“นี่คือ? ” จินเหยียนจ้องไปที่ร่างนั้นแล้วพูด “นี่มันวิญญาณนี่! “
“ไม่เลวเลย ซ่อนธาตุแท้ของตัวเองเอาไว้แล้วตามพวกเรามา” แคลร์ก้าวไปข้างหน้า นางหยิบหินก้อนเล็กขึ้นมาเล่นในมือ
สีหน้าอ่อนเปลี้ยของร่างนั้นพลันหวาดกลัว
“เจ้าคงเป็นคนที่ต่อสู้กับนักเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นจนเกือบตายใช่ไหม ยึดตัวเองไว้กับหินก้อนนี้เพื่อรอร่างที่เหมาะสมแล้วยึดมันสินะ” แคลร์พูดอย่างไม่เร่งรีบแล้วบีบหินในมือของนางแน่น
ร่างนั้นกรีดร้องทันที “ไม่นะ โปรดอย่าบีบมัน”
“เจ้าชอบร่างของเจ้างั้นหรือ? ” แคลร์ถามด้วยความเยาะเย้ยพลางเล่นกับหินในมือ
“เพราะ… เพราะว่าเจ้าเป็นคนที่มีเรื่องราวมืดมิดมากมายในจิตใจ แถมยังเป็นนักเวทย์ด้วย เจ้าจึงเหมาะสมมาก” ร่างนั้นลังเลและพูดเสียงอ่อนลง กลัวว่าแคลร์จะบีบหินในมือหากนางอารมณ์เสีย
สีหน้าของจินเหยียนเปลี่ยนไปและมองไปที่ร่างจางๆ อย่างสงสัย วิญญาณนี้พูดอะไร? แคลร์เป็นคนที่มีเรื่องราวมากมาย สิ่งหนึ่งที่เขาและองค์ชายมั่นใจได้ก็คือแคลร์ไม่ใช่คนเดิมอย่างแน่นอน แต่นางเป็นใคร? ในตอนนี้จินเหยียนถึงกับอยากจะหยิบหินสีดำขนาดเล็กนั้นมาถามด้วยตัวเอง
แคลร์รับรู้ถึงดวงตาที่สงสัยของจินเหยียน นางตะคอกและบีบหินอย่างรุนแรง ร่างนั้นกรีดร้อง “อย่า ข้าจะพูดทุกอย่าง อย่าเลย”
“หุบปาก เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไร” แคลร์ตะคอกอย่างเย็นชา “กลับเข้าไป” มีคำถามมากมายที่นางอยากจะถามร่างนี้ที่มาจากที่ที่นางไม่รู้จักแล้วต้องการจะโจมตีนาง แต่ไม่ใช่ที่นี่
“อ่า ตกลง” ร่างนั้นตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาสูญเสียร่างกายและความแข็งแกร่งไปแล้ว เขาจะไปต่อรองได้ที่ไหนล่ะ
จากนั้นควันสีดำก็เกิดขึ้นและร่างนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตา
“แคลร์…” ความสงสัยในดวงตาของจินเหยียนกระจ่างชัด
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่ผู้ชายคนนี้สูญเสียร่างกายไป จากนั้นก็ยึดวิญญาณของเขาเข้ากับหินประหลาดนี้ มันมารบกวนข้าตอนข้ายอมรับวิธีการสืบทอดเวทย์ลี้ลับ มันต้องการที่จะครอบครองร่างกายของข้า” แคลร์ไม่อยากพูดอะไรมากจึงเล่าแบบสั้นๆ หากไม่ใช่เพราะความสับสนในใจ นางจะถูกโจมตีได้อย่างไร
แม้ว่าแคลร์จะพูดง่ายๆ แต่จินเหยียนก็เข้าใจว่าตอนนั้นแคลร์ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมาก เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าแคลร์ฟื้นขึ้นมาได้อย่างไรจึงถาม “แล้ว… เจ้าค้นพบการดำรงอยู่ของวิญญาณนี่ในตอนท้ายได้อย่างไร? “
“เพราะคำพูดสุดท้ายของเขา” แคลร์ยิ้มเยาะแล้วย้ำคำพูดของร่างเมื่อกี้ “เด็กเอ๋ย มาเถอะ กลับสู่อ้อมกอดของพระเจ้า” แคลร์พูดพร้อมเงยหน้าขึ้นไปที่ประตูหิน นางผลักและเปิดประตูเบาๆ
แคลร์เดินนำหน้าโดยมีจินเหยียนตามมาข้างหลัง แต่เขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ในใจ ความดูถูกเหยียดหยามในน้ำเสียงของประโยคสุดท้ายของแคลร์นั้นเขาสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ด้านหลังประตูหิน มีบันไดหินซึ่งยื่นออกไปจนสุด ทั้งสองคนเดินลงไปเรื่อยๆ และพบห้องที่เรียบง่าย ภายในมีเตียงหิน ม้านั่งหิน เฟอร์นิเจอร์หิน ไม่มีอย่างอื่นเลย ดูเหมือนว่าบุคคลนั้นได้ปิดผนึกเวทย์ลี้ลับบนประตูหินด้วยวิธีพิเศษ และจะต้องถูกยึดด้วยแผ่นหินขนาดเล็กก่อนจึงจะสามารถส่งต่อไปได้ ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แบบนี้ปลอดภัยมากกว่า
ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในห้องลับที่ว่างเปล่านี้ ทั้งสองเดินกลับมาทางเดิมโดยจินเหยียนยังคงพาแคลร์ออกจากน้ำตกด้วยวิธีเดิม
ระหว่างทางกลับ ลมหายใจของทั้งแสงสว่างและความมืดค่อยๆ จางหายไป สัตว์ประหลาดก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ พวกเขาตามล่าสัตว์ประหลาดระดับสามและระดับสี่ไม่กี่ตัว แต่แคลร์กำลังมองหาหญ้าใจสลายสำหรับภารกิจที่รับมา นางไม่ได้สังเกตเห็นความสงสัยในสายตาของจินเหยียน เมื่อเห็นนางโจมตี สิ่งที่เขาสงสัยคือความสามารถของแคลร์ที่ดูไม่เกรงกลัวและโจมตีได้อย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่มือใหม่ที่จะมาหาประสบการณ์ใดๆ แต่เป็นการฆ่าทุกสิ่งที่ขวางทางนางต่างหาก
“แกนเวทย์นี้สามารถสร้างแหวนให้แม่ได้” แคลร์ใช้มีดสั้นเพื่อขุดแกนเวทย์ในสมองของสัตว์ประหลาดระดับสี่และพูดเบาๆ แกนเวทย์นี้แตกต่างจากแกนเวทย์อื่นๆ เล็กน้อย ตรงกลางของแกนเวทย์สีน้ำเงินจะมีสีเข้มที่สุดและรอบๆ จะเป็นสีที่ค่อยๆ อ่อนลงมา
ความรู้สึกในใจของจินเหยียนนั้นแปลกประหลาดมาก ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้เป็นใคร เขาไม่เคยเห็นนางมาก่อนเลย กริชเล่มเล็กพริ้วไหวอยู่ในมือของนางราวกับว่าเต้นรำ นางตัดหัวของสัตว์ประหลาดออกและขุดแกนเวทย์ออกมา หากเห็นฉากนี้ต่อหน้า ใครจะเชื่อว่านางคือพี่สาวคนโตที่เคยเป็นคนงี่เง่าล่ะ ในการต่อสู้เพียงไม่กี่ครั้ง นางได้ใช้เวทมนตร์อย่างเชี่ยวชาญอีกด้วย! บางครั้งเขาไม่ทันได้คุ้มกันนาง แต่แคลร์ก็ได้สังหารสัตว์ประหลาดไปแล้ว
“ไปกันเถอะ” แคลร์ลุกขึ้นยืนและเอาแกนเวทย์ออก แล้วสอดกริชกลับเข้าไปในรองเท้าอย่างชำนาญ
ตลอดทางกลับ พวกเขาพบหญ้าใจสลายสองต้น แต่ก็ถือว่าพวกเขาได้ทำภารกิจแล้ว
หลังออกจากหุบเขาพายุ ทั้งสองตัดสินใจพักค้างคืนในเมืองที่ใกล้ที่สุดก่อนออกเดินทาง
ตกกลางคืน
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว แคลร์ก็เข้าไปในห้องและปิดประตู จากนั้นนางจึงหยิบม้วนหนังสือออกมาและค่อยๆ เปิดออก พลังเวทย์แผ่ออกมาก่อตัวเป็นโล่วิเศษในห้องเพื่อป้องกันการชักนำของเวทมนตร์ ไม่ให้ใครได้ยินการสนทนาในห้อง
หลังจากทำเช่นนี้แล้ว แคลร์ก็หยิบหินสีดำขนาดเล็กออกจากกระเป๋า
“ออกมา” แคลร์พูดอย่างเย็นชากับหินสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะ
ไม่มีการเคลื่อนไหวของหินและรอบๆ ก็เงียบงัน
แคลร์ไม่พูดอีกต่อไป นางงอตัวเล็กน้อยแล้วดึงกริชออกจากรองเท้าของนางเพื่อจะแทงหินสีดำตรงๆ
“อย่า อย่านะ…” เสียงหนึ่งกรีดร้องขึ้นทันที
แคลร์มองดูร่างที่ปรากฏออกมาและวางกริชกลับ เมื่อร่างคิดว่ามันปลอดภัยแล้ว แคลร์กลับยื่นนิ้วออกมาและกระแทกไปที่หิน ร่างนั้นสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดทันที
“หินก้อนนี้ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของเจ้าอย่างสุดๆ เ ลยนะ มันสามารถทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดในวิญญาณได้” แคลร์มองหินสีดำที่มีแสงจางๆ อยู่ตรงหน้านางด้วยความสนใจ
เด็กสาวที่สวยงามและไร้เดียงสาคนนี้ไม่ใช่นางฟ้าเหมือนรูปร่างหน้าตาของนาง แต่เป็นปีศาจน้อย!
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงต่อสู้กับบุตรแห่งวิหารแห่งแสง แล้วหินนี้คืออะไร? ” แคลร์ถามพร้อมกับเล่นกับหินเล็กน้อย
ร่างนั้นเงียบและไม่พูด แต่จริงๆ แล้วเขากำลังคิดว่าจะพูดอะไร
“ยังคิดว่าจะหลอกข้ายังไงอยู่หรือ? …” เสียงของแคลร์ดังขึ้นในห้อง ต่อมาความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็แล่นไปทั่วร่างวิญญาณนั้น
เล็บของแคลร์ฝังลึกลงไปในหินก้อนเล็กและดวงตาที่เฉยเมยทำให้ร่างนั้นหนาวสั่น
ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงรู้สึกคล้ายๆ กับ?!
“บอกมา เจ้าเป็นนักเวทมนตร์ดำใช่ไหม เดิมทีเจ้ามาที่หุบเขาพายุเพื่อทำอะไร อย่าบอกนะว่าเจ้ากับบุตรของวิหารแห่งแสงกำลังนัดดูตัวกันที่นี่ ” น้ำเสียงเย็นชาของแคลร์บ่งบอกถึงอาชีพของร่างนี้ เรื่องตลกที่อยู่เบื้องหลังคำพูดนี้ทำให้ร่างนั้นตกใจกลัว
เขาคิดว่าวันนี้เขาได้พบกับตัวร้ายแล้ว และไม่ใช่คนที่เขาสามารถจัดการได้อย่างสบายๆ ด้วย ดวงตาที่เย็นชาของแคลร์ดูเหมือนงูพิษที่จะพันรอบคอของเขาซึ่งอาจทำให้เขาหายไปคลอดกาลได้ทุกเมื่อ
“ใช่ ข้าเป็นนักเวทย์มนตร์ดำ” ในที่สุดร่างนั้นก็เริ่มพูด “ข้าชื่อวัลโด ซิมิ ข้ามาที่นี่เพื่อหาวัตถุดิบยาหายาก วัตถุดิบยานั้นจะปรากฏในคืนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นข้ารออยู่ที่นั่น แต่ข้าได้พบกับบุตรของวิหารแห่งแสงที่น่ารังเกียจ เจ้านั่นทำลายร่างกายของข้า เขาคิดว่าวิญญาณของข้าถูกทำลาย แต่ข้าติดอยู่กับหินจิตวิญญาณ” ร่างนั้นมีน้ำเสียงเกรี้ยวกราดและกัดฟันซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเกลียดที่มีต่อบุตรของวิหารแห่งแสง
วัลโด ซิมิ แคลร์กำลังคิดว่านางเคยได้ยินชื่อนี้หรือไม่ แล้วก็มั่นใจว่านางไม่เคยได้ยิน
ร่างนั้นโล่งใจเมื่อเห็นแคลร์ครุ่นคิด ดูเหมือนว่าคำตอบนี้จะสร้างความพึงพอใจให้กับปีศาจน้อย ท้ายที่สุดยังไงเขาก็พูดความจริง แต่ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นที่เขาต้องไม่บอกกับปีศาจน้อยตัวนี้เป็นอันขาด
ขณะที่วัลโดถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก้อนหินมีค่าของเขาก็ถูกแคลร์จับไว้แน่น ใบหน้าของแคลร์เย็นชาและพ่นคำพูดที่ทำให้วิญญาณของวัลโดหวาดกลัว “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกข้า เจ้าควรจะเข้าใจชะตากรรมของเจ้าอย่างชัดเจนนะ ถ้าเจ้าไม่บอกความจริง ข้าคงจะต้องเปลี่ยนหินก้อนนี้ให้กลายเป็นผงให้เจ้าดูดีไหมล่ะ? “
หลังจากนั้นแคลร์ก็นั่งยองๆ และเริ่มถูหินกับพื้น เสียงที่รุนแรงและการเสียดสีทำให้วัลโดแทบร้องไห้
“อย่า ข้าพูดความจริงนะ” วัลโดกำลังร้องไห้
“เจ้าพูดความจริง แต่เจ้ายังพูดไม่จบ” แคลร์เริ่มถูหินอีกครั้ง เสียงดังเอี๊ยดแทบจะทำให้วิญญาณที่หวาดกลัวของวัลโดแทบจากไป
“ไม่แล้ว ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง” วัลโดพูดด้วยใบหน้าเศร้า ถ้าตอนนี้มีใครเห็นใบหน้าของเขาได้
“พูดมาสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะบดเจ้าเป็นผง” แคลร์ยืนขึ้น นั่งลงอีกครั้งและวางหินลงบนโต๊ะ
“ข้ารับคำสั่งให้ซุ่มอยู่ที่ปากทางของหุบเขาพายุ และโจมตีกลุ่มคนเวลาเดินทางมา ข้าเลยคิดว่าจะไปเก็บสมุนไพรล้ำค่าที่หุบเขาพายุ แล้วข้าก็ได้พบกับเจ้านั่น แล้วก็กลายเป็นแบบนี้” วัลโดตอบอย่างตรงไปตรงมาในครั้งนี้
“ให้ซุ่มโจมตีกลุ่มคนหรือ ใครกัน? ” แคลร์ถามเรียบๆ
……………………………………………………………..