เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 45 การติดต่อครั้งแรก

 

 

 

“แม่เป็นอะไรไปเหรอคะ” หนิงฉิงรู้สึกว่าท่าทางของเฉินซูหลานแปลกๆ  

 

 

เฉินซูหลานเงยหน้าขึ้นและพูดอ้อมแอ้มว่า “ครูเว่ยหลินคนนี้ชื่อคุ้นๆ…”  

 

 

ฉินหร่านปอกแอปเปิลแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เธอป้อนแอปเปิลใส่ปากของเฉินซูหลาน  

 

 

แล้วพูดอย่างเรียบๆ ว่า “ยายคะ กินแอปเปิลค่ะ”  

 

 

คำพูดเฉินซูหลานติดอยู่ในลำคอของเธอ  

 

 

หนิงฉิงวางแก้วน้ำชาลงและไม่ได้สนใจอะไรมาก “เอ๊ะ หนูคิดว่าคงเป็นหนึ่งในเพื่อน  

 

 

ที่เล่นไพ่นกกระจอกของแม่ที่มีชื่อเหมือนกัน มันเป็นชื่อทั่วไป”  

 

 

“คงงั้น” เฉินซูหลานกล่าวอย่างคลุมเครือ ตอนนี้ฟันของเธอไม่ค่อยดีจึงเคี้ยวช้ามาก  

 

 

ฉินหร่านหั่นแอปเปิลเสร็จแล้ว เธอวางมันลงบนจานแล้วเสียบไม้จิ้มฟันลงไปในชิ้นแอปเปิล  

 

 

เฉินซูหลานเอาแต่มองฉินหร่านอย่างเงียบๆ ฉินหร่านถอนหายใจเงียบๆ ก้มหน้าลงพูดอย่างอบอุ่น“หนูกลับไปเรียนก่อนนะคะ”  

 

 

เธอยังต้องทำงานพิเศษที่ร้านชานมไข่มุก  

 

 

“ตั้งใจเรียนล่ะ ยายรอให้หลานเข้ามหาวิทยาลัยอยู่นะ”  

 

 

ฉินหร่านก้มศีรษะลงเล็กน้อยและดูเหมือนจะยิ้มแต่เธอพูดอย่างจริงจัง “ค่ะ หนูจะพยายาม”  

 

 

เธอหันหลังกลับออกไป หนิงฉิงจำการประชุมผู้ปกครองเมื่อเช้านี้ได้และออกไปข้างนอกด้วย  

 

 

บนเตียงของโรงพยาบาล เฉินซูหลานมองตามหลังของฉินหร่านด้วยดวงตาขุ่นมัว  

 

 

เธอเคยได้ยินชื่อ “ครูเว่ยหลิน” มาก่อน  

 

 

ไม่ใช่ว่าอาจารย์ที่มาจากเมืองหลวงและไปอยู่ที่หมู่บ้านหนิงไห่ของพวกเขาทั้งเดือนเพื่อจะรับฉินหร่านเป็นศิษย์ก็ชื่อเว่ยหลินเหมือนกันเหรอ  

 

 

ด้านนอกประตู หนิงฉิงเดินแซงฉินหร่านไปสองสามก้าว  

 

 

นี่คือแผนกวีไอพี ตรงทางเดินจึงมีคนไม่มากนัก  

 

 

หนิงฉิงลดเสียงลง “ทำไมวันนี้ไม่ให้ป้าของแกไปประชุมผู้ปกครองล่ะ”  

 

 

“ป้าไม่ว่าง” เมื่อไม่มียายอยู่ ฉินหร่านก็ไม่ต้องอดทนอะไร เธอเหลือบมอง คิ้วสวยของเธอเย็นชาเล็กน้อยและยังดูยุ่งเหยิง  

 

 

เธอยกมือขึ้นกดประตูลิฟต์ “มีอะไรอีกไหมคะ”  

 

 

“งั้น…” จิตใจของหนิงฉิงยังเต็มไปด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เธอถาม “แกเข้ากับเพื่อนในห้องได้ยังไง แกชินกับการเรียนหรือยัง แล้วมีเพื่อนกี่คน”  

 

 

หลังจากเรียนมาตั้งหลายวัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินหร่านได้ยินหนิงฉิงถามเกี่ยวกับการเรียนของเธอ  

 

 

“ก็ดีค่ะ” เธอพูดด้วยความอดทนและรวบรัด “หนูไปก่อนนะคะ”  

 

 

หนิงฉิงยังอยากถามว่าเธอสนิทกับเฉียวเซิงหรือเปล่า แต่ฉินหร่านไม่อยากคุยกับเธอ เธอทำได้เพียงมองประตูลิฟต์ปิดลงอย่างช้าๆ ต่อหน้าเธอ  

 

 

การแสดงออกของเธอค่อนข้างซับซ้อน  

 

 

**  

 

 

ฉินหร่านเดินลงไปชั้นล่าง เธอมีบัตรรถประจำทางและไม่ได้โทรหาเฉิงเจวี้ยน มีรถประจำทางสายสิบสองที่วิ่งตรงไปโรงเรียนอีจงซึ่งสะดวกสบายมากๆ  

 

 

ทันทีที่เธอออกจากประตูโรงพยาบาลและยังไม่ถึงป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม  

 

 

ก็มีรถสีดำมาจอดอยู่ตรงหน้า  

 

 

กระจกหน้าต่างรถเลื่อนลง เฉิงเจวี้ยนเคาะพวงมาลัยด้วยนิ้วเรียวงาม ยันตัวขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้วแล้วพูดช้าๆ “ขึ้นมา”  

 

 

รถขับตรงไปยังห้องพยาบาล  

 

 

ฉินหร่านสังเกตว่าประตูห้องพักแพทย์ของโรงเรียนเปิดอยู่ เธอหยุด เขาไม่ได้บอกเหรอว่าวันนี้ลู่จ้าวอิ่งมีภารกิจที่ต้องเข้าร่วมด้วย  

 

 

เธอแค่คิดถึงเรื่องนั้น  

 

 

เธอเห็นชายในชุดดำเดินออกมาจากห้องพยาบาล  

 

 

เขาสวมเสื้อแขนสั้นและมีรอยสักสีฟ้าจางๆ ที่แขน เขาเต็มไปด้วยรังสีอํามหิต  

 

 

และคงไม่ดีนักหากอย่าไปยั่วโมโหเข้า  

 

 

“คุณเจวี้ยน” ชายชุดดำกล่าวเมื่อเฉิงเจวี้ยนลงจากรถด้วยความสุภาพและระมัดระวัง  

 

 

“การสอบสวน…”  

 

 

ก่อนจะพูดจบเขาก็เห็นอีกคนลงจากรถมาพร้อมกับคุณเจวี้ยน  

 

 

ก็ไม่แปลกนักหรอกที่มีคนอื่นอยู่บนรถกับคุณเจวี้ยน แต่กลับเป็นผู้หญิง… ชายในชุดดำตะลึง  

 

 

“ไปกินข้าวก่อนเถอะ” ข้างนอกอากาศร้อนเฉิงเจวี้ยนก็เอื้อมมือไปปลดกระดุมที่คอเสื้อของเขา  

 

 

เขานึกอะไรได้ขึ้นมาจึงพูดด้วยเสียงต่ำ “คุณเอาของมาหรือเปล่า”  

 

 

“… เอามา” ชายชุดดำได้สติ  

 

 

แต่เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองฉินหร่าน  

 

 

เมื่อทั้งสามเข้ามาในบ้าน ฉินหร่านมองโต๊ะที่เคยว่างเปล่าในห้องพยาบาลกลับมีกองหนังสือเต็มไปหมด  

 

 

ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะอธิบายว่าเป็น “กอง”  

 

 

“ดื่มน้ำสิ” เฉิงเจวี้ยนหยิบแก้วรินน้ำอุ่นให้ฉินหร่าน  

 

 

เขาเดินไปที่กองหนังสือบนโต๊ะ  

 

 

หลังจากเลือกแล้วก็หยิบหนังสือห้าเล่มส่งให้ฉินหร่าน  

 

 

ฉินหร่านชำเลืองมองหนังสือ “…”  

 

 

การสอบเข้าวิทยาลัยขั้นตอนที่หนึ่ง  

 

 

“คุณเกาถามผมว่าคุณกำลังอ่านหนังสืออยู่” เฉิงเจวี้ยนหันมารินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว น้ำเสียงของเขาเกียจคร้านและเขาหรี่ตาลง  

 

 

“ผมเลือกเล่มที่เหมาะคุณให้แล้ว” เฉิงเจวี้ยนถือน้ำเข้ามา ตอนที่เธอไปเยี่ยมยายที่โรงพยาบาล เขาก็ได้คิดแผนทบทวนไว้ให้เธอแล้ว  

 

 

เขาเดินไปชี้ที่หนังสือแล้วย่อตัวลงเท่าฉินหร่าน เขาก้มศีรษะลงเพื่อแนะนำเอกสาร  

 

