ท่านแม่…
อาจารย์…
ขนตายาวๆ ของแคลร์เริ่มขยับเล็กน้อย
“แคลร์!” เฟิงอี้เซวียนกำมือของแคลร์อย่างตื่นเต้น
ในใจของเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็โล่งใจเล็กน้อย
แคลร์ลืมตาขึ้นช้าๆ
ในสายตาไม่มีความสับสนไม่มีความสิ้นหวัง…
มีเพียงความมุ่งมั่น!
“แคลร์” เฟิงอี้เซวียนเรียกอย่างเป็นห่วง
แคลร์หันหน้าไปมองเฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋น แล้วส่งเสียงเบาๆ “อืม…”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเฟิงอี้เซวียนรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก
เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเบาๆ “ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว”
“อืม ข้าฟื้นแล้ว” แคลร์ค่อยๆ ลุกขึ้น เฟิงอี้เซวียนก็รีบก้าวไปช่วยแคลร์
“ทำให้พวกเจ้ากังวลเลยสินะ” แคลร์เอนหัวพิงหัวเตียงเบาๆ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นพยักหน้าเบาๆ
“บอกข้าทีว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ดวงตาสีเข้มของแคลร์ดูลึกล้ำ
เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองหน้ากัน
ต้องพูดหรือ?
แคลร์ถูกใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนที่ห่วงใยนางมากที่สุด ต้องบอกหรือไม่?
เฟิงอี้เซวียนเลียริมฝีปากที่แห้งผากอย่างลังเล เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็เงียบเช่นกัน
“เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรโง่ๆ หรือ?” ใบหน้าของแคลร์สงบลงและก็พูดประโยคนั้นออกมาเบาๆ
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ทำ แต่… ” เฟิงอี้เซวียนหยุดพูด แต่เขาไม่อยากบอกความจริงที่โหดร้ายเช่นนี้กับแคลร์หรอก นี่คือการโรยเกลือลงบนแผลของแคลร์ แต่ว่า หากตนเองไม่พูดแคลร์ก็จะรู้เรื่องนี้ในที่สุดอยู่แล้วถึงตอนนั้นจะยิ่งทำให้แคลร์เจ็บปวด
“อย่างที่พวกเจ้าบอก ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีกมากการตายของท่านแม่และอาจารย์ ข้าจะต้องชำระแค้นวิหารแห่งแสงให้ได้” เสียงของแคลร์สงบ แต่เย็นชาอย่างแปลกประหลาด
เฟิงอี้เซวียนมองแคลร์และกัดริมฝีปาก
แคลร์ไม่พูดอะไร และรอคำพูดของเฟิงอี้เซวียนอย่างเงียบๆ
เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองหน้ากันและในที่สุดเฟิงอี้เซวียนก็บอกคำประกาศของอันพาแกรนด์และวิหารแห่งแสงออกมาเสียงของเฟิงอี้เซวียนนั้นเบามากๆ และเขาก็ระมัดระวังกับการแสดงออกของแคลร์มากๆแต่แคลร์ก็ใจเย็นมากตั้งแต่ต้นจนจบเลย
ในที่สุดเฟิงอี้เซวียนก็พูดจบ เขามองใบหน้าที่สงบของแคลร์อย่างเป็นห่วง มีความรู้สึกที่หลากหลายในใจของเขา
แคลร์หันไปมองที่ทั้งสองคนเปิดริมฝีปากเล็กน้อยทั้งสองรู้สึกประหม่าแต่แคลร์กลับพูดกับเหลิ่งหลิงยวิ๋นเบาๆ “เหลิ่งหลิงยวิ๋น ซวนซวนล่ะ?”
เหลิ่งหลิงยวิ๋นตะลึง เฟิงอี้เซวียนก็ตะลึง
“เจ้าอยู่กับข้า ช่วยข้าไว้วิหารแห่งแสงจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร? เจ้าไม่คิดถึงซวนซวนเลยหรือ?” หัวใจของแคลร์เป็นอ่อนไหว มองใบหน้าของเหลิ่งหลิงยวิ๋น และหัวใจของนางก็ร้อนเป็นไฟ รู้สึกถึงลางไม่ดี
เหลิ่งหลิงยวิ๋นเงียบลง แต่ความเศร้าโศกลึกๆ ภายในแววตาของเขาไม่รอดพ้นไปจากสายตาของแคลร์ได้เลย
เฟิงอี้เซวียนก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
แคลร์รู้ได้ทันที เด็กผู้บริสุทธิ์และไร้เดียงสาผู้นั้น หรือว่าจะ…
“ข้าขอโทษ… ” แคลร์พูดอย่างเงียบๆ มีความเศร้าและกล่าวโทษตัวเองอยู่ในนั้น
“ไม่ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเจ้าเลย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นถอนลมหายใจออก พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเขา “นี่คือความปรารถนาของซวนซวนความปรารถนาสุดท้ายของนางคือให้ข้าออกจากวิหารแห่งแสงและได้ใช้ชีวิต ข้าคิดแล้ว ข้าจะทำให้นางสมหวัง”
แคลร์และเฟิงอี้เซวียนมองใบหน้าที่ยิ้มจางๆ ของเหลิ่งหลิงยวิ๋น และในใจของพวกเขาก็ซับซ้อนมาก พวกเขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ นี่คือรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยพลังและความหวัง
“ที่นี่มันคือที่ไหนกัน?” แคลร์มองไปรอบๆ ห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูหิน และรูเล็กๆ ที่ด้านบนสำหรับระบายอากาศ เฟอร์นิเจอร์ในห้องค่อนข้างเรียบง่ายมีเชิงเทียนสีเงินสามเหลี่ยมบนโต๊ะ
“ห้องลับของครอบครัวข้าเอง” เฟิงอี้เซวียนพูดเบาๆ “อิทธิพลของวิหารแห่งแสงในประเทศลากัคนั้น ไม่สามารถมองข้ามได้ดังนั้น…”
“แม้ว่าวิหารแห่งแสงและอันพาแกรนด์จะออกหมายจับ แต่พวกเขาไม่ระดมคนเพื่อตามล่าแคลร์ เพราะว่าสีของดวงตาและผมของแคลร์ได้เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ววิหารแห่งแสงไม่สามารถระดมคนเพื่อจะตามล่าได้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจะเป็นการเปิดโปงความเจ้าเล่ห์และความโหดร้ายของวิหารแห่งแสงดังนั้นคนที่มาตามล่าจะเป็นเพียงคนภายในของวิหารเท่านั้น”เหลิ่งหลิงยวิ๋นวิเคราะห์เบาๆ
เฟิงอี้เซวียนและแคลร์นึกถึงวิหารแห่งแสงที่แอบตามล่าเด็กสาวผมดำตาดำนั้น ดวงตาของแคลร์ก็หม่นลงเล็กน้อย เคยไม่เคิดว่าเด็กสาวผู้นั้นจะเป็นตัวแทนของตัวนางเอง
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะพักผ่อนสักหน่อย” แคลร์หลับตาลงช้าๆ และพูดเบาๆ
เฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองหน้ากันทั้งคู่เห็นความกังวลในดวงตาของกันและกัน เมื่อมองใบหน้าที่สงบของแคลร์อีกครั้งทั้งสองก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ
หลังจากประตูปิดลง แคลร์ก็เอนหลังพิงหัวเตียงอย่างอ่อนแรงและค่อยๆลืมตาขึ้น
ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างน่าทึ่ง!
วิหารแห่งแสง! กอร์ตั้น ฮิลล์!
ข้าจะกลับไป!
ข้าจะกลับไปอย่างแน่นอน!
แคลร์กำลังจดจ่ออยู่กับสภาพร่างกายของตนเอง และเมื่อตรวจดูแล้วแคลร์ก็ประหลาดใจเล็กน้อย กระจกดอกบัววิ่งวนอยู่ในร่างกาย อาการบาดเจ็บในร่างกายหายไปมากแล้ว
“จี๊บๆ!”
“ฮู่ๆ!”
เสียงไป๋ตี้ร้องข้างหมอนของแคลร์เฮยหยู่ก็ร้องออกมาดังขึ้นอย่างไม่ยอม
แคลร์ก้มลงมองไปที่เจ้าขนปุยเล็กๆ ทั้งสองด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า แล้วอุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนและพูดเบาๆ “ขอบคุณพวกเจ้าทั้งสองที่ช่วยข้า”
“ฮู่!” เฮยหยู่กระพือปีกอย่างภาคภูมิใจ
“แต่ว่า พวกเจ้าทั้งสองเป็นใครกัน? ทำไมทั้งเทพีแห่งแสงและเทพเจ้าแห่งความมืดถึงรู้จักพวกเจ้าล่ะ” แคลร์มองเจ้าขนปุยน้อยทั้งสองในอ้อมแขนของนางอย่างสงสัย
เจ้าขนปุยน้อยทั้งสองเงียบโดยพร้อมเพรียงกัน
แคลร์เอนหลังมองเพดานเหนือศีรษะแล้วหลับตาลงช้าๆ
กฎใหม่เพิ่งจะเริ่มต้น
ประวัติศาสตร์ของแผ่นดินลังกาได้เปิดหน้าใหม่ในวันนี้แล้ว
สามวันต่อมารถม้าธรรมดาๆ คันหนึ่งขับออกไปจากประตูเมืองหลวงของลากัคอย่างช้าๆ
ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆต้นไม้ใหญ่ริมถนนเขียวชอุ่มและนกบนกิ่งไม้ต่างกระโดดโลดเต้นและส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
บนถนนราบเรียบมีรถม้าวิ่งผ่านไปมา
ในรถม้าธรรมดานั้นแคลร์เอนตัวอยู่ในรถม้าอย่างเงียบๆ มีเฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นอยู่ในรถม้าด้วย
“ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้วประการแรกข้าไม่อยากลากตระกูลเฟิงของเจ้าให้จมลง ประการที่สองข้าต้องการจะแก้แค้น” เมื่อสองวันก่อนแคลร์ปฏิเสธการรั้งไว้ของอันลิซ่า อันลิซ่าไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่กอดแคลร์และยิ้มให้ตอนนี้ลากัคไม่สามารถต่อสู้กับอันพาแกรนด์ได้ไม่ต้องพูดถึงวิหารแห่งแสงเลย แคลร์รู้ถึงสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี นางไม่ได้บอกให้ตระกูลหลี่รู้ด้วยซ้ำว่านางอยู่ในตระกูลเฟิง ตระกูลเฟิงและตระกูลหลี่ไม่สามารถรับผลกระทบนี้ได้ หากตนเองยังไม่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับอันพาแกรนด์และวิหารแห่งแสงได้ แคลร์มีแผนในใจแล้ว
ครั้งนี้เฟิงอี้เซวียนติดตามอยู่ข้างกายแคลร์แคลร์ไม่ได้คัดค้านอะไร และก็ไม่ได้คิดจะให้เฟิงอี้เซวียนไปไหนด้วย
จุดมุ่งหมายของทั้งสามไม่มีการเปลี่ยนแปลง
คือที่โยซาลี่สถานที่ที่พลังของวิหารแห่งแสงเข้ามาได้น้อยที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในแผ่นดินลังกาด้วย
ประเทศนี้ประกอบด้วยทะเลทรายขนาดใหญ่และโอเอซิสไม่กี่แห่งสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่ร้ายแรงและผู้อยู่อาศัยที่ยากจนทำให้วิหารแห่งแสงไม่ให้ความสนใจกับประเทศนี้มากนัก เฉพาะเมืองหลวงของประเทศเท่านั้นที่มีห้องโถงสาขาที่เป็นสัญลักษณ์อยู่
ลมพัดทรายโหมกระหน่ำทั่วทะเลทราย เหนือศีรษะคือแสงแดดที่แผดจ้า
ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่อูฐสามตัวที่แบกคนไว้บนหลังเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ล้อมรอบด้วยกระบองเพชรขนาดใหญ่ ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลยลมพัดทรายสีเหลืองที่บางครั้งก็เผยให้เห็นกระดูกหนาทึบใต้ทรายสีเหลือง นี่คือพื้นที่อันตราย
ไกลออกไปทรายสีเหลืองก็ลอยขึ้นมา มีควันโขมงและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ความจริงแล้วมันเป็นทีมม้าที่แข็งแรง มีดาบและรองเท้าบู๊ตหนัง พวกโจรม้า!
“เจ้านายดูสิสามคนนั้น คนที่อยู่ตรงกลางต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน แม้ว่าข้าจะไม่เห็นหน้า แต่ข้าก็คิดว่าร่างนั้นเป็นหญิงงามแน่ๆ ” ชายน่าสมเพชวิ่งไปตรงหน้ากลุ่มโจรม้าแล้วพูดยืนยันกับคนรูปหล่อข้างๆ เขา เห็นได้ชัดว่าสามคนนี้ไม่ใช่แกะอ้วน แต่ถ้าหญิงผู้นั้นเป็นหญิงงาม ก็จะทำเงินได้มากเลย
และคงไม่มีใครคาดคิดว่าชายหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้คือผู้เป็นใหญ่ของทะเลทรายแห่งนี้ หัวหน้ากลุ่มโจรม้า
หลงซ่าซือพยักหน้าเขาไม่ได้สงสัยในคำพูดของชายน่าสมเพชที่อยู่ข้างๆ เขา แม้ว่าชายผู้นี้จะเลวร้ายมาก แต่สายตาของเขาไม่เคยมองพลาดเลย
โจรม้าส่งเสียงอย่างแปลกประหลาดโบกดาบในมือของพวกเขาและควบม้าไปที่หน้าคนทั้งสาม
“หญิงสาวที่อยู่ตรงกลางให้อยู่นี่ที่ อีกสองคนไปซะ” หลงซ่าซือตะคอกอย่างเย็นชา
“เจ้า…” เสียงหวานเพียงแค่เปล่งออกมาก็ ทำให้หัวใจของโจรม้าสั่นสะท้าน ผู้ที่มีน้ำเสียงเช่นนี้จะมีรูปลักษณ์แบบไหนกันนะ?
“เจ้าคือหลงซ่าซือลมกรดทะเลทรายใช่หรือไม่” เสียงหวานพูดเบาๆ และพูดชื่อของหลงซ่าซือออกมา
หลงซ่าซือผงะไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะเสียงดัง “ทำไมสาวงามถึงรู้จักชื่อของข้าแล้วล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลงมาแล้วตามข้าไปเสียดีๆ”
“เจ้างี่เง่าที่ถูกใส่ร้ายแล้วกลายเป็นโจรม้า สูญเสียบ้านจะหยิ่งยโสอะไรเช่นนี้ล่ะ?” แต่ประโยคถัดมาของน้ำเสียงหวานนั้นรุนแรงมาก
สีหน้าของพวกโจรม้ารอบๆ หลงซ่าซือเปลี่ยนไปทันที ทุกคนรู้ว่านี่เป็นจุดอ่อนของเจ้านายของพวกเขา ไม่ควรไปแตะต้องเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้านายจะแทบคลั่งผลที่ตามมาอาจเป็นหายนะเลย
แต่ความประหลาดใจของทุกคนก็คือหลงซ่าซือไม่ได้ทำรุนแรง แต่เขาเหวี่ยงมีดชี้ไปที่คนตรงกลางอย่างระมัดระวังและพูด “เจ้าเป็นใคร?”
“คนที่มาช่วยเจ้า” เสียงน่าฟังตอบแผ่วเบา จากนั้นคนที่อยู่ตรงกลางก็ค่อยๆยกหมวกขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่มีใครเทียบได้ ผมสีดำสนิทดวงตาสีดำล้ำลึก เด็กสาวตรงหน้าดูมีเสน่ห์มากแล้วถ้าโตขึ้น นางจะมีเสน่ห์แค่ไหนกันนะ?