เสน่ห์คมดาบ – ตอนที่ 180

“อย่างที่ทุกคนเห็น เขตกั้นนี้ผลักพลังทั้งหมดกลับคืนมาได้” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วและมองเขตกั้นที่ไม่เสียหาย ในใจก็นิ่งไปเมื่อครู่กำลังคิดอยู่ว่าทำไมแรงในการดีดตนเองถึงได้ดูแปลกๆ และทันใดนั้นก็จำได้ว่ามันเป็นเพียงแรงดันเล็กน้อยของตัวเองทำกับเขตกั้น แรงไม่ใหญ่หรือน้อยเกินไป กำลังพอดี แต่สีเฉ่าฉีรีบร้อนลงมือไม่ทันได้ห้าม จึงถูกตีกลับมา  

 

 

“มันเขตกั้นแบบไหนกัน?!” สีเฉ่าฉีสบถด้วยความกลัว พูดแล้วก็ย่อตัวลง หยิบก้อนหินก้อนเล็กๆ ขึ้นมาแล้วโยนไปเบาๆ ตามที่คาดไว้หินก้อนเล็กๆ ถูกดีดกลับมาในลักษณะเดียวกันกับที่มันเข้าใกล้เขตกั้นแรงดีดออกมาไม่มากนักดังนั้นสีเฉ่าฉีจึงไม่ต้องหลบมัน  

 

 

ทุกคนมองสิ่งที่เกิดขึ้นพวกเขาไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ และทำลายเขตกั้นนี้ไม่ได้ พลังที่ใช้ในการโจมตีจะถูกตีกลับไปด้วยพลังที่เท่ากัน  

 

 

“ข้าจะลองดู” เฟิงอี้เซวียนโบกมือเบาๆ ถือใบมีดลมขนาดใหญ่ที่โปร่งใสไว้ในมือ  

 

 

“ไม่ทำจะดีกว่า” ชีอ้าวชวางส่ายหัวเบาๆ  

 

 

“ถ้าโจมตีด้วยพลังที่มากเกินกว่ากำแพงจะรับไหว อาจจะไม่ดีดกลับแต่ทำลายเขตกั้นนี้ไป” เฟิงอี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและวิเคราะห์ เฟิงอี้เซวียนก็พร้อมที่จะพยายามอย่างเต็มที่  

 

 

“แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ?” ชีอ้าวชวางถามอย่างเรียบเฉย  

 

 

ความหนาวเย็นผุดขึ้นในใจของทุกคนถ้าไม่ใช่ล่ะ? ใครจะหยุดการโจมตีของเฟิงอี้เซวียนได้? ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเฟิงอี้เซวียนสามารถพูดได้เลยว่าแข็งแกร่งเกินไปถ้าเขาทำเต็มที่บางทีก็อาจจะหยุดไม่ได้นับประสาอะไรกับคนอื่นล่ะ  

 

 

เฟิงอี้เซวียนกระพริบตาและลองเหวี่ยงดาบไปที่เขตกั้นพลังที่ตีกลับทำให้เฟิงอี้เซวียนอ้าปากค้าง ด้วยแรงและความเร็วเหมือนกับแรงของเขา เฟิงอี้เซวียนสร้างโล่ขึ้นมาทันทีเพื่อป้องกันการโจมตีที่ตีกลับมาเหงื่อเย็นๆ ไหลซึม หากทำเต็มที่แล้วดาบเล่มทำลายเขตกั้นไม่ได้ผลจะเป็นอย่างไรกัน?  

 

 

“แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?” เฟิงอี้เซวียนถอนดาบในมือและถามอย่างกลุ้มใจคิดว่าถ้าตนเองถูกเวทย์ของตนเองตีกลับก็รู้สึกไม่สบายใจ  

 

 

“ใช่ จะทำอย่างไรดี? หรือว่าเราจะถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดหรือ?” สีเฉ่าฉีมองคนที่เดินอยู่ข้างๆเขาตัวสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ตายไปแล้ว แต่พวกเขายังคงรักษาการกระทำก่อนที่จะเสียชีวิตแล้วเดินไปมาบนถนน มันแปลกมากจริงๆ  

 

 

“ฮ่าๆ อย่าเสียเวลาวางแผนให้เปล่าประโยชน์เลยเขตกั้นนี้ไม่ว่าพลังของเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหนมันก็ทำลายมันไม่ได้ ถ้าเจ้าอยากตายในทันทีให้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อโจมตีแล้วตายไปหรือไม่ก็อยู่ในนั้นอย่างสงบต่อไปฮ่าๆ” เสียงหัวเราะดังมาจากข้างนอกไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าเป็นคนประหลาดที่วางกับดับพวกเขา จากนั้นเสียงก็เงียบไปเห็นได้ชัดว่าคนๆ นั้นคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนในนี้จะทำลายเขตกั้นและยอมอยู่อย่างสงบๆ เป็นการบอกว่าหากยังดื้อดึงต่อไปจะมีสภาพกลายเป็นอย่างคนในเมือง  

 

 

“ไอ้บ้าเอ๊ย!” สีเฉ่าฉีด่า  

 

 

“ออกไปได้ข้าจะฆ่าเจ้า!” เฟิงอี้เซวียนกัดฟันและก่นด่า  

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่เคยเห็นค่ายกลเช่นนี้และไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับค่ายกลเช่นนี้ด้วย บันทึกในห้องสมุดของวิหารแห่งแสงก็ไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย”  

 

 

“เห้อ ไม่มีบันทึกในห้องสมุดของวิหารแห่งแสงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครรู้” แม้ว่าสีเฉ่าฉีจะรู้ว่าเหลิ่งหลิงยวิ๋นได้รวมกลุ่มกับพวกเขาแล้ว แต่เขาก็ส่งเสียงกร้าวอย่างไม่พอใจเมื่อได้ยินคำพูดว่าวิหารแห่งแสง  

 

 

“เจ้าหมายถึงว่าเจ้ารู้หรือ” ประโยคที่เย็นชาของชีอ้าวชวางทำให้สีเฉ่าฉีปิดปากของเขาอย่างเชื่อฟัง และนั่งยองๆบนพื้น  

 

 

“ไปพักผ่อนก่อนเถอะ ยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีวิธีอะไร” ชีอ้าวชวางพูดเบาๆ “ไปที่โรงแรมแล้วนั่งคุยกันดีกว่า”  

 

 

ทุกคนตกลง แล้วสีเฉ่าซื่อก็เดินนำพวกเขาไปที่โรงแรม สีเฉ่าฉีอยู่ด้านหลังอย่างไม่อยู่เฉย ยังคงปล่อยเวทมนตร์เล็กๆ เพื่อพยายามทำลายเขตกั้นนั้น แต่ผลก็เหมือนเดิมทุกอย่างตีกลับมา แม้ว่าสีเฉ่าฉีจะเตรียมพร้อม แต่เขาก็ยังโดนเวทตัวเองทุกคนข้างหน้าไม่สนใจเขาและเดินหน้าต่อไป  

 

 

เมื่อมาที่โรงแรมไม่มีแขกอยู่เลย ในล็อบบี้เถ้าแก่กำลังเช็ดถ้วยอยู่ที่เคาน์เตอร์และเช็ดไม่หยุดบริกรข้างโต๊ะล็อบบี้ยืนอยู่และกำลังเช็ดโต๊ะด้วยเศษผ้า การกระทำของคนทั้งสองซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุด  

 

 

หัวใจของสีเฉ่าฉีหงุดหงิด นั่งอยู่ที่โต๊ะที่ไกลที่สุด พยายามที่จะไม่มองไปที่คนทั้งสองที่ตายไปแล้ว  

 

 

“คุณหนู ข้าเกลียดที่นี่…” เสียงของสีเฉ่าฉีสั่น  

 

 

“พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?” ชีอ้าวชวางเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง ยังคงมีคนเดินกระจัดกระจายอยู่บนถนนนอกหน้าต่างนั้น  

 

 

“การทำลายค่ายกล จะต้องใช้แรงทำลาย หรือไม่ก็ฆ่าผู้ที่สร้างมัน”เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดอย่างเคร่งขรึม  

 

 

“สองสิ่งนี้เทียบเท่ากับหนึ่งเดียว คนที่อยู่ข้างนอกนั่น ถ้าต้องการที่จะฆ่าเขาก็ต้องออกไป สถานการณ์ในตอนนี้คือไม่สามารถออกไปได้” เฟิงอี้เซวียนพูดอย่างโกรธๆ  

 

 

“คำถามคือเขาทำอย่างไรจึงสามารถทำเขตกั้นครอบเมืองมีขนาดไม่ใหญ่เช่นนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเราเห็นเขาคนเดียวเมื่อเราเข้ามาค่ายกลนั้นก็ถูกเปิดใช้งานทันที” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วคิด  

 

 

“ในตอนแรกอาจารย์ยังต้องการความช่วยเหลือจากเราสองคนหรือคนอื่นๆเลยเขาไม่สามารถสร้างค่ายกลที่ใหญ่เกินไปเพียงผู้เดียวได้” สีเฉ่าซื่อแตกคางของเขาและคิด “แต่รูปแบบนี้ใหญ่มาก จะจัดการอย่างไรล่ะ?”  

 

 

“หรือว่าอีกฝ่ายมีสมบัติอะไร?” สีเฉ่าฉีกระพริบตาและขยับก้นของเขาบนเก้าอี้ไปทางสีเฉ่าซื่อเมื่อเขาเห็นการเคลื่อนไหวของคนในร้านที่ตายแล้ว เขาก็รู้สึกใจสั่นๆ  

 

 

“สมบัติหรือ?” ทุกคนมองไปที่สีเฉ่าฉี  

 

 

“ข้าเดาน่ะ” สีเฉ่าฉีโบกมือ  

 

 

ทันใดนั้นหัวใจของชีอ้าวชวางก็ตื่นเต้นและถาม “เจ้าจำได้หรือไม่ว่ารูปแบบนี้เปิดใช้งานอย่างไร?”  

 

 

“ดูเหมือนว่าที่บนหัวจะส่องแสงแล้วมันก็เริ่มขึ้น” เฟิงอี้เซวียนคิดย้อนกลับไป  

 

 

“ทิศทางล่ะ?” ชีอ้าวชวางถาม  

 

 

“ทิศทางหรือ? ดูเหมือนว่าจะกระจายออกไปทุกทิศทาง แล้วมีจุดศูนย์กลาง” เฟิงอี้เซวียนทำให้ทุกคนประหลาดใจ แค่พริบตาเดียวแต่เขาสามารถจับภาพได้ชัดเจนขนาดนั้น  

 

 

“ไป” ชีอ้าวชวางยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว  

 

 

“จะไปไหน?” ทุกคนถาม  

 

 

“ไปที่ใจกลางเมืองนี้” หัวใจของชีอ้าวชวางตื่นเต้น คนในโลกนี้ไม่รู้แต่นางรู้ มีรูปแบบหนึ่งที่ต้องการการสนับสนุน ถ้าเฟิงอี้เซวียนไม่ได้มองผิดและตนเองเดาไม่ผิด ค่ายกลขนาดใหญ่นี้มีตาค่ายกลและตาต้องอยู่ใจกลางเมืองเล็กๆ แห่งนี้ นั่นคือกุญแจสำคัญในการทำลายเขตกั้นนี้!  

 

 

“ใจกลางเมืองคือทะเลสาบเล็กๆ และก้นทะเลสาบเป็นธารน้ำผุดใต้ดิน” สีเฉ่าซื่อพูดเสริม หลังจากนั้นเขาก็งงว่าชีอ้าวชวางกำลังคิดอะไรอยู่ ในสถานที่นั้นมีอะไรได้ล่ะ? เป็นน้ำทั้งหมดเลย  

 

 

“ก็ตามไปเถอะน่า คำพูดของคนรักข้าคือความจริง!” เฟิงอี้เซวียนหลุบตาของเขาอย่างไม่พอใจ สีเฉ่าซื่อพูดไม่ออกกลอกตาและตามไป  

 

 

ในตอนนี้ชีอ้าวชวางไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจเรื่องนี้กับเฟิงอี้เซวียน แล้วรีบไปที่ใจกลางเมือง  

 

 

ใจกลางเมืองเป็นทะเลสาบสีเขียวขนาดเล็ก มีพืชบางชนิดที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ดูมีชีวิตชีวารอบๆ ทะเลสาบมีขั้นบันไดหินให้คนลงไปตักน้ำ  

 

 

“ทะเลสาบแห่งนี้มีปัญหาอะไรหรือ” สีเฉ่าซื่อขมวดคิ้วและมองทะเลสาบนี้โดยไม่เห็นสัญญาณใดๆ  

 

 

ชีอ้าวชวางไม่ได้พูด แต่นั่งลงหลับตาและเพ่งสมธิไปยังใต้น้ำ เมื่อเฟิงอี้เซวียนเห็นสิ่งนี้เขาก็พยายามเพ่งสมาธิไปยังใต้น้ำอย่างตั้งใจ  

 

 

สีเฉ่าฉีกำลังจะถามว่าพวกเขากำลังทำอะไรเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็หยุดนิ่งและบอกให้เขาเงียบ สีเฉ่าฉีเงียบทันที  

 

 

เป็นเช่นนั้นจริงๆ!  

 

 

มุมปากของชีอ้าวชวางมีส่วนโค้งจางๆ  

 

 

มีสิ่งผิดปกติใต้น้ำจริงๆ ลึกลงไปมีคลื่นเวทมนตร์จางๆ บางอย่างดูเหมือนจะถูกปล่อยออกมา  

 

 

ชีอ้าวชวางถอนการรับรู้และลืมตาขึ้น  

 

 

เฟิงอี้เซวียนก็ลืมตาขึ้น ไม่ต้องรอให้ชีอ้าวชวางพูด เฟิงอี้เซวียนก็ขมวดคิ้วและพูด “มีที่สว่างไสวอยู่ใต้น้ำและคลื่นแห่งเวทมนตร์ออกมาไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับค่ายกลนี้หรือไม่”  

 

 

ชีอ้าวชวางประหลาดใจที่เฟิงอี้เซวียนสามารถตรวจจับลักษณะของสิ่งนี้ได้ นางมองไม่ชัด นางรู้สึกได้เพียงคลื่นเวทย์มนตร์เท่านั้น  

 

 

“น่าจะเป็นเช่นนั้น” ชีอ้าวชวางพยักหน้า  

 

 

“ห้ะไม่จริงน่า” สีเฉ่าฉีดูสงสัย “คนที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลนี้ควรจะอยู่ข้างนอกสิ มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้างในล่ะ?”  

 

 

“ดวงตาค่ายกล บางทีสิ่งที่อยู่ด้านล่างคือดวงตาของค่ายกลนี้” ชีอ้าวชวางพูดประโยคนี้เบาๆ  

 

 

“ดวงตาค่ายกล? มันคืออะไร?” สีเฉ่าฉีถาม คราวนี้เขาไม่ใช่คนเดียวที่งง แต่คนอื่นๆ ก็งงเช่นกัน  

 

 

“สิ่งสำคัญที่สนับสนุนการสร้างค่ายกลระดับสูงมันเหมือนกับหัวใจของมนุษย์” ชีอ้าวชวางอธิบายเช่นนี้  

 

 

ทุกคนดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ  

 

 

“คุณหนู ท่านรู้ได้อย่างไร?” ทันใดนั้นสีเฉ่าซื่อก็ถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย  

 

 

เมื่อพูดจบทุกคนก็มองไปที่ชีอ้าวชวางด้วยท่าทางที่ซับซ้อน  

 

 

“อยากรู้หรือ?” ชีอ้าวชวางยิ้มราวกับดอกไม้  

 

 

“ไม่อยากรู้แล้ว” จู่ๆสีเฉ่าซื่อก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เขารู้ว่าทุกครั้งที่ชีอ้าวชวางแสดงรอยยิ้มเช่นนี้ใครบางคนจะต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน เขากล้าที่จะใช้ชีวิตของเขาเป็นประกันเลย ประโยคต่อไปของชีอ้าวชวางแน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าอยากรู้ข้าจะไม่บอกเจ้าร้ายกาจมาก ร้ายกาจสุดๆ จะดีกว่าที่จะไม่ถาม แล้วนางจะพูดเมื่อนางอยากพูดเอง   

 

 

“คุณหนู ตอนนี้เราจะทำอย่างไรกัน?” ความสนใจของสีเฉ่าฉีไม่ได้อยากรู้สาเหตุที่ชีอ้าวชวางรู้เรื่องนี้ แต่เขาอยากออกจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด  

 

 

“รอตอนกลางคืนแล้วกัน ตอนกลางคืนค่อยเอาสิ่งนั้นขึ้นมา ถ้าคนในค่ายกลเห็นเราลงน้ำและมีบางอย่างซ่อนอยู่เขาจะใช้มาตรการอื่นอย่างแน่นอนรอให้เขาคลายความระมัดระวังไปก่อน” ชีอ้าวชวางตอบกลับเรียบๆ  

เสน่ห์คมดาบ

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์ ฮิลล์ คุณหนูใหญ่สุดสำรวยแห่งตระกูลขุนนางชั้นสูงผู้มีชื่อฉาวคาวกะฉ่อนว่าโง่เง่า เอาแต่ใจและบ้าผู้ชายเป็นชีวิตพลัดตกจากหลังม้าขณะไล่ตามองค์ชายสองจนหมดสติ สร้างความอับอายให้กับตระกูลเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทีของนางกลับเปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังเท้า ไม่มีอีกแล้วคุณหนูไร้ยางอายที่คลั่งไคล้การไล่จับบุรุษรูปงาม เรื่องเรียนไม่เอาอ่าว เรื่องงานไม่เอาไหน จะมีก็แต่คุณหนูแคลร์ผู้สงบเสงี่ยมเยือกเย็น สำรวมท่าที และเปี่ยมไปด้วยพลังเวทอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเท่านั้น! เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูแคลร์คนนั้นกันแน่นะ!?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset