รถม้าแล่นตรงออกจากเมืองไปอย่างช้าๆ ตามด้วยรถม้าที่อูมาริและเชลส์นั่ง
ยามค่ำคืนที่เงียบสงบ
ดวงจันทร์บนท้องฟ้ามัวหมอง เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิและต้นฤดูร้อนแล้ว
รถม้าทั้งสองคันขับไล่ตามกันไปในรถม้าเงียบงัน แคลร์พิงแขนอันอบอุ่นของแคทเธอรีนและไม่พูดอะไรแคลร์ไม่ได้รู้สึกอบอุ่นเช่นนี้มานานแล้วแคทเธอรีนกอดแคลร์ อยากจะให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้
แต่ว่า เรื่องเช่นนี้มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วหลังจากเดินทางมานาน ในที่สุดรถม้าก็หยุดลงเวลานี้อยู่ห่างไกลจากจักรพรรดิมาก และกลางคืนก็มืดมิดมากแล้ว
รถม้าหยุดลงและแคทเธอรีนก็จับแคลร์ให้แน่นขึ้น
“เอาล่ะ แคทเธอรีน ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอแคลร์อีกแล้วนะ” ดยุกกอร์ตั้นพูดเบาๆ “ลงจากรถม้าก่อนเถอะ”
สีหน้าของแคทเธอรีนบูดบึ้ง นางค่อยๆ ปล่อยแขนแคลร์ และก้าวออกไปจากรถม้าพร้อมกับทุกคน
รถม้าของอูมาริก็ตามมาหยุดอยู่ข้างๆ
แคลร์ยืนอยู่ข้างรถม้า หลังจากอำลากันแล้วก็จะออกไปจากที่นี่ไม่มีใครรู้เลยว่าจากไปครั้งนี้จะยาวนานแค่ไหน
แคทเธอรีนกอดแคลร์อีกครั้ง กอดนานไม่ยอมปล่อย
ราเซียก็เช่นกันไป๋ตี้และเฮยหยู่ที่อยู่ในอ้อมแขนกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของราเซียแล้วรออย่างเงียบๆ
“เอาล่ะๆ” ดยุกกอร์ตั้นถอนหายใจ “เป็นเช่นนี้ต่อไปข้าเองก็จะทนไม่ไหวแล้ว”
จากนั้นแคทเธอรีนก็ปล่อยแคลร์แล้วก็เริ่มกำชับให้กินดีๆ และแต่งตัวให้อบอุ่นราเซียก็เช็ดน้ำตาและจับมือแคลร์
“ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องปกป้องท่านแม่ดีๆ นะ แล้วก็เสี่ยวเปียว เจ้าต้องดูแลมันให้ดีรู้หรือไม่?” แคลร์ยื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาจากหางตาของนางแล้วยิ้ม
น้ำตาของราเซียไหลท่วมอีกครั้ง นางพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
“น้องสาวของข้า ต่อไปเจ้าจะแข็งแกร่งมาก ดังนั้นจะเลิกฝึกฝนไม่ได้นะ” แคลร์มองราเซียที่กำลังร้องไห้ หัวใจเต็มไปด้วยความอบอุ่นเด็กผู้นี้ตรงไปตรงมาและฉลาด นางจะเป็นเด็กที่แข็งแกร่งในอนาคตแน่นอน
“อืมๆๆ…” ราเซียร้องไม่เป็นภาษา
“แคลร์มานี่สิ ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า” ดยุกกอร์ตั้นพูดกับแคลร์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ค่ะ ท่านปู่” แคลร์ลูบหัวของราเซีย หลังจากปลอบนางแล้ว ก็หันไปที่ดยุกกอร์ตั้นและเดินไปข้างหน้า
ทั้งสองคนเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แคทเธอรีนและทุกคนมองที่ด้านหลังของทั้งสองคนเข้าใจว่าดยุกกอร์ตั้นคงจะอธิบายให้แคลร์ฟัง ดังนั้นพวกเขาจึงไปไกล
แคลร์เดินตามดยุกกอร์ตั้นที่เดินต่อไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ความรู้สึกแปลกๆ ปรากฏขึ้นในใจของแคลร์นี่เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดความรู้สึกที่ไม่ดีเพิ่มขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูกสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกลิ่นอายสังหาร ไม่เกี่ยวกับการรับรู้มันเป็นสัญชาตญาณแคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเริ่มสังเกตสภาพแวดล้อม เมื่อนางเริ่มสังเกต เสียงของดยุกกอร์ตั้นก็ดังขึ้นขัดจังหวะการสังเกต
“แคลร์เจ้าต้องระวังให้มากตลอดทาง เมื่อไปถึงที่นั่นติดต่อมาทันทีรู้หรือไม่? อย่าให้แม่ของเจ้าเป็นกังวล” เสียงของดยุกกอร์ตั้นดังผิดปกติ และมีพลังมาก
“ค่ะ ท่านปู่” แคลร์พยักหน้าตอบกลับ
แม้ว่าแคลร์จะรู้ว่าดยุกกอร์ตั้นในฐานะผู้นำของตระกูลจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาต้องมีอะไรบางอย่างแต่อาชีพของดยุกกอร์ตั้นคืออะไรแคลร์ไม่รู้จริงๆ ในความทรงจำของตนเองดยุกกอร์ตั้นไม่เคยเคลื่อนไหวเลยพลังที่ดยุกกอร์ตั้นเปิดเผยออกมาตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นนักรบ? แคลร์เดาในใจดยุกกอร์ตั้นที่อยู่ด้านหน้าพลันหยุดลง
ดยุกกอร์ตั้นหันไปมองแคลร์ด้วยสีหน้าราบเรียบ
ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นอีกครั้งแคลร์มองสภาพแวดล้อมอย่างระแวดระวังไม่มีความผิดปกติใดๆในสภาพแวดล้อมนั้นเลย
“เป็นอะไรไปแคลร์?” ดยุกกอร์ตั้นเห็นความผิดปกติของแคลร์จึงถามออกไป
“ไม่รู้ ท่านปู่ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างแอบมองอยู่รอบๆ ตัวข้าแต่หาไม่พบ” แคลร์ขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
“อะไรนะ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” สีหน้าของดยุกกอร์ตั้นเปลี่ยนไป เขาขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ อย่างตื่นตัวแล้วพึมพำ “หรือว่าคนของวิหารแห่งแสงต้องการจะโจมตี?”
แคลร์ขมวดคิ้ว คิดว่าวิหารแห่งแสงไม่น่าจะผลีผลามกับตนเองไม่ต้องพูดว่าความแข็งแกร่งในตอนนี้ของตนเองมันเกินความคาดเดาของพวกเขาแล้ว เบื้องหลังของตนเองคือตระกูลฮิลล์และปรมาจารย์คลิฟไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะจัดการกับนางเลย อยากจะล้มตนเอง ไม่กลัวจะล้มหรือ?เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่วิหารแห่งแสงจะทำสิ่งนี้
“แคลร์ เจ้ารู้สึกว่าตรงไหนที่ผิดปกติ?” ดยุกกอร์ตั้นขมวดคิ้ว ขยับฝีเท้าของเขาเพื่อตรวจสอบรอบๆ
“ข้าก็ไม่รู้”แคลร์ส่ายหัว
ดยุกกอร์ตั้นขมวดคิ้วตรวจสอบ และเดินไปที่ด้านหลังแคลร์
“มีบางอย่างผิดปกติตรงหน้าเจ้าหรือ?” ดยุกกอร์ตั้นพูดอย่างเคร่งขรึม
“ตรงหน้า?” แคลร์เงยหน้ามองไปข้างหน้าอย่างตั้งใจโดยไม่ทันระวังดยุกกอร์ตั้น
ทันใดนั้นสีหน้าของดยุกกอร์ตั้นก็นิ่งลงก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยกริชที่มีแสงเย็นเยียบปรากฏอยู่ในมือของเขาแสงสีฟ้าบนกริชแสดงให้เห็นว่ามันเคลือบด้วยยาพิษ!
จู่ๆ ดยุกกอร์ตั้นก็โบกกริชของเขาเล็งไปที่หัวใจของแคลร์
เสียงของการแหวกอากาศทำให้แคลร์รู้ตัวทันทีแต่ช้าไปแล้ว มันพุ่งตรงมาที่หัวใจแล้วแคลร์รีบสร้างโล่เวทที่หลังของนาง
แต่กริชยังคงตัดผ่านเสื้อผ้าของแคลร์และบาดผิวหนังของนางไปแคลร์ยังไม่ทันได้หายใจ กำปั้นหนักก็พุ่งเข้าใส่นางนางยกมือขึ้นกันเพื่อเลี่ยงการลอบโจมตีการโจมตีอย่างกะทันหันนี้ประสบความสำเร็จมาก! เพราะว่าดยุกกอร์ตั้นได้ควบคุมกลิ่นอายสังหารของเขาได้อย่างสมบูรณ์แคลร์จึงไม่ได้รับรู้ในทันทีและไม่ได้ป้องกันใดๆ ที่ด้านหลังเลย
แคลร์ถูกบังคับให้ถอยหนีไปที่ต้นไม้ใหญ่มองดยุกกอร์ตั้นที่ไร้ความรู้สึกตรงหน้าอย่างเย็นชาแต่งแคลร์เวียนหัวเล็กน้อยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติจากบาดแผลที่ด้านหลังบอกแคลร์ว่ากริชนั้นมีปัญหา นางจุกอกจนหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมาอย่างหนัก เลือดที่พื้นเป็นสีดำ! มีพิษ! แล้วก็ไม่ใช่ยาพิษธรรมดาด้วย!
ทุกคนมองเห็นภาพนี้ได้ในระยะไกล “แคลร์…” แคทเธอรีนร้องขึ้นมาจากที่ไกลๆ รีบวิ่งมาด้านนี้ ราเซียก็รีบวิ่งไปด้วยความตกใจลาเกอร์ตามมาสีหน้าของเขามืดมนอูมาริก็ตกใจเช่นกันเขาก็รีบวิ่งมาที่ด้านนี้ทันทีแต่มือของเขาถูกจับกะทันหันอย่างแรงแขนทั้งข้างของเขาแทบจะหลุดออกอูมาริหันกลับไปพบกับใบหน้าเย็นชาของเชลส์
“นายท่านบอกแล้ว ให้เจ้ารออยู่ที่นี่เงียบๆ กับข้า” เชลส์ไม่แปลกใจเลยกับเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเขายื้ออูมาริไว้เต็มที่ไม่ให้อูมาริไป
ทางด้านแคลร์ยังไม่ทันตั้งตัว ที่ใต้เท้าก็มีความผิดปกติเกิดขึ้น แสงสีขาวปรากฏออกมา แคลร์เวียนหัว ยืนพิงต้นไม้ และเห็นว่าพื้นที่ใต้เท้าของนางมีการก่อตัวขนาดใหญ่เป็นค่ายกลรูปดาวสิบสองแฉก ค่ายกลนั้นส่องแสงสีขาว และแสงก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านพ่อ ท่านทำอะไร?!” แคทเธอรีนรีบวิ่งไปอย่างลนลาน และกำลังจะรีบเข้าไปในค่ายกล
“แคทเธอรีน เจ้าใจเย็นๆ ก่อน” ลาเกอร์คว้าตัวแคทเธอรีนที่กำลังจะพุ่งเข้าไป และดึงนางกลับเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
“ท่านปู่ ท่านปู่ทำอะไร! ทำไมต้องทำท่านพี่ด้วย?” ราเซียทั้งโกรธทั้งตกใจและเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของแคลร์ขาวซีด ในใจก็ยิ่งกังวลอยากจะรีบพุ่งเข้าไป แต่ถูกดยุกกอร์ตั้นจับไว้ไป๋ตี้และเฮยหยู่บนไหล่ของราเซียกระโดดเข้าไปในนั้นและนั่งบนไหล่ของแคลร์ร้องอย่างเป็นห่วง
ดยุกกอร์ตั้นมองแคลร์ที่ยืนอยู่ในนั้นอย่างเย็นชา ไม่มีความอบอุ่นในดวงตาของเขาเลย
“ลาเกอร์! เจ้าทำอะไร? ปล่อยข้าไป! ปล่อยข้า! นั่นคือลูกสาวของเรานะ!” แคทเธอรีนทุบหน้าอกลาเกอร์พร้อมเตะอย่างบ้าคลั่งลาเกอร์ดูเจ็บปวดแต่ก็ไม่ยอมปล่อย
แคลร์ยืนอยู่ในค่ายกล ยื่นมือมาเพื่อเช็ดเลือดจากมุมปาก และหัวเราะเยาะ “วิหารแห่งแสงมีวิธีการที่ดีจริงๆ นะ แม้แต่การใช้เวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ก็ยังทำเลย ดูถูกข้าจริงๆ”ค่ายกลนี้แคลร์รู้เพราะว่ามีการแกะสลักบนผนังที่เป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศของวิหารนี่คือค่ายกลที่เทพีใช้เพื่อจับปีศาจสิ่งที่แกะสลักอยู่บนนั้นคือค่ายกลที่ระบุโดยทูตสวรรค์แปดปีกทั้งสิบสอง
อาร์ชบิชอปทั้งสิบสองของวิหารในชุดคลุมขาวปรากฎออกมาจากสิบสองทิศทางนั้นอย่างช้าๆ พวกเขาทั้งหมดสวมสร้อยคอที่หน้าอก นั่นคือความเงียบของเทพีสิ่งที่คล้ายหยดน้ำมีบทบาทอย่างมากในการช่วยซ่อนลมหายใจ! ดังนั้นเมื่อครู่นี้แคลร์จึงไม่รู้สึกของการมีอยู่ของพวกเขาการแสดงออกของพวกเขาแต่ละคนเกือบจะเหมือนกัน คือเย็นชาและไม่แยแสพวกเขายังคงพึมพำอาคมควบคุมการจับปีศาจแม้ว่าการจับปีศาจที่พวกเขาแสดงนั้นอยู่ห่างไกลจากพลังของเวทมนตร์ที่ทำโดยทูตสวรรค์แปดปีกทั้งสิบสองในรูปแกะสลักแต่ก็เพียงพอที่จะจัดการกับจอมเวทชั้นเซียนที่ได้รับพิษและได้รับบาดเจ็บแล้วค่ายกลนี้จะควบคุมคนในค่ายกลอย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็จัดการและสังหารจากคนที่อยู่นอกค่ายกล
แคลร์พูดคำเหล่านี้อย่างราบเรียบแต่ไม่มีความกลัวในสายตาของนาง นางไม่ละจากดยุกกอร์ตั้นเลย คนผู้นี้ เป็นคนที่ทำให้นางบาดเจ็บโดยไม่มีความเมตตาเลย ถ้าแคลร์ไม่มีพลังยุทธ์ ร่างกายของนางก็จะอ่อนแอเหมือนนักเวทธรรมดา แล้วในตอนนี้ก็คงจะไม่มีลมหายใจแล้ว
ดยุกกอร์ตั้นสบสายตาแคลร์ในใจก็มีสั่นสะท้าน สายตาของแคลร์ดูเหมือนจะทะลุทะลวงเขาเป็นจอมเวทชั้นเซียนขั้นสูงย่อมไม่ธรรมดา ถ้าหากว่าตนเองลงมือด้วยการใช้พลังยุทธ์ จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน พระสันตะปาปาคาดเอาไว้นานแล้ว ดังนั้นจึงมอบกริชเล่มนี้ให้เขา