เสน่ห์คมดาบ – ตอนที่ 122

“เด็กบ้านั่น เอาแต่คิดที่จะปลดผนึก เขาเกือบจะตายอยู่แล้ว สลบไปตั้งสามวันสามคืน ข้าก็คิดว่าเขาคงจะไม่รอด ข้าเตรียมจะร้องไห้จัดงานศพอยู่แล้วเชียว แต่เขาก็ฟื้นขึ้นมาอีก” สาวงามร้อนแรงกลอกตาพูดแล้วยักไหล่อย่างจนใจ  

 

 

“นี่มันคือคำพูดของคนเป็นแม่งั้นหรือ?” จักรพรรดิหมดคำพูด นางพูดเหมือนกำลังเสียดายที่สุดท้ายแล้วลูกชายไม่ได้ตายเลยนะ  

 

 

“สมน้ำหน้าเจ้าเด็กบ้านั่น ทีกับแม่ของตัวเองนะไม่เคยเห็นเขาจะยืนหยัดตั้งใจจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องเลย แต่นี่เขาทำเพื่อหญิงที่ข้าไม่เคยพบมาก่อน เขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อจะให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เอาแต่พูดพร่ำว่าจะไปปกป้องหญิงผู้นั้น” สาวงามกัดฟันแล้วพูดออกมาต่อหน้าจักรพรรดิ  

 

 

เจ้ายังจะต้องการให้คนปกป้องอีกหรือ? แม่หญิงทีเร็กซ์นี่ คนเจอก็หนี สัตว์เจอก็กลัว ดอกไม้เจอยังไม่กล้าบานเลย!เจ้ายังต้องการคนปกป้องอีกหรือ? เจ้าไม่ไปทำร้ายใครก็ถือว่าดีแล้ว! จักรพรรดิกะพริบตา แน่นอนว่าเขากล้าพูดคำเหล่านี้แค่ในใจเท่านั้น เขาไม่กล้าพูดออกไปหรอก เขายิ่งไม่กล้าพูดเลยว่านางกำลังอิจฉาลูกสะใภ้ในอนาคตของนางเอง  

 

 

“เอาเถอะ ข้ากลับแล้ว หากมีข่าวอะไรก็บอกข้าด้วย” แม่หญิงทีเร็กซ์หาวแล้วก็เตรียมจะไป  

 

 

“อืม บอกเฟิงเซาด้วยนะ ว่าพรุ่งนี้ให้มาดื่มชามาเล่นหมากรุกด้วยกัน บอกเขาว่าหาเวลาพักบ้าง เงินน่ะหาได้ตลอดนั่นแหละ” จักรพรรดิพูดเสริมตามหลัง เฟิงเซาคือชื่อเล่นที่จักรพรรดิเรียกพ่อของเฟิงอี้เซวียน  

 

 

“ได้” แม่หญิงทีเร็กซ์โบกมือ หลังจากรับปากแล้วก็ออกไปทันที  

 

 

ประตูห้องหนังสือปิดลงอีกครั้ง จักรพรรดิพิงที่พนักเก้าอี้ สายตาของเขามองไปที่กรอบรูปเล็กๆ บนโต๊ะทำงาน ข้างในนั้นมีรูปใบหนึ่ง เด็กหนุ่มสองคนกำลังยิ้มและตรงกลางก็มีเด็กสาวคนหนึ่งอ้าปากหัวเราะอย่างเต็มที่ เด็กหนุ่มสองคนนั้น คือเขากับพ่อของเฟิงอี้เซวียน ส่วนเด็กสาวตรงกลางก็คือแม่หญิงทีเร็กซ์นั่นเอง ความคิดของเขาล่องลอยไปไกล จู่ๆ จักรพรรดิก็นึกถึงภาพที่เพื่อนรักทั้งสองต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือเขาเมื่อหลายปีก่อน นึกถึงแม่หญิงทีเร็กซ์ที่วางแผนในแต่ละขั้นตอนและเฟิงเซาที่ช่วยเขาสุดกำลังเพื่อให้เขายึดบัลลังก์ได้ ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วสินะ? เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ มุมปากของจักรพรรดิปรากฎรอยยิ้มจางๆ  

 

 

“ฮัดเช่ย…” แคลร์จามออกมาอย่างแรงแล้วก็ถูจมูก นางขมวดคิ้วมองพระจันทร์เสี้ยวในยามค่ำคืน “ใครนินทาว่าร้ายข้าอีกแล้วหรือ?”  

 

 

“นินทาว่าร้ายน่ะไม่มีหรอก แต่ของขวัญกับดอกไม้สดน่ะมากจนล้นแล้ว” หลี่เยว่เหวินมาปรากฏตัวที่ด้านหลังของแคลร์  

 

 

“พี่สาว พี่เป็นผีหรือไง? เข้าห้องมาก็ไม่เคาะประตู” แคลร์พูดอย่างไม่พอใจ  

 

 

“เจ้าไม่ได้ปิดประตูสักหน่อย ข้าจะเคาะทำไมล่ะ?” หลี่เยว่เหวินพูด “วันนี้ตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็นเนี่ย ที่นี่ได้รับดอกไม้สดกับของขวัญมากมายขนาดนั้น ไหนจะคำเชิญอีกตั้งมาก เจ้าพวกผึ้งตอมดอกไม้นี่!” หลี่เยว่เหวินบ่นอย่างรำคาญ  

 

 

“ใจเย็นๆ พวกเรารอคนๆ นั้นอยู่ เขาจะต้องมาแน่นอน” แคลร์เม้มปากมองพระจันทร์บนท้องฟ้าแล้วยิ้ม  

 

 

แต่ว่า ผ่านไปสามวันแล้ว องค์รัชทายาทก็ยังไม่เสด็จมา พวกที่มากลับเป็นเหล่าบรรดาขุนนางทั้งหลาย พวกเขาล้วนอยากมาเจอแคลร์ทั้งสิ้น ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามาพบหญิงสาวที่ไม่มีใครเทียบได้ที่ชื่อหลานหลิงซึ่งก็คือแคลร์ในวันนั้นนั่นเอง แต่พวกเขาก็ถูกหลี่เยว่เหวินกันเอาไว้แล้วพูดไปเพียงว่าเดี๋ยวใกล้จะถึงวันเกิดของลูกพี่ลูกน้องแล้ว จะมีการจัดงานเลี้ยงแล้วจะเชิญทุกคนมา เหล่าขุนนางก็ซักไซ้หลี่เยว่เหวินจนได้รับคำสัญญาว่าจะถูกเชิญมางานพวกเขาจึงยอมกลับไปอย่างไม่เต็มใจ สิ่งที่ทำให้หลี่เยว่เหวินทั้งโมโหทั้งขำก็คือ เหล่าคนที่เรียกร้องต้องการคำเชิญนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ขุนนางหนุ่มๆ แต่ยังมีเหล่าชายวัยกลางคนและชายสูงอายุที่สูญเสียภรรยาไปแล้วด้วย  

 

 

“แคลร์ ทำไมตั้งสามวันแล้วองค์รัชทายาทถึงยังไม่มาเลยล่ะ?” ภายในห้องหนังสือ ในที่สุดหลี่เยว่เหวินก็ทนนิ่งเฉยไม่ไหว นางนั่งลงหน้าโต๊ะแล้วเอ่ยปากถามแคลร์  

 

 

“พี่ก็บอกเองว่า องค์รัชทายาท ไม่ใช่คนธรรมดา ถ้า เขารีบเร่งมาที่นี่เหมือนกับเหล่าขุนนางพวกนั้น ข้าคิดว่า แปลก วางใจเถอะ เดี๋ยวเขาก็คงจะมาแล้วล่ะ” แคลร์ตอบอย่างสบายๆ พลางเปิดดูสมุดบัญชีในมือไปด้วย “พี่สาว ค่าใช้จ่ายในนี้ดูผิดปกตินะ ทำไมถึงใช้จ่ายไปแค่ครึ่งหนึ่งจากที่ข้าคาดการณ์ไว้เองล่ะ?”  

 

 

“เหอะๆ …” หลี่เยว่เหวินยิ้มเจ้าเล่ห์ “ร้านค้านั่นเดิมทีพากันต่อรองราคากันเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่เจ้าจะไปเข้าร่วมงานระดมทุน แต่พอหลังจากจบงานระดมทุน ราคาก็ลดลงครึ่งหนึ่งเลยล่ะ”  

 

 

แคลร์ยกมุมปากแล้วก็เข้าใจทันที ดูท่าทางพี่สาวของนางผู้นี้จะทำการค้าขายเป็นนะ  

 

 

“เช่นนั้นอีกฝ่ายยื่นเงื่อนไขอะไรมาล่ะ?” แคลร์หมุนปากกาในมือแล้วถามอย่างไม่พอใจนัก  

 

 

“ร้านนี้เป็นของตระกูลอินเทอร์ บ้านของพวกเขาขายเฟอร์นิเจอร์และขนของสัตว์เวทย์เป็นหลัก พวกเขาหวังว่าจะสามารถส่งเฟอร์นิเจอร์สุดประณีตเหล่านั้นมาให้เจ้าได้” หลี่เยว่เหวินพูดอย่างภาคภูมิใจ นางคิดว่าแคลร์จะต้องชื่นชมว่านางทำการค้าขายเป็น ใครจะรู้ว่าแคลร์จะทิ้งปากกาในมือแล้ว ตำหนินางด้วยท่าทางไม่พอ ใจ  

 

 

“พี่สาว พี่รู้หรือไม่ว่าพี่ทำการค้าขาดทุน? ขาดทุนมากๆ เลยด้วย!” แคลร์ปวดหัว คนตระกูลหลี่ไม่มีหัวเรื่องการค้าขายจริงๆ  

 

 

“ทำไมล่ะ? ร้านค้าลดให้เราครึ่งราคาแล้วยังจะส่งเฟอร์นิเจอร์หรูมาให้เจ้าอีกนะ” หลี่เยว่เหวินงงมาก นี่มันได้กำไรมากๆ ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงยังบอกว่าขาดทุนล่ะ?  

 

 

“พี่จะรู้อะไรล่ะ?” แคลร์พูด “ร้านนี้ราคาขายดั้งเดิมคือสามหมื่นเหรียญทอง ถูกลงครึ่งก็เหลือ ราคาหนึ่งหมื่นห้าพัน จากนั้นพวกเขาก็จะเอาเฟอร์นิเจอร์มาให้ข้าแล้วก็เอาไปโฆษณา ไปบอกว่าหลานหลิงหญิงงามไม่มีใครเทียบใช้เฟอร์นิเจอร์ของพวกเขา พี่คิดว่าจะเป็นอย่างไรล่ะ? กำไรที่พวกเขาจะได้มันจะใช่หนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญทองหรือไม่?”  

 

 

แคลร์พูดจบ สีหน้าของหลี่เยว่เหวินก็เปลี่ยนไปเลย ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าตนเองไม่เพียงแต่ขาดทุนธรรมดา แต่ขาดทุนมากๆ เลยด้วย! หากอีกฝ่ายไปโฆษณาเช่นนี้ ก็จะมีคนในเมืองเป็นจำนวนมาก ตามไปซื้อ หากเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็ กำไรจะหยุดอยู่แค่หนึ่งหมื่นห้าพันงั้นหรือ? หนึ่งล้านห้าแสนก็ยังไม่พอเลยมั้ง?  

 

 

“พี่ไปทำข้อตกลงกับพวกเขา ว่าถ้ามีเฟอร์นิเจอร์ชุดใหม่ก็ส่งมาได้ แต่พวกเราต้องการหุ้น 5% แล้วจะอนุญาตให้เอาชื่อหลานหลิงไปใช้” แคลร์เปิดสมุดบัญชีตรวจสอบดูอีกครั้ง  

 

 

“หุ้น 5%? พวกเราไม่ต้องจ่าย อะไรเลยนะ? จะเอาหุ้นจากพวกเขา 5% เลยหรือ?” หลี่เยว่เหวินมองแคลร์ด้วยสายตาประหลาดใจ แคลร์คิดว่าคนอื่นโง่งั้นหรือ? ไม่ออกเงินอะไรแต่จะเอาหุ้น 5% เนี่ยนะ?  

 

 

“พี่ไปเถอะ บอกเขาว่าทุกครั้งที่มีของใหม่ออกมาก็เอาชื่อข้าไปใช้ได้เลย อย่างเช่นถ้าทำเตียงออกมา ก็โม้ไปได้เลยว่ามีผลช่วยรักษารูปร่าง หลานหลิงก็ใช้เตียงของพวกเขาอะไรประมาณนี้ หากพวกเขาไม่ตกลงก็บอกว่ามีร้านอื่นมาขอเจรจาเรื่องนี้กับเราเช่นกัน เดี๋ยว พวกเขาจะตกลงเอง” แคลร์พูดแล้วดูบัญชีต่อ  

 

 

หลี่เยว่เหวินมองแคลร์อย่างงุนงง นางรู้สึกไม่สบายใจจึงยังไม่ยอมขยับไปไหน  

 

 

“คุณหนูหลี่ ไปทำตามที่แคลร์บอกเถอะ อีกฝ่ายจะต้องตกลงแน่นอน” คามิลล์ที่ยืนอยู่ด้านหลังแคลร์พูดกับหลี่เยว่เหวิน  

 

 

หลี่เยว่เหวินจึงเดินออกไปด้วยท่าทางลังเล  

 

 

“แคลร์ ที่ตระกูลหลี่ตกต่ำลงเช่นนี้ ข้าว่าไม่น่าแปลกใจเลย” คามิลล์ยิ้มกว้างแล้วรินน้ำชาให้แคลร์ “ตอนนี้หลี่เยว่เหวินกับหลี่หมิงหยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลหลี่ยังโง่เรื่องการค้าขายสุดๆ นับประสาอะไรกับคนอื่นล่ะ”  

 

 

“ก็ไม่แน่นะ บางทีตระกูลหลี่อาจจะมีคนที่มีพรสวรรค์เรื่องการค้าขายแต่พวกเขาถูกพวกคนเก่าคนแก่กดเอาไว้ไม่ให้แสดงมา ออกมาเท่านั้นเอง” แคลร์ปิดสมุดบัญชีแล้วเงยหน้ามองคามิลล์ยิ้มๆ  

 

 

“แล้ว?” คามิลล์รู้สึกตื่นตระหนกในใจ เขามองแคลร์อย่างระแวง “เจ้าคิดจะทำอะไร?”  

 

 

“ข้าหวังว่ารองหัวหน้ากลุ่มที่ฉลาดของเราจะใช้สายตาอันชาญฉลาด ไปเสาะหาคนที่มีความสามารถแล้วผลักดันคนผู้นั้นให้ได้ มีเพียงรองหัวหน้ากลุ่มที่ชาญฉลาดของเราเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ ความฉลาดของท่านไม่มีใครเทียบได้เลย คนอย่างพี่ชายและพี่สาวของข้าเทียบไม่ได้แม้แต่ 1% ของท่านเลย” แคลร์ถือถ้วยชาแล้วพูดออกมาโดยที่ไม่เปลี่ยนน้ำเสียงและสีหน้า จากนั้นก็จิบชาแล้วพูดเบาๆ “แม้แต่ชาดอกไม้ที่ท่านชงก็ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีใครสามารถเทียบได้”  

 

 

หลังจากนั้น จินเหยียนที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูก็เห็นคามิลล์ดูมั่นหน้ามั่นตา และเดินออกมาราวกับ ลอยออกมาจากห้องหนังสือ จินเหยียนจ้องมองอย่างละเอียดเพื่อดูให้แน่ชัด ใช่เลย คามิลล์ลอยออกไป ท่าทางของเขาช่างมั่นหน้ามั่นตา ช่างดูน่าอึดอัดจริงๆ  

 

 

หลี่หมิงหยู่เดินสวนกับคามิลล์ที่โถงทางเดิน เขามองตามหลังคามิลล์อย่างสงสัย หันไปมองท่าทางของจินเหยียนแล้วก็เข้าใจ จะต้องเป็นแคลร์ที่ใช้วิธีเดิมๆ เพื่อจะใช้ให้คามิลล์ไปทำอะไรแน่ๆ  

 

 

“แคลร์…” หลี่หมิงหยู่เข้าห้องไปแล้วเรียก  

 

 

“ทำไมหรือ พี่ชาย คนๆ นั้นมาแล้วใช่หรือไม่?” แคลร์ไม่เงยหน้าขึ้น นางดื่มชาแล้ววางถ้วยชาไว้อีกทาง ข้างๆ นั้นเฮยหยู่กับไป๋ตี้กำลังต่อสู้กันแย่งเค้กช็อคโกแลตอยู่ อุ้งเท้าสีขาวและสีดำเกาะอยู่ที่เค้กช็อคโกแลตชิ้นเดียวกันแล้วออกแรงดึงยื้อกันอยู่  

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” หลี่หมิงหยู่ถามอย่างประหลาดใจ น้ำเสียงของแคลร์เหมือนว่าจะรู้อยู่แล้วว่าใครมา  

 

 

“กะเวลาเอา ข้าคิดว่าเวลาประมาณนี้แหละ” แคลร์เงยหน้าลุกขึ้นยิ้มจางๆ แล้วเดินออกไป  

 

 

“เจ้าจะไปอย่างนี้เลยหรือ? ไม่แปลงร่างหรือ?” หลี่หมิงหยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย  

 

 

“ไม่ต้องหรอก” แคลร์ยิ้มจางๆ “เอาดาบอีกเล่มไปที่ห้องโถงกันเถอะ”  

 

 

หลี่หมิงหยู่งุนงงมาก ในใจก็สงสัยแต่ก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของแคลร์ พวกเขาไปเอากล่องดาบแล้วก็ไปที่ห้องโถงด้วยกัน  

 

 

ในห้องโถง องค์รัชทายาทนั่งรออยู่ตรงนั้นเงียบๆ โดยที่หน้าประตูห้องโถงยังมีคนรับใช้อีกจำนวนมากที่กำลังถือของขวัญและดอกไม้สดอยู่ องค์รัชทายาทขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าผ่านไปสามวัน ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลหลี่จะยังคงวุ่นวายอยู่มาก แต่ดูเหมือนว่าหลานหลิงหญิงที่ไม่มีใครเทียบได้จะไม่ได้ปรากฏตัวเลย  

 

 

ในขณะที่องค์รัชทายาทกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ที่ประตูห้องโถงก็มีเสียงฝีเท้าดังมา องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหลี่หมิงหยู่เดินมาทางนี้กับเด็กสาวคนหนึ่ง หลานหลิงยังไม่ออกมาหรือ? องค์รัชทายาทขมวดคิ้วเล็กน้อย หลานหลิงผู้นี้ แม้แต่เขา นางก็ไม่ยอมออกมาพบงั้นหรือ?  

 

 

“คำนับองค์รัชทายาท” หลี่หมิงหยู่และแคลร์ทำความเคารพ  

 

 

“ท่ายดยุกหลี่ ท่านนี้คือ?” องค์รัชทายาทเห็นความคล้ายคลึงกันของแคลร์กับหลานหลิงแล้ว แต่ก็เอ่ยปากถามไป  

 

 

…………………………………………………………………………….  

เสน่ห์คมดาบ

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์ ฮิลล์ คุณหนูใหญ่สุดสำรวยแห่งตระกูลขุนนางชั้นสูงผู้มีชื่อฉาวคาวกะฉ่อนว่าโง่เง่า เอาแต่ใจและบ้าผู้ชายเป็นชีวิตพลัดตกจากหลังม้าขณะไล่ตามองค์ชายสองจนหมดสติ สร้างความอับอายให้กับตระกูลเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทีของนางกลับเปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังเท้า ไม่มีอีกแล้วคุณหนูไร้ยางอายที่คลั่งไคล้การไล่จับบุรุษรูปงาม เรื่องเรียนไม่เอาอ่าว เรื่องงานไม่เอาไหน จะมีก็แต่คุณหนูแคลร์ผู้สงบเสงี่ยมเยือกเย็น สำรวมท่าที และเปี่ยมไปด้วยพลังเวทอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเท่านั้น! เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูแคลร์คนนั้นกันแน่นะ!?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset