บทที่ 170 ช่วยชีวิตเด็ก!
ใกล้ถึงเวลาแลกเวรแล้ว เมื่อหลี่เป่าซานเข้ามา ทุกคนก็พากันเงียบเสียงลง
หลี่เป่าซานมองไปยังทุกคนโดยเฉพาะเฉินชาง จากนั้นจึงพยักหน้ากล่าวว่า “เอาละทุกคน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเฉินชางแล้วนะครับ ต่อไปนี้ตั้งใจทำงานให้ดีก็พอ เรื่องในคราวนี้ก็เป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้พวกเรา
นี่แสดงให้เห็นว่าระบบการเข้าเวรของพวกเรายังไม่เหมาะสมนัก ยังขาดการพูดคุยติดต่อและความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานและอื่นๆ อีก…นี่คือสิ่งที่พวกเราต้องปรับปรุง”
ทุกคนพากันพยักหน้ารับ ตอนนี้หยวนฟางจึงค่อยทอดถอนใจ ยังดีที่ไม่เกี่ยวอะไรกับตน ทว่าในตอนนี้เอง จู่ๆ หลี่เป่าซานก็พูดขึ้นว่า “หยวนฟาง”
หยวนฟางสั่นเล็กน้อย รีบลุกขึ้นยืน “ครับ หัวหน้าแผนก!”
หลี่เป่าซานพยักหน้า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณไปอยู่ศูนย์ตรวจร่างกายนะครับ ตอนนี้ศูนย์ตรวจร่างกายของโรงพยาบาลกำลังขาดคน คุณไปช่วยที่นั่นนะครับ”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ออกมา หยวนฟางพลันรู้สึกตื่นตะลึง….
ศูนย์ตรวจร่างกายหรือ…
ศูนย์ตรวจร่างกายของโรงพยาบาลอันดับสองเป็นฝ่ายที่ค่อนข้างว่าง ในหนึ่งปีมีงานเพียงไม่กี่เดือน นี่หมายความว่าปีหนึ่งทำเงินได้ไม่เท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีอนาคต เป็นงานประเภททำเลี้ยงชีพรอความตายไปวันๆ เป็นที่แรกๆ สำหรับนักศึกษาจบใหม่
นอกจากนักศึกษาจบใหม่แล้ว คนที่มาทำงานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนที่ถูกทำโทษ คนที่ไม่อยากทำงานหนัก หรือไม่ก็พยาบาลที่ถูกโอนย้ายเข้ามา เพราะศูนย์ตรวจร่างกายของโรงพยาบาลอันดับสองนั้น…ธรรมดามากจริงๆ!
ผมที่เป็นศัลยแพทย์เรียนจบปริญญาโท แต่กลับถูกสั่งให้ไปทำงานที่ศูนย์ตรวจร่างกาย…
หยวนฟางรู้สึกหัวใจเย็นยะเยือก! เขาคิดว่าตัวเองหลบเลี่ยงได้แล้วเสียอีก ใครกันแน่ที่เป็นคนขุดออกมา?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยวนฟางก็ขบคิดอย่างหวาดกลัว
นี่เป็นการแก้แค้นย้อนหลังหรือ?
เขามองไปยังเฉินชาง
ทั้งหมดเป็นเพราะแก! ตอนนี้คงพอใจแล้วสินะ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยวนฟางก็ไม่กล้าเงยหน้า จะขายหน้าเกินไปแล้ว!
แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น กลับพบว่าไม่มีใครสนใจตนเลย…ทันใดนั้นเขาพลันเข้าใจขึ้นมาทันที ที่นี่ไม่มีใครเป็นห่วงเขา ได้ยินข่าวนี้แล้วจะทอดถอนใจกันสักครั้งก็ไม่มีเชียวหรือ? น่าเสียดายที่ไม่มีจริงๆ!
หลังจากทุกคนได้ยินข่าวนี้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะหันมาสนใจ ทำราวกับไม่มีหยวนฟางอยู่ด้วย
พริบตานั้นหยวนฟางพลันรู้สึกว่าการจากไปของตนไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรของแผนก นี่ตนจะล้มเหลวในการเป็นมนุษย์เกินไปหรือเปล่า? เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยวนฟางก็รู้สึกหดหู่…
ไปก็ช่างเถอะ! จะอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ของตน
……
……
การจากไปของหยวนฟางไม่ได้สร้างคลื่นลมอะไรให้แผนกเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้รู้สึกว่างานยุ่งขึ้นเพราะขาดคนไปหนึ่งคน ตรงกันข้าม งานทุกอย่างยังดำเนินไปอย่างลื่นไหลเป็นขั้นเป็นตอน ราวกับไม่มีคนโศกเศร้ากับการออกไปของหยวนฟางเลย
ทุกคนต้องทำงาน ควรทำอะไรก็ทำอย่างนั้น
อันเยี่ยนจวินเดินเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ “หัวหน้าแผนกครับ อุปกรณ์เกี่ยวกับศัลยกรรมทางมือที่สั่งมาถึงแล้วครับ อีกไม่นานพวกเราก็พัฒนาการผ่าตัดได้แล้ว!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อันเยี่ยนจวินก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ในที่สุดก็ได้เวลาพัฒนาแผนการใหญ่ของตนแล้ว
ปกติงานที่เยอะที่สุดก็คืองานประเภทรักษาบาดแผลภายนอกหรืองานเย็บแผล เขาเป็นศัลยแพทย์ทางมือแต่กลับไม่มีห้องผ่าตัดที่เหมาะสม ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน ในที่สุดวันนี้อุปกรณ์ที่จำเป็นในห้องผ่าตัดก็มาถึงแล้ว!
หลี่เป่าซานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดียิ่ง! เขายิ้มพูดกับเฉินชางว่า “เฉินชาง ช่วงนี้คุณไปช่วยอันเยี่ยนจวินก่อนนะครับ สร้างชื่อเสียงให้ศัลยกรรมทางมือก่อน ยังไงซะคุณก็เคยไปช่วยโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑลแล้ว ตอนนี้โรงพยาบาลของพวกเรามีห้องผ่าตัดที่เหมาะสม ต่อไปคุณก็ทำงานไปดีๆ ซะนะครับ! ห้ามวิ่งไปวิ่งมาอีก!”
เฉินชางยิ้ม “จะทำภารกิจให้สำเร็จแน่นอนครับ!”
ความจริงสิ่งที่หลี่เป่าซานเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่กลัวเฉินชางจะถูกแย่งตัวไปต่างหาก เพราะอย่างไรตอนนี้ก็มีคนจับจ้องเขาไม่น้อย ดีที่เรื่องผ่าตัดฝางยงหลินยังไม่ถูกแพร่ออกไป หากมีข่าวเล็ดลอดออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีคนมากขนาดไหนมาพูดเรื่องเพ้อฝันและเรื่องอนาคตกับเฉินชาง!
หลายวันมานี้งานผ่าตัดของแผนกฉุกเฉินเพิ่มขึ้นมาก เฉินชางกับหวังหย่งก็ยิ่งยุ่ง
เวลาบ่ายสามโมงกว่า เฉินชางเพิ่งกลับมาจากห้องผ่าตัด จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนอุ้มลูกวิ่งทะยานเข้ามา!
“หมอครับ ช่วยด้วย!”
“หมอครับ ช่วยลูกผมด้วย!”
เฉินชางได้ยินเสียงนี้มาแต่ไกลจึงรีบวิ่งเข้าไปดู!
นางพยาบาลฉางลี่น่าก็รีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ “ไม่ทราบว่าเป็นอะไรมาคะ เกิดอะไรขึ้น?”
ชายวัยกลางคนมีสีหน้าร้อนใจและหวาดกลัว ในดวงตาเต็มไปด้วยแววร้องขอ “ลูกผมยัดยางลบเข้าไปในจมูกแล้วเอาไม่ออกครับ ตอนเพิ่งยัดเข้าไปก็ไอออกมาด้วยครับ ไอหนักมาก ผมเลยรีบอุ้มลูกมาที่นี่ ตอนนี้ดูเหมือนลูกไม่หายใจแล้ว…หมอครับช่วยลูกผมด้วย!”
ชายคนนั้นพูด ค่อยๆ ทรุดตัวลงพร้อมน้ำตา
ชายคนนี้ดูท่าทางอายุไม่มาก ประมาณสามสิบต้นๆ ลูกก็เพิ่งจะสามสี่ขวบเท่านั้น!
[ติ๊ง! กระตุ้นภารกิจช่วยชีวิตเด็ก หากทำภารกิจสำเร็จจะได้รับรางวัล: คะแนนทักษะ 2 คะแนน!]
เฉินชางได้ยินเสียงระบบแจ้งเตือนดังขึ้นกะทันหันแต่กลับไม่มีเวลาไปสนใจ! ก็เหมือนกับที่ชายคนนั้นบอก จะต้องมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดกั้นทางเดินหายใจแน่นอน
สถานการณ์เช่นนี้จะว่าหนักก็หนัก จะว่าเบาก็เบา ปกติแล้วหากสิ่งแปลกปลอมมีขนาดเล็กจะทำให้เกิดการอักเสบเท่านั้น แต่หากปล่อยไว้นานเกินไป ไม่จัดการให้ทันท่วงทีก็จะทำให้เกิดภาวะขาดอากาศและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต!
เด็กน้อยมีอายุประมาณสามสี่ขวบเท่านั้น เป็นวัยที่เพิ่งเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาลเอง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รีบเดินเข้ามาอุ้มเด็กวิ่งตรงไปยังห้องส่องกล้องทันที!
“ไปห้องส่องกล่องกับผม ดูว่าจะเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาได้หรือเปล่า!”
ชายคนนั้นชะงักไปเล็กน้อย รีบตามเฉินชางไปยังห้องส่องกล้องทันที!
หากตอนนี้เฉินชางปล่อยให้อีกฝ่ายอุ้มลูกด้วยตัวเอง อาจทำให้สิ่งแปลกปลอมเคลื่อนตัวลึกเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ ถึงตอนนั้นอาจทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น…เนื่องจากหลอดลมของเด็กค่อนข้างแคบ และยางลบก็ไม่นับเป็นของเล็ก หากยางลบยังอยู่บนๆ ก็ดี ยังส่องกล้องและใช้แหนบคีบออกมาผ่านทางหลอดลมได้
แต่ตอนนี้เด็กถูกอุ้มจนโคลงเคลงไปมาเป็นเวลานาน เฉินชางกลัวว่าสิ่งแปลกปลอมจะเคลื่อนตัวลึกลงไป หากเป็นเช่นนั้นอาจนำสิ่งแปลกปลอมออกมาผ่านการส่องกล้องไม่ได้แล้ว!
ทุกวินาทีที่ผ่านไปเปรียบเสมือนการต่อสู้กับมัจจุราช!
เฉินชางวิ่งไปอย่างรวดเร็ว! เมื่อมาถึงประตูห้องส่องกล้อง เฉินชางก็พูดกับพยาบาลว่า “รีบเปิดประตูทีครับ เด็กมีอาการหายใจไม่ออก ต้องส่องกล้องเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมออกมาจากหลอดลม!”
หลายคนชะงักไป แต่ก็รีบเปิดประตูห้องส่องกล้องให้ เฉินชางวิ่งเข้าไปพลางพูดกับชายคนนั้นว่า “คุณอย่าเพิ่งเข้ามา!”
ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบห้องส่องกล้องคือเซียวเหอ ยังอายุไม่มาก เพิ่งจะสี่สิบต้นๆ เป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่!
เมื่อเห็นเฉินชางอุ้มเด็กเข้ามาก็ดวงตาหดเกร็ง แม้จะไม่ได้ถามแต่ก็พอเดาได้คร่าวๆ “ทางนี้ครับ!”
เฉินชางเห็นดังนั้นก็รีบอุ้มเด็กเดินเข้าไปทันที!
“หัวหน้าเซียว ผมมาจากแผนกฉุกเฉินครับ เด็กเพิ่งถูกส่งตัวมา เขายัดเอายางลบเข้าไป ตอนนี้ลมหายใจอ่อนแรง ผมกลัวว่าจะทนได้ไม่นานแล้ว!”
เซียวเหอได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้า ลุกขึ้นเปิดเครื่องมือพลางพูดว่า “อุ้มเด็กมาครับ ดูว่าเอาออกมาได้หรือเปล่า”