เฉียวเซิงต้องถามนักเรียนหลายคนกว่าจะรู้ว่าฉินหร่านมากับพี่ชายของเธอ จากนั้นเขาก็เข้าไปในร้านค้า
เขาเห็นว่าเกาหยางยังพูดไม่จบง่ายๆ เขาจึงเข้าไปหาฉินหร่าน
“พี่ชายของเธอ…” เฉียวเซิงเคยคิดว่าพี่ชายของฉินหร่านคือหลินจิ่นเซวียน แต่ที่เขาเห็นมันไม่ใช่
เขาไม่เคยได้ยินฉินหร่านพูดว่ามีพี่ชาย
“นี่น้ำของคุณ” ฉินหร่านมองไปที่ชั้นสองและเหลือบเห็นหนิงฉิงท่ามกลางผู้คน เธอกลอกตาไปมา เลิกคิ้วและน้ำเสียงของเธอก็เฉยเมย
เฉียวเซิงเกาหัวตัวเองและจำได้ว่าเมื่อเช้าหนิงฉิงมากับฉินอวี่ เขาคิดว่าทั้งคู่มีแม่คนเดียวกันและเขาก็ก้มหน้าลงเงียบๆ
เขาเดินตามเธอไปทีละก้าว
“นั่นเฉียวเซิงใช่ไหม” เพื่อนของหนิงฉิงกระซิบ
เฉียวเซิงดูเอาแต่ใจแต่สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นนายน้อยตระกูลเฉียว นอกจากสวีเหยากวงแล้วก็ยากนักที่จะเห็นเขาอารมณ์ดีกับใคร
หนิงฉิงก็เห็นเขาเช่นกัน เด็กชายที่ชั้นล่างเดินตามหลังฉินหร่านไปเรื่อยๆ เขาถือน้ำไว้ในมือและมักเอียงคอคุยกับหญิงสาว หญิงสาวขี้เกียจและไม่อยากคุย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจ
เขายังคงยิ้มให้
“ฉันจะไปเข้าห้องน้ำนะ” อารมณ์ของหนิงฉิงค่อนข้างสับสน เธอจึงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เธอไม่อยากมาร่วมการประชุมผู้ปกครองของฉินหร่านเพราะกลัวว่าจะได้รับความอับอาย เธอกลัวว่าคนอื่นจะมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ และวิพากษ์วิจารณ์เธอ “ดูสิ นั่นไงแม่ของฉินหร่าน”
แต่ตอนนี้…
หนิงฉิงเปิดก๊อกแล้วเอาน้ำตบเบาๆ ที่ใบหน้าของตัวเอง
**
การประชุมผู้ปกครองของห้องสามทับเก้าใกล้จะจบลงแล้ว
เกาหยางให้เฉิงเจวี้ยนพูดอยู่คนเดียวในห้องทำงาน เขาส่งบันทึกข้อมูลขนาดเล็กให้เฉิงเจวี้ยน และพูดว่า “ฉินหร่านไม่ได้โง่ ถ้าเธอพยายามเธอก็จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ เธอต้องการให้พ่อแม่ช่วยกันชี้แนะเธอ หากคุณพอมีเวลาก็ใส่ใจชีวิตของเธอให้มากหน่อย ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กไปตามมีตามเกิด…”
การเผชิญหน้ากับเฉิงเจวี้ยนทำให้เกาหยางรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ปกครองของเฉียวเซิง
เขาดูอบอุ่นมากๆ แต่ก็ดูสง่ามากเช่นกัน
เฉิงเจวี้ยนพลิกดูบันทึกข้อมูลขนาดเล็ก มันมีไม่กี่หน้าแต่ว่าละเอียดมาก เขาเขียนแม้แต่หนังสือที่ฉินหร่านอ่าน
“ขอบคุณครับ อาจารย์” เฉิงเจวี้ยนปิดบันทึกข้อมูลลง ปกติแล้วคุณเจวี้ยนจะไม่ฟังคนอื่นเลยแต่วันนี้เขาตั้งใจฟังคำสอน “ผมจะแนะนำเธออย่างดีครับ”
หลังจากพูดจบเขาก็ออกไปที่ที่ฉินหร่านกับเฉียวเซิงอยู่ เขาออกตามคุณนายเฉียวมา
“คุณเป็นอะไรกับฉินหร่าน…” เฉียวเซิงคิดว่าเฉิงเจวี้ยนเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉินหร่านหรืออะไรสักอย่างและคิดในใจว่ายีนของพวกเขาดีจริงๆ
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ยัดคู่มือลงในกระเป๋าของเขาและมองไปที่เฉียวเซิงอย่างใจเย็น
เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา แต่น้ำเสียงของเฉียวเซิงน่าอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“ผมไม่ใช่พี่ชายของเธอหรอก” เฉิงเจวี้ยนลดสายตาลง ดวงตาของเขาหม่นแสงและเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ในดวงตาเขามีฉินหร่าน น้ำเสียงของเขาราบเรียบและแหบพร่า
“งั้น…” เฉียวเซิงกำลังจะพูดต่อแต่โดนแม่เตะเข้าเสียก่อน
ทั้งวิตกทั้งโหดเลย
เฉียวเซิงกลืนคำพูดของเขาลงไป
ฉินหร่านยังคงไปเยี่ยมยาย เมื่อทั้งสี่คนมาถึงประตูโรงเรียนพวกเขาก็แยกทางกัน
หลังจากฉินหร่านออกไปกับเฉิงเจวี้ยน เฉียวเซิงก็นวดขาตัวเอง “แม่เตะผมทำไม”
“อย่าเป็นคนสอดรู้สอดเห็นสิ” คุณนายเฉียวมองไปที่รถฟ็อลคส์วาเกินที่มีป้ายปักกิ่งอยู่ด้านหลังขับออกไป ในที่สุดเธอก็มั่นใจ “คราวหน้าถ้าเจอฉินหร่าน…”
“ช่างเถอะ” เธออยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยังเก็บงำไว้ เธอเหลือบมองไปยังทิศทางที่รถเพิ่งออกไป “กลับกันเถอะ”
**
รถสีดำติดป้ายทะเบียนปักกิ่งหยุดที่ประตูโรงพยาบาล
“ถ้าคุณลงมาช่วยโทรหาผมก่อน ผมจะอยู่ที่ตึกตรงข้ามแผนกผู้ป่วยใน” เฉิงเจวี้ยนวางมือบนพวงมาลัย
เขามองไปด้านข้างและเปิดประตูให้ฉินหร่าน
พื้นที่ในรถก็ไม่เล็กแต่ฉินหร่านยังจมดิ่งกับความคิดของตัวเอง เมื่อเธอรู้สึกตัว เฉิงเจวี้ยนก็เปิดประตูให้แล้ว
ใบหน้าของเขาใกล้เธอมาก
เธอเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ทั้งละเอียด งดงามและกลิ่นน้ำหอมมินต์เย็นๆ จากตัวเขาอยู่รอบตัวเธอ
มันเป็นเพียงเวลาไม่กี่วินาทีก่อนที่ประตูจะเปิดออก
ฉินหร่านลงจากรถ เฉิงเจวี้ยนมองตามหลังของเธอที่อยู่ภายใต้แสงตะวัน ช่างบอบบางและอวดดี
เขายิ้มน้อยๆ
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ลงจากรถ ที่จริงวันนี้เขาไม่มีอะไรทำ เขาค่อยๆ หยิบสมุดบันทึกข้อมูลที่เกาหยางเพิ่งให้เขาและดูคำแนะนำที่เขียนไว้ในนั้น
สักพักใหญ่ๆ เขาลดกระจกรถลงครึ่งหนึ่งแล้วหยิบบุหรี่ออกมาสูบ
สายตาของเขาดูแน่วแน่ขึ้น
ฉินหร่านไม่ได้บอกยายเรื่องประชุมผู้ปกครอง วันนี้เธอมาสายเธอจึงแก้ตัวไปตามน้ำและยายของเธอก็ไม่เคยสงสัยเธอเลย
หนิงเวยกับมู่หนานก็อยู่ที่นี่
มู่หยิงกับมู่หนานฝึกทหารเสร็จสิ้นแล้วเมื่อวานนี้ ทั้งสองคนดำขึ้น มู่หนานยังสบายดีแต่มู่หยิงดำลงไปหนึ่งเฉด
การไปเยี่ยมยายด้วยกันในเช้าวันเสาร์จึงกลายเป็นการชุมนุม
จากนั้นไม่นานหนิงฉิงก็มาถึง
ดูเหมือนเธอคิดอะไรซับซ้อนอยู่ในหัว
“วันนี้อวี่เอ๋อร์ไม่มาเหรอ” เฉินซูหลานสภาพจิตใจไม่สู้ดีนัก เธอป่วยและผมของเธอเป็นสีเทา
หนิงฉิงมองฉินหร่าน เธอปล่อยวางความคิดที่ยุ่งยากของตัวเองก่อนยิ้ม “อวี่เอ๋อร์กลับไปซ้อมไวโอลิน ป้าของเธอพบอาจารย์ชื่อดังที่ปักกิ่งเป็นปรมาจารย์ในวังดังระดับโลก ช่วงนี้อวี่เอ๋อร์เลยฝึกอย่างหนักเพื่อให้เขารับเธอเป็นศิษย์”
เมื่อพูดถึงฉินอวี่ ใบหน้าของหนิงฉิงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม การมีฉินอวี่อยู่ถือเป็นความภาคภูมิใจของเธอ
“ลูกพี่ลูกน้องคนนี้น่าทึ่งมาก” มู่หยิงประหลาดใจ
เธอไม่รู้เรื่องพวกนี้เท่าไร แต่การได้ยินเรื่องปรมาจารย์ก็ทำให้เธอประหลาดใจ
“ใช่ ครูของเธอได้เดินทางไปทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้เอง พอเขากลับมาที่ปักกิ่งอวี่เอ๋อร์ก็จะไปพบเขา”
มู่หยิงพาหนิงฉิงนั่งเก้าอี้และหนิงฉิงนั่งลง
เธอพูดคุยราวกับว่าเขาเป็นครูของฉินอวี่อยู่แล้ว
“เก่งมาก” เฉินซูหลานอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉินหร่านที่กำลังหั่นแอปเปิลอย่างช้าๆ และจริงจัง
มีดปอกผลไม้แหลมคมกลายเป็นของเล่นสำหรับเธอ
เฉินซูหลานถอนหายใจและหันหัวไป “ครูคนไหนที่อวี่เอ๋อร์นับถือเหรอ”
“ปรมาจารย์เว่ยหลิน” หนิงฉิงยกแก้วน้ำขึ้นจิบ “แม่คงไม่เคยได้ยินชื่อเขาหรอก”
เว่ยหลินเป็นปรมาจารย์ผู้เก่งกาจในวัง ชื่อเสียงของเขาได้ดังมากในชนชั้นสูง และหนิงฉิงเพิ่งรู้จักเขาเมื่อไม่นานมานี้
หลังจากที่เธอพูดจบเธอก็เห็นเฉินซูหลานนิ่งไป
“แม่เป็นอะไรไปเหรอคะ”