เสน่ห์คมดาบ – ตอนที่ 113

เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองเปลวไฟตรงหน้าที่กำลังขยายตัวและเข้าใกล้มาเรื่อยๆ อย่างกังวล เขารู้ดีว่าโล่เหล่านั้นไม่สามารถหยุดการโจมตีของบุคคลผู้นั้นได้  

 

 

เมื่อเปลวไฟผ่านจุดไหนทุกอย่างก็จะกลายเป็นเถ้าถ่าน เหลือพื้นดินอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  

 

 

โล่ที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นวางกั้นไว้ถูกทำลายไปในทันที พลังของทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย  

 

 

หากได้สัมผัสเปลวไฟที่น่ากลัวนั้นคงจะหายนะอย่างแน่นอน ร่างกายที่แข็งแกร่งของมังกรดำยังถูกเผาไหม้ขนาดนั้น ไม่ต้องจินตนาการถึงเนื้อหนังของมนุษย์อย่างพวกเขาเลย  

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นสามารถบินหนีไปได้ แต่เขาไม่สามารถทิ้งทุกคนไว้ได้ หัวใจของทุกคนวิตกกังวลอย่างมาก ไป๋ตี้ประสานอุ้งเท้าเล็กๆ ของเขาอย่างใจจดใจจ่อและมองไปที่แคลร์ที่ติดอยู่ในกำแพงนั้น เจ้าลูกบอลสีดำก็ประสานสองอุ้งเท้าไว้ที่หน้าอกของมัน และเอียงหัวมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน  

 

 

“เบน! พาพวกเขาออกไป!” แคลร์ตะโกน “เจ้าสัญญากับข้าไว้แล้ว ตอนนี้ทำให้เป็นจริงซะ คืนร่างที่แท้จริงของเจ้าแล้วพาพวกเขาออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”  

 

 

โฮก…  

 

 

มังกรดำคำรามขึ้นไปบนฟ้าและกลับคืนสู่ร่างเดิม กรงเล็บทั้งสองของเขาคว้าคนทั้งหมดแล้วเหวี่ยงพวกเขาขึ้นบนหลังของตน จากนั้นก็กระพือปีกและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ตอนนี้เขาไม่สนใจศักดิ์ศรีของเผ่ามังกรอีกต่อไป เขาไม่สนใจสิ่งที่เคยสาบานว่าจะไม่ยอมให้มนุษย์ต่ำต้อยขึ้นขี่หลังของเขาแล้ว  

 

 

“พวกเจ้าจะหนีหรือ? ฮึ่ม!” หั่วซีหยูตะคอกอย่างเย็นชา เขาสะบัดนิ้วแล้วเปลวไฟสีน้ำเงินก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและไล่ตามมังกรดำไป  

 

 

“โธ่เอ๊ย!” แคลร์กำหมัดจนข้อนิ้ว กลายเป็นสีขาว นางเก็บดาบให้ หายไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นมือทั้งสองก็ประสานที่หน้าอกแล้วจิตของนางก็ให้กำเนิดพลังในร่างกาย หลังจากแยกฝ่ามือออกจากกัน เปลวไฟสีทองและสีขาวก็ปรากฎขึ้นที่มือแต่ละข้าง จากนั้นนางก็ประสานเปลวไฟทั้งสองให้ รวมกันอย่างรวดเร็ว  

 

 

“เจ้ากำลังทำอะไร?” หั่วซีหยูมองการกระทำของแคลร์จากหางตาของเขา ใบหน้าของเขาก็ เปลี่ยนไปอย่างมาก สิ่งที่แคลร์กำลังทำอยู่ในตอนนี้อันตรายมาก! นางต้องการที่จะหลอมรวมสองเปลวไฟที่แตกต่างกันแล้วระเบิดกำแพง! พื้นที่เขตกั้นนั้นจำกัด มาก หากทำเช่นนั้นนางจะทำร้ายตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ  

 

 

แคลร์ไม่พูดอะไรแล้วรวมเปลวไฟเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปล่อยมันไปที่เขตกั้น  

 

 

ทันใดนั้นเขตกั้นก็แยกออก!  

 

 

เปลวไฟในมือของแคลร์มุ่งตรงไปที่หั่วซีหยูแล้วระเบิด อย่างรุนแรง  

 

 

หั่วซีหยูไม่ทันได้เตรียมตัว แม้ว่าเขาจะได้สติและหลบเปลวไฟได้ เขาก็ยังถูกเปลวไฟไหม้ที่แขนอยู่ดี  

 

 

แคลร์กระพือปีกในอากาศและมองหั่วซีหยูอย่างเย็นชาโดยไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อยในสายตาของนาง  

 

 

“เจ้า เจ้าคำนวณไว้แล้วว่าข้าจะเปิดเขตกั้นให้เจ้า เจ้าจึงเล็งมาที่ข้า ที่จริงเจ้าไม่ได้ต้องการจะระเบิดเขตกั้นแต่ต้องการโจมตีข้า” หั่วซีหยูกัดฟันและจับแขนของเขา เมื่อกี้พอหั่วซีหยูเปิดเขตกั้น เปลวไฟที่แตกต่างกันของแคลร์ก็โจมตีเขาจนได้รับบาดเจ็บทันที  

 

 

แคลร์ไม่ได้พูดอะไร แต่มองหั่วซีหยูอย่างเย็นชา  

 

 

จิตใจของหั่วซีหยูผันผวนและเปลวไฟก็ค่อยๆ หายไป  

 

 

“ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!” หั่วซีหยูรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างผิดปกติกับแผลที่แขนของเขาและ สาปแช่งนางด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว “ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี เช่นนั้นก็ไปตายซะ”  

 

 

แคลร์บีบมือขวา รอยยิ้มแปลกๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนางและนางก็พูดอย่างเย็นชา “น่าเสียดายที่ข้าจะไม่ตาย เจ้าต่างหากคือคนที่จะตายในวันนี้”  

 

 

“ไม่รู้จักละอายใจ!” คำพูดของแคลร์ทำให้หั่วซีหยูโกรธขึ้นอย่างชัดเจน ใบหน้าของหั่วซีหยูเย็นชาและไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ ตาข่ายเปลวไฟสีน้ำเงินปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวแคลร์ หั่วซีหยูหัวเราะเยาะ ดวงตาของเขาบิดเบี้ยวและดุร้าย “คราวนี้เจ้าระเบิดเละแน่!”  

 

 

มุมปากของแคลร์ค่อยๆ ยกขึ้นอย่างแปลกประหลาด นางมองไปที่หั่วซีหยูอย่างเย็นชา หั่วซีหยูรู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นท่าทีที่สงบของแคลร์ในขณะที่นางใกล้จะถึงแก่ความตาย  

 

 

“เจ้ามันไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หากเจ้าจะมาคุกเข่าขอร้องข้าตอนนี้ ก็ไร้ประโยชน์แล้ว ไปตายซะ!” หั่วซีหยูพูด เขากำหมัดแน่นและกำลังจะกระชับตาข่ายเปลวไฟสีน้ำเงินให้ แน่นขึ้น  

 

 

เขามองแคลร์ที่กำลังจะตาย  

 

 

ทันใดนั้นแคลร์ก็ตะโกนใส่ความว่างเปล่าตรงหน้านาง “ท่านจะรอไปถึงเมื่อไหร่? ท่านต้องการให้ข้าตายก่อนที่ท่านจะออกมาหรือ?”  

 

 

หั่วซีหยูตะลึงไปชั่วขณะ การเคลื่อนไหวของมือเขาหยุดลง นางกำลังคุยกับใคร? มีใครอยู่ที่นี่หรือ? ไม่มีอะไรอยู่ ตรงหน้าเลยนะ มีเพียงแค่อากาศ นางพูดอะไร?  

 

 

“หืม เจ้าคิดว่าทำแบบนี้จะทำให้ข้าสับสนแล้วจะหนีไปได้งั้นหรือ…” เขายังพูดไม่ทันจบ สีหน้า ของหั่วซีหยูก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน  

 

 

แรงกดดันที่ไม่มีใครเทียบได้ปรากฏขึ้น แต่ไม่มีอะไรอยู่รอบตัวเขาเลย ความกดดันที่เลวร้ายเกือบทำให้เขาบินไม่ได้ เท้าของเขาเริ่มสั่น เขาอยากจะคุกเข่าลงและก้มหัวให้กับแรงกดดันนั้น!  

 

 

นั่นคือใคร? เขาคือใครกัน?!  

 

 

หั่วซีหยูลืมตาขึ้นและมองไปที่รอยยิ้มแปลกๆ ที่มุมปากของแคลร์ เวลาต่อมา หั่วซีหยูก็รู้สึกตกใจเมื่อพบว่าร่างกายของเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย  

 

 

“เจ้า เจ้าทำอะไร?… ” หั่วซีหยูทำได้เพียงแค่พูดคำเหล่านี้ออกมา ทันใดนั้นลำคอของเขาก็แน่นขึ้นราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งรัดคอของเขาไว้แน่น เขาไม่สามารถส่งเสียงได้อีกต่อไป หั่วซีหยูมองไปที่แคลร์ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มีเลือดไหลออกมาจากดวงตาของเขาช้าๆ แล้วตาข่ายเปลวไฟสีน้ำเงินรอบๆ แคลร์ก็หายไปทันที  

 

 

แคลร์หัวเราะเยาะหั่วซีหยู แน่นอนว่านางรู้ว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุคคลนี้และไม่มีใครในกลุ่มที่เป็นคู่ต่อสู้กับบุคคลนี้ได้ นางรู้ด้วยว่าหากนางพยายามจะระเบิดกำแพงด้วยการฆ่าตัวตายเขาจะปลดเขตกั้นให้นางอย่าง แน่นอน นางรู้ว่าคนๆ นี้ใจแคบและดุร้าย เขาจะหันมาฆ่านางอย่างแน่นอน นางรู้ดีว่าเทพเจ้าแห่งความมืดจะช่วยเหลือนาง แต่ไม่ช่วยคนอื่น ดังนั้นเมื่อกี้นางจึงให้เบนพาพวกเขาออกไป ตอนนี้ ในที่สุดเทพเจ้าแห่งความมืดก็มาแล้ว  

 

 

“ข้าไม่ได้ทำอะไร แต่ต่อไปข้าคงจะทำอะไรสักหน่อยแล้วล่ะ” แคลร์ยิ้มเยาะและยกมือขึ้นสูง  

 

 

ฟรึบ…  

 

 

หอกเปลวไฟสีทองปรากฏขึ้นในมือของแคลร์  

 

 

“ตอนนี้กลายเป็นข้าที่ต้องบอกเจ้าแล้วว่า ไปตายซะ” รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแคลร์และนางก็ง้างมือของนางที่ถือหอกสีทองไปข้างหลัง  

 

 

ใบหน้าของหั่วซีหยูซีดลง ดวงตาของเขาตื่นตระหนกและสิ้นหวัง ร่างกายของเขาก็เย็นลง เขาไม่รู้ว่าทำไมสถานการณ์ถึงกลายเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการต่อต้านอย่างสิ้นเชิงและเกือบจะกลายเป็นคนธรรมดาที่สุดคืออะไรกันแน่  

 

 

“ต้องขอบคุณเจ้านะ เจ้าฆ่าทุกคนที่วิ่งมาดูจึงไม่มีใครเห็นเจ้าตอนตาย ดังนั้น จะไม่มีข่าวรั่วไหลออกไปอย่างแน่นอน” แคลร์หัวเราะเยาะแล้วใช้พละกำลังทั้งหมดของนางเล็งหอกเปลวไฟสีทองไปที่หั่วซีหยูและขว้างมันไปอย่างรุนแรง  

 

 

หอกเปลวไฟสีทองพุ่งผ่านร่างของหั่วซีหยูไป ดวงตาที่หวาดกลัวและสิ้นหวังของหั่วซีหยูจ้องอยู่ที่ร่างของแคลร์ จากนั้นก็ค่อยๆ มอดไหม้ไป ร่างกายของหั่วซีหยู ลุกไหม้อย่างช้าๆ เปลวไฟสีทองแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขาไหม้จนหมด  

 

 

เปลวไฟค่อยๆ หายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน หั่วซีหยูตายโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรทำให้เขาหยุดนิ่งจนทำให้ฆ่าเขาได้  

 

 

แคลร์กระพือปีกร่อนลงบนพื้น จากนั้นนางก็หันไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืนพร้อมกับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของนางและ พูดคำสองคำอย่างชัดเจน “ขอบคุณ”  

 

 

ฮึ เสียงเย็นเยือกดังขึ้นราวกับมีอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่สามารถมอง เห็นได้ จากนั้นรอบข้างก็เงียบลง  

 

 

แคลร์ยืนอยู่ริมหน้าผาเงียบๆ โดยมีลมเย็นพัดเบาๆ แคลร์หายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตา ความเบื่อหน่ายและความไม่สบายใจถาโถมเข้าท่วมหัวใจของแคลร์ บรรลุไปหลายขั้นแล้วแต่ ผลก็คือนางยังอ่อนแออยู่ดี! คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น แต่แท้จริงแล้วยังไม่ใช่เลย บนโลกนี้มีคนที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย ตัวนาง เองเป็นเพียงดาวดวงเล็กๆ ในทะเลแห่งดวงดาวอันกว้างใหญ่ เมื่อไหร่นาง จะสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกได้ล่ะ? เมื่อไหร่จะเข้มแข็งจนไม่มีใครสามารถควบคุมนาง ได้ เมื่อไหร่จะเข้มแข็งพอที่จะไม่มีใครทำร้ายคนที่นาง ห่วงใยได้? เมื่อไหร่จะแข็งแกร่งพอที่จะลบตราประทับของเทพเจ้าแห่งความมืดได้?  

 

 

แคลร์กำหมัดแน่น จนข้อนิ้วของนางเปลี่ยนเป็นสีขาว  

 

 

ที่โถงวิญญาณแห่ง นิกายลี้ลับ  

 

 

โคมไฟทองแดงนับพันดวงส่องสว่างไปทั่วห้องโถงกว้าง โคมไฟทองแดงแต่ละอันแสดงถึงคนจากนิกายลี้ลับ แสงเหล่านี้เป็นแสงแห่งจิตวิญญาณของพวกเขา ทุกคนจะสลักเครื่องหมายไว้ที่สิ่งนี้ เมื่อใดที่ ดับลง นั่นก็หมายความว่า คนๆ นั้นได้จากไปแล้ว  

 

 

ตะเกียงทองแดงดับลงอย่างรวดเร็วและชื่อที่อยู่ใต้โคมทองแดงนั้นคือตัวอักษรสามตัวว่าหั่วซีหยู  

 

 

ศิษย์ของนิกายเห็นแบบนี้ก็เกิดความประหลาดใจ  

 

 

“ไม่นะ โคมไฟจิตวิญญาณของผู้อาวุโสหั่วซีหยูดับแล้ว ข้าเกรงว่าจะเป็นเคราะห์ร้าย ” ศิษย์คนหนึ่งพูดด้วยความตื่นตระหนก  

 

 

“รีบรายงานไปยังโถงไฟเถอะ” ศิษย์อีกคนพูดอย่างรีบร้อน  

 

 

เมื่อศิษย์ของห้องโถงวิญญาณไปบอกข่าวกับอาจารย์ของห้องโถงไฟ ชายชราหัวหน้าห้องโถงไฟก็เพียงแค่ถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าว “จากนิสัยของซีหยู เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แล้วมันก็เกิดขึ้นแล้วในวันนี้” แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่หัวหน้าห้องโถงก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย คนอย่างหั่วซีหยู ใครจะมีความสามารถมากพอที่จะฆ่าเขาได้นะ? แต่ไม่ว่าอย่างไรหั่วซีหยูก็เป็นสมาชิกของนิกายลี้ลับและเป็นผู้อาวุโสของโถงไฟ ใบหน้าของหัวหน้าห้องโถงจมดิ่ง เขาจะต้องหาฆาตกรให้พบ  

 

 

ในเวลานี้แคลร์ยังคงยืนอยู่ที่ขอบหน้าผา สายลมพัดเข้าหานางทำให้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของนาง  

 

 

มีการไหลเวียนของอากาศที่รุนแรงอยู่ด้านหลัง แคลร์มองกลับไปเห็นว่ามังกรดำบินกลับมาแล้ว ทุกคนที่อยู่ด้านหลังต่างก็เป็นกังวล แต่เมื่อเห็นแคลร์ยืนอยู่ที่ริมหน้าผา ทุกคนก็โล่งใจ  

 

 

บาดแผลบนตัวมังกรดำได้รับการรักษาจากเหลิ่งหลิงยวิ๋นแล้ว  

 

 

มังกรดำร่อนลงมาและคนอื่นๆ ก็ลงจากหลังมังกรแล้วตรงไปหาแคลร์  

 

 

“แคลร์ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”  

 

 

“แคลร์ แล้วคนนั้นอยู่ไหนล่ะ?”  

 

 

“แคลร์ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”  

 

 

ทุกน้ำเสียงห่วงใยและกังวลทำให้หัวใจของแคลร์รู้สึกอบอุ่น แคลร์ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วยิ้ม “ข้าสบายดี คนๆ นั้นไม่ เหลือแม้แต่กระดูกเลย”  

 

 

“ใครฆ่าเขา?” ทุกคนถามโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่มีใครเชื่อว่าแคลร์จะฆ่าเขาได้ เพราะความแข็งแกร่งของคนๆ นั้นเหนือกว่าแคลร์มาก  

 

 

…………………………………………………………………………….  

เสน่ห์คมดาบ

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์ ฮิลล์ คุณหนูใหญ่สุดสำรวยแห่งตระกูลขุนนางชั้นสูงผู้มีชื่อฉาวคาวกะฉ่อนว่าโง่เง่า เอาแต่ใจและบ้าผู้ชายเป็นชีวิตพลัดตกจากหลังม้าขณะไล่ตามองค์ชายสองจนหมดสติ สร้างความอับอายให้กับตระกูลเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทีของนางกลับเปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังเท้า ไม่มีอีกแล้วคุณหนูไร้ยางอายที่คลั่งไคล้การไล่จับบุรุษรูปงาม เรื่องเรียนไม่เอาอ่าว เรื่องงานไม่เอาไหน จะมีก็แต่คุณหนูแคลร์ผู้สงบเสงี่ยมเยือกเย็น สำรวมท่าที และเปี่ยมไปด้วยพลังเวทอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเท่านั้น! เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูแคลร์คนนั้นกันแน่นะ!?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset