เปลวไฟในม่านหมอก – ตอนที่ 44 ไข่ขึ้น เอ๊ย ไข้ขึ้น

“ ครับหมอก ”

“ หมอหนามคะ กรุณากลับมาที่นี่ด่วนเลยนะคะ ไฟเค้าช็อคตาตั้ง น้ำลายฟูมปาก ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ”

“ อ้าว เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมอยู่ ๆ เป็นแบบนั้น ”

“ หมอกก็ไม่ทราบค่ะ หมอรีบมาเลยนะคะ แล้วระหว่างนี้หมอกจะสามารถทำอะไรบรรเทาอาการไปก่อนได้ไหมคะ ”

“ ก็เช็ดหน้าเช็ดตาเช็ดน้ำลายที่ฟูมปากออกก่อนแหละครับ จะได้ไม่สภาพทุเรศมากนัก ”

“ อะไรนะคะ ”

“ เอ่อ… ผมหมายถึง ใช้ผ้าเช็ดให้เขาก่อนจะได้ไม่ไหลเข้าหูเข้าตา แล้วก็เอาน้ำเปล่าให้ดื่มครับ ”

“ แต่เขาชักอยู่ เอาน้ำให้ดื่มได้เหรอคะ จะไม่สำลักเหรอ ”

“ อาจจะเป็นเพราะไข่ขึ้น เอ๊ย ไข้ขึ้นน่ะครับ มันเป็นอาการข้างเคียง เอาเป็นว่าหมอกทำตามที่ผมบอกแหละครับ เดี๋ยวก็ดี เชื่อหมอ หมอรู้ หมอเรียนมา ”

“ ได้ค่ะ หมอหนามรีบมานะคะ หมอกกลัวไฟจะเป็นอะไรไป ”

“ เป็นห่วงเขาก็บอกเขาสิครับ อย่าปล่อยไว้จนมันสายเกินไปนะ ” หมอหนามว่าก่อนตัดสายทิ้ง อวัศยานึกฉุนในใจ

“ ทำไมหมอพูดเป็นลางแบบนี้นะ ไม่ดีเลย ”

เธอว่าพลางวิ่งไปหยิบผ้าและขันตักน้ำมาอีกครั้งก่อนรีบเช็ดใบหน้าและน้ำลายออกตามที่หมอบอก ช่างน่ามหัศจรรย์นักที่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกตัวและไม่ตัวแข็งเช่นเดิมอีกแล้ว

อวัศยายิ้มออก นึกขอโทษหมอหนามอยู่ในใจที่กังขาในตัวเขา เขาเรียนมานะ เขาต้องรู้ดีกว่าเธออยู่แล้ว

คิดได้ดังนั้นก็รีบเดินไปรินน้ำใส่แก้วแล้วเดินกลับมาตามคำแนะนำของหมอทันที

เธอพยุงเขาให้ลุกขึ้นพิงร่างของตน แล้วจรดแก้วน้ำที่ริมฝีปาก

“ ไฟ ดื่มน้ำหน่อยนะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น ” เขาอ้าปากรับแล้วค่อยดื่มมันเข้าไปจนครึ่งแก้วก็ผละออกมาพิงเธอไว้อย่างหมดแรง

“ รู้สึกดีขึ้นไหมไฟ ”

“ เหนื่อย ” เขาตอบมาคำเดียวสั้น ๆ เธอรีบพยุงเขาให้นอนลงกับหมอน

“ นอนพักก่อนนะ จะได้ไม่เหนื่อยมาก เดี๋ยวหมอกไปเปลี่ยนน้ำซักผ้าให้สะอาดแล้วจะมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้อีกที ”

เธอว่าพลางเดินเข้าไปในห้องน้ำ ครู่หนึ่งก็กลับออกมา

“ เช็ดตัวหน่อยนะไฟ จะได้ดีขึ้น ” เขาส่ายศีรษะ

“ หมอกไม่ต้องพยายามหรอก เรารู้ว่าเราแย่ ”

“ ไม่ ไฟต้องไม่เป็นอะไรนะ เดี๋ยวหมอหนามก็มาถึงแล้ว เราก็ช่วยกันบรรเทาอาการไปก่อน ”

เธอระล่ำระลักตอบปากคอสั่น น้ำตาคลอเบ้า ไฟส่งยิ้มซีดเซียวระโหยโรยแรงมาให้

“ หมอกเป็นห่วงเราเหรอ ” อีกฝ่ายพยักหน้า

“ เป็นห่วงสิ ”

“ ไม่ต้องเช็ดตัวให้เราหรอก เราคงอยู่ได้อีกไม่นาน เราอยากใช้เวลานี้คุยกับหมอกให้เต็มที่ก่อนจากไป ”

“ ไม่ ไฟ ไม่พูดแบบนั้นสิ ”

“ เราต้องยอมรับความจริง เกิดแก่เจ็บตายมันเรื่องธรรมดา สมแล้วที่เราทำกับหมอก มันเป็นกรรมของเรา ”

“ ไม่ไฟ อย่าพูดแบบนั้น ตอนนี้หมอกเชื่อ หมอกตระหนักแล้วว่าไฟต้องเจออะไรมาบ้าง ไฟรู้สึกอย่างไร หมอกเชื่อแล้วว่าไฟไม่ได้โกหก หมอกรู้ว่าความผิดที่คุณพ่อทำมันเลวร้ายเหลือเกิน หมอกเสียใจที่สุดที่แม่ใหญ่ตายในกองเพลิงและคนอื่น ๆ ด้วย หมอกรู้ว่ามันเกินกว่าที่จะชดใช้ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่หมอกก็อยากจะพูดคำนี้กับไฟ หมอกขอโทษนะ ขอโทษ ” เขาส่งยิ้มมาให้ เอื้อมมือไปกุมมือเธอมาวางไว้ตรงอกข้างซ้ายที่ตำแหน่งหัวใจ

“ เราก็ขอโทษหมอกเหมือนกันที่เข้าใจผิดมาตลอด ขอโทษที่ทำร้าย แต่รู้อะไรไหม เรารักหมอก ไม่ว่าจะเกิดอะไร จะนานแค่ไหน เราก็ไม่เคยเลิกรักหมอกได้สักวัน ” น้ำตาใสไหลอาบแก้ม ก่อนจะเอ่ยเคล้าเสียงสะอื้น

“ หมอกก็รักไฟที่สุด พยายามจะเลิกรัก แต่มันก็ทำไม่ได้ ”

“ จูบเราหน่อยได้ไหม เราจะได้มีความทรงจำที่งดงามติดตามไปยังทางช้างเผือก ” คนป่วยว่า อวัศยารีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้

“ อย่าพูดแบบนั้น ได้โปรด ไฟต้องอยู่กับหมอก ห้ามทิ้งไปไหนทั้งนั้น ” ก่อนเธอจะค่อยโน้มตัวลงมาประทับริมฝีปากอวบอิ่มลงบนริมฝีปากหนานั้นเบา ๆ

ทว่าแปลกนักที่ผู้ป่วยกลับขยับประทับจูบตอบได้อย่างดูดดื่ม ริมฝีปากหนาบดเคล้าหนักจนเธอเผลอเผยอปากให้ลิ้นสากเข้ารุกรานความหวานภายในด้วย เธอเองก็ขยับพลิ้วพลิกตอบรับร้อนเร่าไม่แพ้ ด้วยแรงรักแรงถวิลหาที่อัดอั้นมาช้านาน

เธอรู้ตัวอีกทีคือถูกพลิกให้มาอยู่เบื้องล่าง ร่างสูงใหญ่คร่อมทับบดเบียดอยู่เบื้องบนและทั้งคู่เปลือยเปล่า !

เหตุใดผู้ป่วยหนักใกล้ตายจึงมีเรี่ยวทำอะไรต่อมิอะไรได้รวดเร็วว่องไวจนเธอแทบไม่ทันรู้สึกตัวเช่นนี้ !

เขาผละจากจูบอันดูดดื่มอย่างแสนเสียดายก่อนขยับริมฝีปากไปดูดเม้มทั่วซอกคอขาวเนียน สูดดมกรุ่นกลิ่นอวลไอแห่งกายสาว มือข้างหนึ่งกอบกุมปทุมถันเต่งตึงทีละข้าง บีบคลึงหยอกล้อยอดถันที่แข็งเกร็งเคร่งครัดให้ยิ่งร้อนเร่า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset