เขาจำได้ว่าก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ครอบครัวของเขายังมีความสุขอยู่
เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงครั้งเดียวครั้งนั้นที่เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง
มือของเขา ชีวิตของเขา และความสัมพันธ์ที่พวกเขามีมาก่อนหน้านั้นถูกทำลายลง
ต้นเหตุของทุกสิ่งนี้มาจากโม่ชืออวิ้น ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งนั้นเขาเคยเชื่อถือเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ความเป็นจริงได้บอกกับเขาว่าหญิงคนนี้เป็นคนหน้าซื่อใจคด ไม่ควรค่าแก่ความไว้วางใจ
เจี่ยนหยุ่นน่าวคิดถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่รู้จะจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างไร
ภายในหอผู้ป่วย คนหลายคนพากันพูดคุยกับเจี่ยนอีหลิงกันอยู่อีกพักใหญ่
เวินน่วนยืนกรานที่จะอยู่ดูแลเจี่ยนอีหลิง แต่ย่าเจี่ยนไม่ยอม
“หลานของฉัน ฉันกับหยู่หมินยังสามารถดูแลได้ ไม่ต้องกังวลให้มากนัก ไม่ใช่ว่าโรงพยาบาลต้องการให้ทำกระบวนการเข้ารับการรักษาตัวในเร็วๆนี้เหรอ ไปทำงานนั้นก่อน”
ย่าเจี่ยนรู้เรื่องการผ่าตัดของเจี่ยนหยุ่นน่าวแล้ว ดังนั้นเธอจึงจงใจขอให้เวินน่วนจัดการธุระของเจี่ยนหยุ่นน่าวเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะมาจัดการเรื่องราวของเจี่ยนอีหลิง
เธอไม่ต้องการให้เวินน่วนนั้นละล้าละลังเป็นกังวลอยู่ทั้งสองด้าน
ย่าเจี่ยนไม่ต้องการให้เวินน่วนมาอยู่ข้างกายของเจี่ยนอีหลิงแต่กลับเป็นกังวลอยู่กับเรื่องของเจี่ยนหยุ่นน่าว ซึ่งนั่นย่อมเป็นการทำร้ายจิตใจผู้คน จะเป็นการดีกว่าหากว่าเธอไม่อยู่ที่นี่
ส่วนเวินน่วนนั้นยังคงดื้อดึงที่จะอยู่ต่อ เมื่อมองดูใบหน้าไร้สีเลือดของลูกสาวตัวเองแล้ว เธอก็ไม่ต้องการที่จะจากไปแม้แต่เพียงก้าวเดียว
เจี่ยนหยุ่นเฉิงกล่าวว่า “ย่าครับ ปล่อยให้แม่เขาอยู่เถอะ ผมจะดูแลเซี่ยวน่าวเอง”
เมื่อเห็นว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ย่าเจี่ยนก็ทำอะไรไม่ได้ “ก็ได้ ในเมื่อพวกเธอตัดสินใจกันดีแล้ว”
ในเวลานั้นเอง หญิงร่างสูงก็เดินเข้ามาสู่หอผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
ท่าทางเดินของเธอนั้นเรียกได้ว่า “เร่งด่วน” เธอเดินราวกับว่าเป็นพายุ
ที่เดินตามมาอย่างเชื่องช้าด้านหลังของผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้ชายสวมแว่นขอบทอง
ครอบครัวตระกูลเจี่ยนมองดูพวกเขาอย่างประหลาดใจ
ทันทีที่หลัวซิ่วเอินเข้าประตูมา เธอก็ไม่สนใจว่าจะมีคนมากมายแค่ไหนที่ยืนอยู่ภายในห้อง เธอเดินตรงเข้าไปหาเจี่ยนอีหลิงและเบียดเจี่ยนหยู่หมินที่อยู่ข้างเจี่ยนอีหลิงออกไปทันที
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงป่วย มีไข้ไหม”
หลัวซิ่วเอินแตะหน้าผากเจี่ยนอีหลิงด้วยท่าทางเชี่ยวชาญ
“ยังคงมีไข้อยู่” หลัวซิ่วเอินหยิบระเบียนเวชของเจี่ยนอีหลิงที่โต๊ะข้างเตียงขึ้นมาตรวจสอบตามความเคยชิน
เฉิงอี้กระตุกดึงหลัวซิ่วเอินอย่างระมัดระวังอยู่ด้านหลังเธอ เตือนเธอเป็นนัยว่าช่วยให้ความสำคัญกับคนรอบข้างเธอด้วย “พี่สาวเอิน เซี่ยวหลิงเพียงแค่เป็นไข้เท่านั้น”
จะมียาอะไรที่สามารถใช้กับไข้หวัดธรรมดาได้บ้าง ไม่มีอะไรที่จะบอกได้จากเวชระเบียนนี้ได้จริงๆ
หลัวซิ่วเอินไม่สนใจ เธอยังคงถามไถ่เจี่ยนอีหลิงว่า “ทำ CT หรือยัง แล้ว MRI ผลเป็นยังไง ผลของ ECG ด้วยเป็นยังไง”
“พี่สาวเอิน ทำ CT นี่ก็เกินพอแล้ว แต่จะให้ทำถึง MRI…”
เฉิงอี้ที่อยู่ด้านหลิงเธอเตือนเธอด้วยเสียงเบา เขาขยับแว่นตาแล้วเหลือบมองไปยังคนรอบข้างที่มุงดูอยู่ภายในห้องนั้น
ทุกคนต่างพากันมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกใจและเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“อะแฮ่ม ต้องขอโทษด้วยนะครับ พวกเราเป็นเพื่อนของเซี่ยวหลิง ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร” เฉิงอี้อธิบายให้ทุกคนฟังว่าเขาและหลัวซิ่วเอินนั้นมีความเป็นมาอย่างไร
เฉิงอี้รู้ว่าเจี่ยนอีหลิงนั้นเข้าร่วมกับสถาบันของพวกเขาโดยปกปิดครอบครัวของเธอไว้ ดังนั้นเฉิงอี้จึงเพียงกล่าวว่าเขาเป็นเพื่อนของเจี่ยนอีหลิงเท่านั้น และไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ของการเป็นเพื่อนร่วมงานออกมา
เจี่ยนหยุ่นเฉิงมองไปยังเฉิงอี้กับหลัวซิ่วเอิน เขารู้สึกว่าคนทั้งคู่นี้ดูคุ้นเคยอยู่บ้าง
เจี่ยนชูฉิงก็รู้สึกคุ้นเคยเช่นเดียวกัน
ในเวลานั้นหงไป่จาง ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลเอกชนถงเต๋อ ก็รีบรุดเข้ามาในหอผู้ป่วยอย่างตื่นเต้น
“ด็อกเตอร์เฉิง ด็อกเตอร์หลัว ทำไมพวกคุณไม่บอกผมตอนที่พวกคุณแวะมา”
ถ้าไม่ใช่ศาสตราจารย์ซือจากสถาบันวิจัยโทรศัพท์มาบอกเขาว่าเฉิงอี้กับหลัวซิ่วเอินแวะมาเยี่ยมคนสำคัญที่โรงพยาบาล เขาก็คงจะยังไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งคู่ได้มาที่โรงพยาบาลของเขาแล้ว
———————————————–
เฉิงอี้ – พี่สาวเอิน ชายคนที่พี่เพิ่งเบียดเขาออกไปนั้นดูคล้ายมากกับคนในโปสเตอร์ที่อยู่บนโต๊ะพี่