“ที่ไหนกัน” ฉินชี่เชวนตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ภรรยาของผมเป็นคนจัดงานการกุศล เธอนั้นกระตือรือล้นในเรื่องการกุศลมาก ในฐานะสามี ผมก็ต้องสนับสนุนเธอแน่นอน นี่ย่อมเป็นเกียรติอย่างสูงหากว่าพวกคุณทั้งสามคนไปที่งานเลี้ยงอาหารค่ำการกุศลของภรรยาผม ไม่เป็นไรถ้าพวกคุณไม่มีเวลาว่าง”
จ๋ายหวินเชิ่งไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในทันที แต่เขาหันไปหาเจี่ยนอีหลิง
เจี่ยนอีหลิงกระซิบว่า “ไม่อยากไป”
แม้ว่าเสียงจะค่อนข้างเบา แต่ความหมายเชิงปฏิเสธนั้นชัดแจ้ง
เจี่ยนอีหลิงไม่ถึงกับอายเกินไปที่จะปฏิเสธน้ำใจของคนอื่น
ในความเห็นของเจี่ยนอีหลิงนั้น ฉินชี่เชวนต้องการให้เธอเปลี่ยนแผนอาชีพ ซึ่งนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ เธอสามารถปฏิเสธได้โดยไม่ต้องใส่ใจ
แต่การเชื้อเชิญเธอไปงานเลี้ยงอาหารค่ำนั้น มันค่อนข้างน่าอายที่จะปฏิเสธ
แต่ว่าเจี่ยนอีหลิงนั้นไม่มีเวลาว่างจริงๆในวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอต้องทำงานล่วงเวลาในหลายวันนี้ยกเว้นการกินกับการนอน
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องไป” จ๋ายหวินเชิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมา
ไม่ได้เป็นเรื่องน่าละอาย หากต้องการจะปฏิเสธ ก็สามารถที่จะปฏิเสธได้
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ฉินชี่เชวนก็ไม่ได้เสียหน้า เมื่อตอนที่เด็กหญิงตอบ เธอก็ดูเหมือนจะละอายใจอยู่บ้าง คนเราล้วนมีสิ่งที่ต้องทำ และเขาก็ไม่สามารถที่จะบังคับใครให้ไปเข้าร่วมเพื่อให้เกิดความมีชีวิตชีวานี้ได้
หลังจากที่เขาจบในสิ่งที่ตนเองต้องการจะพูดแล้ว ฉินชี่เชวนก็ไม่ได้อยู่นาน ดังนั้นเขาก็จึงกล่าวอำลาจ๋ายหวินเชิ่งแล้วออกจากห้องไป
หลังจากที่ฉินชี่เชวนจากไปแล้ว หยูซีก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเจี่ยนอีหลิงว่า “เทพหลิง พี่คิดว่าพี่คงต้องบูชาเธอมากขึ้นไปกว่าเดิม”
ความรู้สึกประเภทนี้นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เห็นได้ชัดว่าน้องสาวตัวเล็กข้างบ้านนี้เป็นคนที่ต้องการให้พวกเขาปกป้อง แต่กลับทำให้คนอื่นต้องชื่นชมเธอแทน
แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับความบูชาของหยูซี เจี่ยนอีหลิงก็ยังตอบสนองอย่างสงบ
ตอนนี้เธอสนใจในการกินมากกว่าเดิม
พูดกันว่าเป็นเรื่องดีที่ได้กินเนื้อ ดังนั้นก็ควรจะกินให้มากขึ้น
หยูซีเหลือบไปมองจ๋ายหวินเชิ่งอีกครั้ง และก็พบว่าจ๋ายหวินเชิ่งนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารอยู่เช่นเดียวกัน
เอิ่มมมมมม…
หลังจากที่ผ่านไปได้ 5 วินาที หยูซีก็ลุกขึ้นไปเทนมถั่วเหลืองร้อนที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการให้แก่พวกเขา
เขาไม่ได้คิดอะไรมากนัก นอกจากต้องการบริการสองคนนี้ให้ได้ดื่มกินให้ดีๆ
ไม่งั้นจะมีใครจะพาเขาไปสู่ระดับสูงๆล่ะ
###
หลังจากที่ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอีหลิงก็กลับบ้าน
เพราะว่าเธอนั้นยุ่งมากช่วงนี้ หยูซีกับจ๋ายหวินเชิ่งสามารถเห็นได้ว่าเธอนั้นเหนื่อยมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ใช้เวลาเธอมากนักนอกจากเวลาทานอาหาร
แม้ว่าหยูซีต้องการให้เจี่ยนอีหลิงพาเขาไปสู่ระดับท็อป แต่เขาก็ไม่เลือกเวลาที่เจี่ยนอีหลิงดูเหนื่อยมาก
เขาได้แต่บอกให้เธอพักผ่อนให้เพียงพอตอนที่เธอออกจากรถ
อย่างไรก็ตามเมื่อตอนที่ใกล้จะสามทุ่ม หยูซีก็โทรศัพท์ไปหาเจี่ยนอีหลิง เขากระวนกระวายเป็นอย่างมาก
“เทพหลิง ช่วยด้วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอีหลิงได้ยินเสียงที่ตื่นตระหนกของหยูซี
“เกิดอะไรขึ้น”
เจี่ยนอีหลิงหยุดงานของเธอทันทีและรับฟังหยูซีอย่างตั้งใจ
“นายท่านเชิ่งเพิ่งถูกอุปกรณ์ฟิตเนสบาดที่แขน น่าจะยาวสักเจ็ดหรือแปดเซ็นติเมตรได้ เขาเห็นว่าได้รับบาดเจ็บไม่ร้ายแรงเลยยังเล่นอุปกรณ์ฟิตเนสต่อ ไม่ยอมพัก พี่จะบ้าแล้ว”
เสียงของหยูซีนั้นเร่งร้อนและตื่นตระหนก
ถ้านี่เป็นคนทั่วไป เขาคงจะไม่ตื่นตระหนกมากขนาดนี้ ถ้าหากว่าเขาได้รับบาดแผลแบบนี้
แต่คนเจ็บเป็นจ๋ายหวินเชิ่ง และนี่ก็ถือได้เลยว่าเป็นคนละเรื่อง
การบาดเจ็บใดๆของจ๋ายหวินเชิ่งนั้นไม่สามารถถือได้ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นลูกเพียงคนเดียวของตระกูลจ๋าย แต่สภาพร่างกายของเขานั้นก็แตกต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไปเช่นเดียวกัน