ฉินชวนมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวของตัวเองดี
แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในช่วงเติบโตของอาชีพการงาน บริษัทกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีอนาคตที่สดใส
แม้แต่สถาบันอย่างโรงเรียนมัธยมเชิ่งหัวยังกำหนดให้เขาเป็นแบบอย่างสำหรับนักศึกษาร่วมสมัย
แต่สิ่งที่เขาประสบความสำเร็จมาจนถึงตอนนี้ เมื่อเทียบกับตระกูลเจี่ยนแล้วก็ยังถือว่าเป็นเพียงคนธรรมดา
“ฉันไม่ได้ชอบนาย” เจี่ยนอีหลิงกล่าวอย่างรวดเร็ว
เธอกลัวอยู่บ้างหากฉินชวนจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอตกหลุมรักเขา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นมาหลายอย่าง
“หือ” ฉินชวนคิดว่า ตัวเขาเองไม่เคยคิดอย่างนั้น
บางทีสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปทำให้เจี่ยนอีหลิงเข้าใจผิด
“ฉันไม่รู้สึกอะไรกับนาย” เจี่ยนอีหลิงเครียด
ฉินชวนหัวเราะอีกครั้ง การเผชิญหน้ากับเจี่ยนอีหลิงในวันนี้ทำให้เขาหัวเราะมากกว่าการหัวเราะหนึ่งสัปดาห์ก่อนทั้งหมดรวมกัน
แน่นอนว่าการที่แม่มีอาการดีขึ้นนั้นก็เป็นเหตุผลที่สำคัญเช่นเดียวกัน
“ฉันก็ไม่คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ฉินชวนกล่าว “ฉันแค่อยากรู้อยากเห็นว่าทำไมเธอถึงมองฉันในแง่ดีนัก”
ฉินชวนยังไม่หลงตัวเอง ที่จะคิดว่าเจี่ยนอีหลิงทำเช่นนั้นเป็นเพราะว่าเกิดความรักในตัวเขา
แน่นอน ฉินชวนก็ไม่เคยสงสัยในเสน่ห์ของตัวเองเช่นเดียวกัน ก่อนที่เขาจะเข้าไปในร้านกาแฟ เขาก็ถูกเด็กสาวคนหนึ่งทัก คิดถึงเรื่องนั้น นับว่าเสน่ห์ของเขาก็ต้องไม่เลวเสียทีเดียว
แต่สำหรับเจี่ยนอีหลิงแล้ว ฉินชวนไม่เคยคิดแบบนั้น เขาแน่ใจว่าเด็กหญิงคนนี้ไม่ได้สนใจในตัวเขา ทั้งยังไม่อยากคุยกับเขาอีกด้วย
นั่นเป็นเหตุผลที่ฉินชวนอยากรู้ถึงเจตนาที่เจี่ยนอีหลิงถึงได้ทำอะไรแบบนี้
“นายมีความสามารถ ฉันรักเงิน”
เจี่ยนอีหลิงกล่าวคำว่า “ฉันรักเงิน” อย่างจริงจัง
เสียงนั้นทั้งหวานและนุ่มนวล แต่เนื้อหาที่คุยกับเธอนั้น เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร มันไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย
ฉินชวนอดไม่ได้ที่จะชะงักไปอีกชั่วขณะก่อนที่จะหัวเราะอีกครั้ง
ฉินชวน ในฐานะตัวเอกของผลงานต้นฉบับ มีใบหน้าที่หล่อเหลา เมื่อเขายิ้ม สาวๆโต๊ะข้างๆต่างก็พากันมองมาที่เขา
ดวงดาวสีชมพูเล็กๆในดวงตาของพวกเธอนั้นแทบจะไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้
คำตอบที่ตรงไปตรงมาและชัดเจนของเจี่ยนอีหลิงนั้น เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับฉินชวน
แต่มันก็สมเหตุสมผลที่สุดจริงๆ
ฉินชวนต้องถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ เจี่ยนอีหลิงเกิดในตระกูลเจี่ยนเช่นเดียวกับพี่น้องของเธอ เธอรู้จัก “การลงทุนและการจัดการทางการเงิน” ตั้งแต่อายุยังน้อย
เพียงแค่การลงทุนเธอแตกต่างกันอยู่บ้าง
เขาเป็นหนึ่งใน “ผลิตภัณฑ์” ที่เธอลงทุน
“ถ้าเช่นนั้นผมจึงอยากจะขอบคุณมิสเจี่ยนจริงๆ ที่ให้การยอมรับผลิตภัณฑ์นี้”
ฉินชวนพูดทีเล่นทีจริง
“อื้อ” เจี่ยนอีหลิงกล่าว “แม่ของนายป่วย นายอยากถามอะไร”
“ไม่ ฉันเชื่อเธอ และเพียงเชื่อมั่นในตัวเธอ” ฉินชวนกล่าว “นี่ไม่ได้เป็นความถนัดของฉัน ฉันยอมอุทิศตน เชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญของเธอทั้งหมด นี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยแม่ของฉันได้”
ฉินชวนไม่มีความยุ่งยากใจนัก ในเรื่องอายุของเจี่ยนอีหลิง
ตั้งแต่วันที่เขาส่งแม่เขาไปที่สถาบันวิจัยทางการแพทย์ฮุ่ยหลิง เขาก็ได้เลือกแล้ว และก็ต้องเชื่อมั่นคนที่สถาบันวิจัยเลือกมาให้
เจี่ยนอีหลิงเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของสถาบัน ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นในความสามารถของเจี่ยนอีหลิง
“นอกจากนี้ ฉันจะไม่บอกใครเรื่องเธอ” ฉินชวนเสริม
ฉินชวนเป็นคนฉลาด เขาได้อนุมานจากการกระทำในครั้งก่อนของเธอว่า เธอไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ความลับเธอ
รวมไปถึงครอบครัวของเธอด้วย
ถ้าครอบครัวเจี่ยนอีหลิงรู้สถานการณ์ที่แท้จริงของเจี่ยนอีหลิง พวกเขาคงไม่จ่ายเงินให้เขาเป็นครูสอนพิเศษให้เธอ
และถ้าเธออยากให้พวกเขารู้ การสอบในวิชาต่างๆของเจี่ยนอีหลิงจะต้องไม่ตกทุกวิชา
“ขอบคุณ” เจี่ยนอีหลิงตอบ
แม้ว่าเธอจะไม่กังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ฉินชวนพูดออกไป แต่มันจะดีที่สุดถ้าฉินชวนสามารถช่วยเธอรักษาความลับได้
ฉินชวนและเจี่ยนอีหลิงคุยกันในร้านกาแฟอีกสักพัก
จากนั้นก็ออกจากร้านกาแฟ
ฉินชวนไม่ได้เป็นเจ้าของรถ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกว่าจะไปส่งเจี่ยนอีหลิง
เพียงแค่เอ่ยคำอำลาเจี่ยนอีหลิงที่ประตู และเฝ้าดูเธอจากไป
เมื่อทั้งสองออกจากร้านกาแฟ โม่ชืออวิ้นก็มองตามพวกเขาจากร้านหนังสือตรงกันข้าม
เธอเห็นรอยยิ้มที่ฉินชวนและเจี่ยนอีหลิงแสดงให้เห็นบ่อยๆ ระหว่างการสนทนา
เนื่องจากฉินชวนและเจี่ยนอีหลิงนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ดังนั้นเธอจึงยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้ว่าจะอยู่กันคนละฝั่งถนนกันก็ตาม
โม่ชืออวิ้นมีรสขมปร่าในใจที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ
เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดขึ้น
ดูเหมือนว่าสิ่งขมขื่นที่เธอได้พบเจอเมื่อเร็วๆนี้ มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเจี่ยนอีหลิง
ในโทรศัพท์ของโม่ชืออวิ้นเป็นภาพที่เธอเพิ่งถ่าย และฉินชวนก็กำลังยิ้มอย่างสดใสในภาพนั้น
และรอยยิ้มสดใสของเขานั้นมุ่งตรงไปยังเจี่ยนอีหลิง
เธอแค่กดปุ่มชัตเตอร์อย่างกระอักกระอ่วนและบันทึกภาพฉากนี้ แต่ลึกลงไปในใจ เธอหวังว่าจะได้พบหลักฐานว่าพวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันในภาพที่หยุดค้างนี้
แต่ยิ่งโม่ชืออวิ้นเฝ้าดูนานเท่าไหร่ ข้อเท็จจริงก็ยิ่งไปในทิศทางที่เธอไม่ต้องการ
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ความตื่นเต้นที่มีให้กับชายหนุ่มต้องจบลงแบบนี้
###
โม่ชืออวิ้นเหม่อลอยอยู่บ้างเมื่อไม่นานมานี้ เธอพบรูปภาพนี้ในอัลบั้มของเธออีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง รู้สึกเหมือนกับว่าเรื่องนี้ยุ่งเหยิงอยู่ในใจเธอ
ชูชาเดินตามหลังโม่ชืออวิ้น และก็เห็นโทรศัพท์มือถือของโม่ชืออวิ้น
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เจี่ยนอีหลิงเหรอ” ชูชาจำได้ในพริบตา
โม่ชืออวิ้นพบว่าชูชาอยู่ข้างหลังเธอ จึงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือ
“ ให้ฉันดูอีกหน่อย ดูเหมือนว่าฉันเคยเห็นผู้ชายคนนี้มาแล้ว” ชูชายื่นมือออกไปขอโทรศัพท์มือถือของโม่ชืออวิ้น
“ไม่มีอะไร” โม่ชืออวิ้นไม่ให้โทรศัพท์แก่ชูชา
“ไม่ ชายคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนที่มาที่โรงเรียนของเราตอนปัจฉิมนิเทศ … ฉินชวน ใช่ เขาคือฉินชวน” ชูชายังคงจำชายในภาพได้
โม่ชืออวิ้นไม่ตอบ
ชูชามีสีหน้าแปลกไป “ทำไมเจี่ยนอีหลิงและฉินชวนถึงนั่งอยู่ด้วยกัน มีอะไรที่ยุ่งยากเกี่ยวกับพวกเขาสองคนเหรอ เจี่ยนอีหลิงตกหลุมรักตั้งแต่เด็กเหรอ”
โรงเรียนมัธยมเชิ่งหัวไม่อนุญาตให้มี พัพพี่เลิฟ*
แม้ว่าจะไม่มีข้อห้ามอย่างชัดเจน แต่ครูจะคอยบอกจากด้านข้างว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคนในระยะนี้ก็คือการเรียน
“ไม่ อย่าพูดเรื่องไร้สาระ”
โม่ชืออวิ้นไม่ชอบคำจำกัดความของชูชา ที่ให้คนทั้งสองนี้ในฐานะ “เพื่อนชายและเพื่อนหญิง”
“ไม่ ชืออวิ้น ไม่ว่าสองคนนี้จะถูกหรือผิด แต่ถ้ารูปของเธอถูกส่งออกไป ใครบางคนต้องคิดว่ามีปัญหากับสองคนนี้แน่”
คำพูดของชูชาทำให้โม่ชืออวิ้นชะงัก
ชูชา ยังคงชักชวน “มาโพสต์ภาพโดยไม่พูดอะไรเลยดีกว่า ไม่มีการกล่าวหา ภาพถ่ายเป็นของจริง และเธอก็ไม่ได้ตัดต่อภาพ เรากำลังแสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง”
ชูชาเห็นโม่ชืออวิ้นเริ่มลังเลและตัดสินใจที่จะยุให้หนักขึ้น “ทำไมเธอไม่ส่งรูปมาให้ฉันล่ะ ไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับเธอที่จะส่งรูปที่เธอถ่ายให้เพื่อน ส่วนว่าจะโพสต์มันอย่างไรก็เป็นเรื่องของฉัน เธอเห็นด้วยไหม”
พัพพี่ เลิฟ * ความรักวัยรุ่น ความรักในแบบที่ฉาบฉวย มาเร็วและไปไว