของรถจี๊ปทหาร ชูกำปั้นขาวนวลแล้วพูดกับเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน
“สุดหล่อยินดีต้อนรับสาวแปลกแบบเธอทุกเวลา บ๊ายบาย ฮ่าๆ!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้น
ในตอนที่เย่เทียนเฉินและจางหลานกำลังส่งสายตาเหยียดหยามให้กันอยู่นั้น รถจี๊ปทหารทั้งสองคันก็ขับออกไปจากลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เพียงแต่ทิศทางแตกต่างกันไปเท่านั้น
จงหนานไห่ใหญ่มาก สถานที่ที่พวกผู้นำทำงานนั้นมั่นคงเป็นอย่างมาก ถ้าหากเป็นคนธรรมดามาถึง ไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปถึงศูนย์กลางที่ทำงานของพวกผู้นำเลย กระทั่งถนนก็ยังหาไม่เจอ ที่นี่มียอดฝีมือมากมาย ยอดฝีมือเหล่านี้บางคนก็เปิดเผยตัว คนที่ปิดซ่อนตัวตนก็มีไม่น้อย พลังพิเศษแห่งการรับรู้ของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก ในตอนที่รับรู้ถึงความผันผวนของพลังอันแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ประเทศจีนเป็นรังเสือรังมังกรจริงๆ มิน่าเล่าในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่สิบปีจึงพัฒนาไปรวดเร็วขนาดนี้ กระทั่งประเทศ M ที่เป็นผู้นำของโลกก็ยังต้องหวาดกลัว นี่นับว่ามีเหตุผล
รถจี๊ปทหารจอดลงหน้าตึกใหญ่แห่งหนึ่ง รถเพิ่งจะจอดก็มีเส้นอินฟราเรดสำหรับตรวจจับสแกนพุ่งเข้ามา ในขณะเดียวกันก็มีทหารหน่วยรบพิเศษถือปืนกลเดินเข้ามาสองคน มาตรวจค้นร่างกายของพวกเย่เทียนเฉิน แน่นอนว่าความคุ้นเคยของเย่เทียนเฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็คือไม่อนุญาตให้คนอื่นมาตรวจค้นร่างกาย ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะนี่คือนิสัยของเขา ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ ในเรื่องนี้ทำให้ชางหลางต้องต่อสายไปหาท่านผู้นำอีกครั้ง หลังจากที่ท่านผู้นำอนุญาต เย่เทียนเฉินก็หลีกเลี่ยงขั้นตอนนี้ไปได้ และเดินเข้าไปในตึกใหญ่ด้วยกันกับชางหลางและหานเจี๋ย
“ฉันจะกำชับนายอีกครั้งนะไอ้หนู ท่านผู้นำไม่ใช่ผู้อาวุโสของบ้านแก และไม่ใช่คุณปู่ของแก พูดจาตามใจชอบไม่ได้ เฮยเมี่ยนจะอัดแกหลายครั้งแล้ว!” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะพูดกำชับข้างกายของเย่เทียนเฉิน
“งั้นเหรอ? งั้นก็ไปเรียกทารกดำนั่นมา ผมจะอัดเขาให้ดำขึ้นไปอีก มีแต่ฟันที่ขาว!” เย่เทียนเฉินหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ไอ้หนู เฮยเมี่ยนคงต้องถูกแกทำให้โกรธจริงๆ แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ แต่ยังตั้งฉายาแบบนี้ให้เขาอีกด้วย…”
ชางหลางทอดถอนใจทำอะไรกับเจ้าหนูนี่ไม่ได้เลยจริงๆ มิน่าล่ะทุกครั้งเฮยเมี่ยนถึงถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนแทบตาย ทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น