 

ทบทวนบทเรียนให้ฉินหร่าน  

 

 

ฉินหร่านหยิบหนังสือขึ้นมา กะพริบตา เอียงหัวแล้วพูดช้าๆ “…ฉันไม่อยากได้”  

 

 

ทั้งคู่สบสายตากัน เส้นผมของเขาปรกตา ปาก จมูกและหน้าผากของเขา  

 

 

ระยะห่างแค่นี้แม้แต่เสียงลมหายใจเพียงเล็กน้อยของเขาก็ยังได้ยิน  

 

 

ฉินหร่านมักจะไม่สนใจ เย็นชาและเฉยชา  

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่อาจทนได้ เขายืนตัวตรง ถอยหลังและพูดอย่างจริงจังว่า “คุณเกาบอกว่าคุณฉลาดมาก ตราบใดที่คุณตั้งใจเรียน การเข้ามหาวิทยาลัยก็เป็นเรื่องง่าย”  

 

 

ฉินหร่านเอียงคอและเพ่งมองไปที่หนังสือเพราะว่าเธอไม่เคยเห็นข้อมูลในหนังสือเล่มนี้  

 

 

เธอหยิบหนังสือทั้งห้าเล่มขึ้นมา ด้านบนของหนังสือเล่มหนึ่งมีรูปวาดไฮเพอร์โบลาและดูเหมือนจะมีตัวเลขยุ่งๆ เล่มต่อไปคือแบบทบทวนฟิสิกส์…  

 

 

ฉินหร่านนิ่งก่อนพูดขึ้นว่า “ขอบคุณค่ะ”  

 

 

อาหารของวันนี้ยังคงมาส่งจากโรงแรม และชายในชุดดำพยายามอย่างมากที่จะทำให้ตัวเองเหมือนไม่มีตัวตน  

 

 

เขาหยุดมองฉินหร่าน  

 

 

หลังจากรับประทานอาหาร ฉินหร่านกลับไปที่ห้องนอนของเธอ  

 

 

วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ไม่มีใครอยู่ในห้องนอน อู๋เหยียนไปเรียนคาบศึกษาด้วยตัวเอง ส่วนหลินซือหรานก็กลับบ้านไปกับ พ่อของเธอ ฉินหร่านวางหนังสือลงบนโต๊ะ  

 

 

จากนั้นเธอก็หยิบคอมพิวเตอร์ออกมาเปิดเครื่อง  

 

 

คอมพิวเตอร์เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอเอื้อมมือออกและกดปุ่มสองสามปุ่มอย่างเร็วและเสียงก็ดังขึ้น  

 

 

เสียงจากชายคนนั้นพูดว่า “ในที่สุดคุณก็ติดต่อฉันมาได้แล้วเหรอ”  

 

 

“ว่ามา” ฉินหร่านไปห้องน้ำและหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า  

 

 

เธอเปิดเครื่องเปลี่ยนเสียงและเสียงของเธอก็แหบพร่า  

 

 

“คนอื่นๆ เอาแต่ถามฉันว่าคุณจะเริ่มรับคำสั่งได้หรือยัง” ชายคนนั้นหยุด พึมพำและก็บ่น “อาจารย์ คุณบอกว่าคุณอยู่ในสภาพที่เลวร้ายและต้องการหยุดพัก รู้ไหมว่าคุณหายไปนานแค่ไหนโดยไม่มีคำสั่งใดๆ หนึ่งปีสี่เดือนแล้วนะ”  

 

 

ฉินหร่านนั่งบนเก้าอี้ใช้มืออีกข้างหนึ่งพลิกหนังสือของเธอแล้วหัวเราะ “ฉังหนิง ฉันจำได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีการสั่งซื้อสิบล้านครั้ง”  

 

 

หากมีคนที่รู้เรื่องนี้เข้า การแสดงออกของเขาก็จะเปลี่ยนไปทันที  

 

 

ฉังหนิง ผู้ก่อตั้งหน่วยสืบสวนหนึ่งสองเก้า ไม่รู้ว่าหน่วยสืบสวนแห่งนี้เชื่อมโยงกับเว็บมืดหรือไม่ แต่ทุกคนรู้ดีว่าหากมันคือการค้าผ่านแดนและมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีข้อมูลอะไรที่หน่วยหนึ่งสองเก้า หาไม่พบและไม่มีคดีไหนที่พวกเขาแก้ไม่ได้  

 

 

“ตอนนี้สถานการณ์ของคุณดีขึ้นหรือยัง” ฉังหนิงถามอย่างจริงจัง  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset