เสน่ห์คมดาบ – ตอนที่ 125

คนชุดดำไม่ได้ทำอะไรอีก แต่ถอยออกไปและ รักษาระยะห่างจากแคลร์ จากนั้นก็ยืนมองแคลร์อยู่ตรงนั้น  

 

 

“เจ้าอยู่แค่ระดับนี้ เจ้าไม่สามารถชนะการแข่งขันได้หรอก” คนชุดดำพูดอย่างเย็นชาและก็ลอยขึ้นเตรียมจะจากไป  

 

 

แคลร์อึ้งไปชั่วขณะและไม่เข้าใจว่าคนชุดดำหมายถึงอะไร นางมาที่นี่เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของตนเองงั้นหรือ? ก็ไม่น่านะ มันแปลกเกินไป คนผู้นี้หมายความว่าอย่างไรกัน? จากนั้นแคลร์ก็ตระหนักว่ามีช่วงเวลาที่นางไม่สามารถเข้าใจผู้อื่นได้เช่นกัน  

 

 

คนชุดดำลอยขึ้นและบินตรงเข้าไปในเมืองโดยไม่สนใจแคลร์ที่อยู่ข้างหลังอีกต่อไป แคลร์ก็ไม่ได้ไล่ตามไปแต่ยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ มองร่างในชุดดำที่หายไปอย่างนั้น คนผู้นี้มีความสามารถมากพอที่จะฆ่านาง ได้เลย แต่กลับพานาง ออกมาขนาดนี้และ ไม่ได้ลงมือฆ่า นางเป็นใครกัน? นางมีจุดประสงค์อะไร?  

 

 

ตอนที่เบน หลี่เยว่เหวิน และจินเหยียนมาถึง พวกเขาพบเพียงแค่แคลร์ที่ยืนคิดอยู่ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็มีทั้งเปียกและแห้ง ในบางจุดดินไหม้เกรียม ในบางจุดเปียกแฉะ พื้น ดินและต้นไม้โดยรอบยิ่งแย่ใหญ่ เห็นได้ชัดว่ามีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่นี่  

 

 

“แคลร์!”  

 

 

“คุณหนู!”  

 

 

พวกเขาไปข้างๆ แคลร์แล้วเรียกอย่างเป็นห่วง ไป๋ตี้และเฮยหยู่ที่เกาะไหล่ของจินเหยียนก็กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของแคลร์แล้วร้องไม่หยุด  

 

 

“ข้าไม่เป็นไร” แคลร์เงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม  

 

 

“เกิดอะไรขึ้น? คนชุดดำผู้นั้นล่ะ? เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่หรือไม่?” หลี่เยว่เหวินมองรอบๆ ตัวแคลร์อย่างกังวล  

 

 

“ข้าไม่เป็นไร เรากลับกันเถอะ” แคลร์พูดเบาๆ “ข้าเหนื่อย อยากกลับไปพักผ่อน”  

 

 

หลี่เยว่เหวินยังคงอยากถามต่อ แต่เมื่อเห็นใบหน้าเฉยเมยของแคลร์ก็เลยไม่ถาม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมแคลร์ถึงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้  

 

 

ในเวลานี้ คนลึกลับในชุดคลุมสีดำก็ร่อนลงที่มุมหนึ่งของเมือง นางถอดเสื้อคลุมและออกจากความมืด เดินเข้าไปในคฤหาสน์เฟิง เวลานี้จึงได้เห็นว่าคนที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมเป็นผู้หญิงสวยงามกับผมสีแดงเพลิงที่โดดเด่น ทันทีที่นางก้าวเข้าไปที่ประตู ทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าประตูก็คำนับนางด้วยสายตาที่เคารพอย่างยิ่ง  

 

 

“ท่านหญิง ใต้เท้ารออยู่ในห้องหนังสืออยู่นานแล้วค่ะ” สาวใช้รีบทักทาย ผู้หญิงที่มีหน้าที่ราชการและเป็นที่เคารพของเหล่าทหารผู้นี้ไม่ได้อยู่ในฐานะของผู้ที่จัดการกองทัพ ของประเทศในบ้านนี้ แต่นางเป็นเพียงแต่ภรรยาของชายคนหนึ่ง และเป็นแม่ของลูกชายเท่านั้น นี่คือสิ่งที่นางได้มีการพูดคุยตกลงกันกับพ่อของเฟิงอี้เซวียนเอาไว้นานแล้ว ดังนั้นตอนอยู่บ้าน สาวใช้และคนงานในบ้านจะเรียกนางว่าท่านหญิง ไม่ใช่ท่านดยุก  

 

 

อันลิซ่า… ก็คือแม่ของเฟิงอี้เซวียน เมื่อนางได้ยินที่สาวใช้พูด สีหน้าก็เปลี่ยนไปแล้วก็เดินไปที่ห้องหนังสืออย่างประหม่า  

 

 

อันลิซ่าผลักประตูเข้าไปเบาๆ ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนและหล่อเหลานั่งเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะทำงาน เขากำลังเปิดดูอะไรบางอย่างอยู่ รูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายกับเฟิงอี้เซวียนมาก แต่ลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฟิงอี้เซวียน กระตือรือร้นและรุนแรงเหมือนไฟ แต่เขากลับอ่อนโยนและสงบเหมือนน้ำนิ่งในทะเลสาบ  

 

 

“ที่รัก…” ลิซ่าเรียกเสียงต่ำ  

 

 

ชายผู้สง่างามไม่สนใจ เขายังคงอ่านสิ่งที่อยู่ในมือของเขาต่อ  

 

 

“ที่รัก…” ลิซ่าเพิ่มเสียงขึ้น นางรู้สึกไม่สบายใจ หญิงร้อนแรงผู้ไม่กลัวใครแต่กลัวชายผู้ไม่มีเวทมนตร์หรือ พลังใดๆ ผู้นี้  

 

 

“เจ้ายังตามลูกชายเราไปอยู่อีกหรือ” ชายผู้สง่างามค่อยๆ ปิดสมุดบัญชีในมือของเขา และเงยหน้าขึ้นมองภรรยาที่รักอย่างจนใจแล้วพูดเบาๆ ชายผู้สง่างามนี้เป็นประธานหอการค้าตระกูลเฟิงที่ทำกำไรได้อย่างมหาศาล เขาคือพ่อของเฟิงอี้เซวียนชื่อว่าเฟิงอี้หาน  

 

 

“ข้า…” เวลานี้อันลิซ่าที่โดดเด่นไม่ได้มีท่าทีดุร้ายเช่นเมื่อกี้ นางก้มหน้าลงและไม่กล้าพูดอะไรราวกับเด็กที่ทำอะไรผิดมาเสียอย่างนั้น  

 

 

“เจ้านี่นะ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าแล้วจริงๆ” เฟิงอี้หานยิ้มอย่างอ่อนโยน สิ่งที่เขาไม่สามารถทนได้มากที่สุดก็คือท่าทางเศร้าๆ ของภรรยาที่รัก เฟิงอี้หานยืนขึ้นและ ยื่นมือออกไปก่อนจะ พูด “มานี่สิ”  

 

 

อันลิซ่าถอนหายใจแล้วกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของเฟิงอี้หาน ท่าทางเหมือนเด็กที่แสนน่ารัก  

 

 

ไม่รู้ว่าคนนอกมาเห็นจะอาเจียนเป็นเลือดแล้วเป็นลมหรือเปล่า นี่คือแม่หญิงทีเร็กซ์หรือ? คนที่ใครเจอนางต่างก็กลัว สัตว์เจอนางก็ตาย ดอกไม้เจอนางก็ไม่กล้าแย้มกลีบน่ะหรือ?  

 

 

“เจอหรือไม่ล่ะ?” เฟิงอี้หานจัดผมที่หน้าผากให้กับภรรยาของเขาและถามเบาๆ  

 

 

“เจอแล้ว” อันลิซ่าพยักหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้น  

 

 

“นางเป็นผู้หญิงแบบไหน?” เฟิงอี้หานถามเบาๆ เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงแบบไหนที่สามารถดึงดูดลูกชายผู้หยิ่งผยองของเขาให้ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปลดผนึกได้  

 

 

“อืมม… ดูดื้อรั้นมากแล้วก็สวยมาก แถมยังแข็งแกร่งมากด้วย แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งมากพอหรอก” อันลิซ่าพิงที่แขนของเฟิงอี้หานแล้วพูดอย่างแผ่วเบา  

 

 

“เหอะๆ ดูเหมือนว่าจะผ่านแล้วนะสำหรับเจ้า” เฟิงอี้หานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ นี่คือภรรยาของเขา เขาจะไม่รู้จักนิสัยของนางได้อย่างไรล่ะ อยากจะให้นางยอมรับมันยากยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ตอนนี้นางพูดออกมาเช่นนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว  

 

 

“ยังไม่รู้เลยว่านางจะชอบลูกชายของเราหรือเปล่า” ลิซ่าเบ้ปากแล้วยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ว่าข้าเชื่อว่าลูกชายของเราจะต้องได้สาวสวยกลับมาแน่”  

 

 

“เด็กสาวผู้นั้นเป็นลูกสาวของใครหรือ?” เฟิงอี้หานนั่งลง อ้อมแขนของเขายังโอบรอบภรรยาอยู่ อันลิซ่ากอดคอเฟิงอี้หานและนั่งบนต้นขาของเขาอย่างใจเย็น  

 

 

“นี่แหละที่ยังมีจุดที่ยุ่งยากอยู่ นางเป็นคนของตระกูลฮิลล์แห่งอันพาแกรนด์ที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังครั้งที่แล้วไง นางชื่อว่าแคลร์ ฮิลล์ คนที่เฟิงอี้เซวียนแพ้ให้ เมื่อการประลองระหว่างสถาบันในครั้งล่าสุด” อันลิซ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางสิ่งแล้วพูด “มันน่าอายจริงๆ ที่ตอนสุดท้ายเขาถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าน่ะ” แม้ว่าต่อมาสุ่ยเหวินโม่จะบอกนางว่าเฟิงอี้เซวียนลงไปนอนที่พื้นเองและแคลร์ไม่ได้ตั้งใจไปเหยียบ แต่ความจริงก็คือเฟิงอี้เซวียนถูกคนอื่นเหยียบย่ำ มันน่าอับอายมาก!  

 

 

“อ๋อ เด็กสาวผู้นั้นเองหรือ?” เฟิงอี้หานจำเรื่องเมื่อครั้งที่แล้วได้ชัดเจน “แต่ครั้งที่แล้วเจ้าไล่ตามจัดการเขาไปทั่วแล้ว ก็น่าจะจบเรื่องแล้วนี่”  

 

 

“ให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า เรื่องทุกอย่างมีทางแก้ไขเสมอ ที่รัก เจ้าอย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย…” อันลิซ่าก้มหน้าลงแล้วริมฝีปากสีแดงที่น่าดึงดูดของนางก็ถูกทาบทับด้วยริมฝีปากของเฟิงอี้หาน  

 

 

จากนั้นห้องหนังสือก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่อบอุ่น  

 

 

ตอนนี้แคลร์กลับมาถึงห้องนอนแล้ว นางนั่งไขว่ห้างบนเตียงเงียบๆ แล้วศึกษากระจกดอกบัว ขั้นที่เจ็ดบรรลุไปแล้ว แต่ขั้นที่แปดยังไม่คืบหน้าเลย อย่างที่ดอกบัวสีทองพูด นางสามารถบรรลุขั้นที่เจ็ดได้อย่างง่ายดาย แต่การจะไปถึงขั้นที่แปดนั้นยากมาก  

 

 

ในหัวของแคลร์ยังสะท้อนสิ่งที่คนชุดดำพูดอยู่เสมอ  

 

 

ความแข็งแกร่งแค่ระดับนี้ ไม่สามารถชนะการแข่งขันได้หรอก  

 

 

ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของนางยังไม่สามารถเอาชนะได้เลยหรือ? แคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วนึกได้ว่าเฟิงอี้เซวียนสามารถเข้าใกล้นาง ได้โดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว สุ่ยเหวินโม่เองก็คงมีความก้าวหน้าเช่นกันใช่หรือไม่? ความแข็งแกร่งของฮว๋าอี้หลินแห่งตระกูลฮว๋าล่ะจะเป็นอย่างไร? คนชุดดำที่ปรากฏตัวในวันนี้คือใคร? จะเข้าร่วมการแข่งขันด้วยหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นจริงๆนาง ก็ยังห่างอีกไกลจริงๆ นั่นแหละ  

 

 

แคลร์กำหมัดแน่น หลับตาลงและเริ่มเปิดกระจกดอกบัวในร่างกายอีกครั้ง แต่ขั้นที่แปดก็ยังไม่มีความคืบหน้าเลย  

 

 

นางอยากจะเรียกดอกบัวสีทองออกมาถาม แต่ไม่ว่าแคลร์จะเรียกอย่างไรดอกบัวสีทองก็ไม่ตอบสนองและยังคงหลับอยู่อย่างนั้น  

 

 

แคลร์เอนหลังบนเตียงด้วยความรำคาญเล็กน้อยและมองไปที่ม่านเตียงที่อยู่เหนือหัวด้วยความงุนงง ขั้นที่แปดของกระจกดอกบัวนั้นแปลกมาก มีคำอธิบายเพียงคำว่าการหมุนเวียน การหมุนเวียนคืออะไร? ไม่มีที่สิ้นสุดงั้นหรือ? แค่คำนี้จะเข้าใจขั้นที่แปดแล้วบรรลุได้อย่างไรกัน? สิ่งที่ทำให้แคลร์รำคาญมากยิ่งขึ้นก็คือทั้งพลังเวทย์และพลังยุทธ์ของนางหยุดนิ่งไปเลย  

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น แคลร์ลุกขึ้นมาทานอาหารแล้วไปที่สนามฝึกซ้อมของตระกูลหลี่ เมื่อไปถึงสนามฝึกก็พบว่ามีหลายคนกำลังฝึกอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นแคลร์ ผู้คนในสถานที่ฝึกก็วิ่งกันเข้ามาทักทายแคลร์กัน  

 

 

“พี่สาว…”  

 

 

“น้องสาว… เจ้ามาแล้วหรือ…”  

 

 

ผู้คนรอบๆ เห็นแคลร์ก็เรียกพี่สาว สีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวัง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความขอบคุณและความปรารถนา  

 

 

แคลร์มองใบหน้าเหล่านั้นตรงหน้า แต่จำไม่ได้จริงๆ ว่าคนเหล่านี้คือใครกันบ้าง นางรู้แค่ว่าทั้งหมดนี้เป็นคนของตระกูลหลี่  

 

 

“พี่สาว ขอบคุณนะ เมื่อก่อนข้าออกไปข้างนอกก็ถูกหัวเราะเยาะตลอด ตอนนี้ไม่มีใครกล้ามาหัวเราะเยาะข้าแล้ว” สาวน้อยผมดำมองแคลร์ด้วยความชื่นชม  

 

 

ทันทีที่คำพูดนี้จบ คนอื่นๆ ก็ร่วมด้วยเช่นกัน  

 

 

แคลร์ยิ้มเล็กน้อย ลูบหัวของสาวน้อยตัวเล็กๆ แล้วพูด “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนี้พวกเขาไม่กล้าหัวเราะเยาะเจ้าแล้ว?”  

 

 

“รู้ค่ะ ก็พี่สาวไปจัดการให้พวกเราไง” สาวน้อยตัวเล็กพูดอย่างมั่นใจพร้อมกับโบกกำปั้นเล็กๆ ของนาง  

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” สีหน้าของแคลร์เปลี่ยนเป็นจริงจัง  

 

 

กลุ่มคนที่อยู่รอบๆ แคลร์อึ้ง ไม่เข้าใจว่าแคลร์หมายถึงอะไร  

 

 

“ตอนนี้พวกเขาไม่หัวเราะเยาะเจ้า ไม่ใช่ว่าไม่กล้าหรอก แต่เพราะสามารถใช้งานตระกูลหลี่ได้และต้องการจะมีสายสัมพันธ์กับตระกูลหลี่ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือดาบที่หล่อโดยตระกูลหลี่และพวกเขาก็ต้องการทำความคุ้นเคยกับหลานหลิงที่ปรากฏตัวในวันนั้น นี่คือการเอาใจไม่ใช่ความกลัว ถ้าบอกกลัวก็เป็นเพียงเพราะกลัว องค์รัชทายาทที่มีความสัมพันธ์อันดี กับตระกูลหลี่ในตอนนี้เท่านั้น แต่ไม่ได้กลัว ตระกูลหลี่” แคลร์พูดกับเด็กๆตระกูลหลี่อย่างเคร่งขรึม “รู้หรือไม่ว่ามีความสามารถไหนที่ทำให้ผู้อื่นกลัวตระกูลหลี่ได้อย่างแท้จริง? ก็เพียงแค่พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้น พวกเจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ความแข็งแกร่งนั่นแหละที่จะเป็นสาเหตุ ให้พวกเจ้า มีสิทธิ์ ์ ์มีเสียง”  

 

 

สีหน้าของเด็กรอบๆ เปลี่ยนไป คำพูดของแคลร์ ตราตรึงและสร้างผลกระทบอย่างมากต่อจิตใจของพวกเขา  

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว! พี่สาว! หากตระกูลหลี่ของเราไม่ได้มีสิ่งดึงดูดคนเหล่านั้น พวกเขาก็จะไม่ได้มีท่าที แบบในตอนนี้แล้วก็จะกลับไปมีท่าทีแบบเมื่อก่อน” สาวน้อยผู้นั้นพูด ในแววตามีความมุ่งมั่นตั้งใจ “เช่นนั้นเราก็จะต้องขยันฝึกแล้ววันหนึ่งที่พวกเราแข็งแกร่งเท่าพี่สาว ก็จะไม่มีใครกล้ามาหัวเราะเยาะเราอีกแล้วใช่หรือไม่คะ?”  

 

 

……………………………………………………………………………..  

เสน่ห์คมดาบ

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์ ฮิลล์ คุณหนูใหญ่สุดสำรวยแห่งตระกูลขุนนางชั้นสูงผู้มีชื่อฉาวคาวกะฉ่อนว่าโง่เง่า เอาแต่ใจและบ้าผู้ชายเป็นชีวิตพลัดตกจากหลังม้าขณะไล่ตามองค์ชายสองจนหมดสติ สร้างความอับอายให้กับตระกูลเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทีของนางกลับเปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังเท้า ไม่มีอีกแล้วคุณหนูไร้ยางอายที่คลั่งไคล้การไล่จับบุรุษรูปงาม เรื่องเรียนไม่เอาอ่าว เรื่องงานไม่เอาไหน จะมีก็แต่คุณหนูแคลร์ผู้สงบเสงี่ยมเยือกเย็น สำรวมท่าที และเปี่ยมไปด้วยพลังเวทอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเท่านั้น! เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูแคลร์คนนั้นกันแน่นะ!?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset