นี่กลายเป็นการฆ่าเพียงฝ่ายเดียวแล้ว!
ดาบแล้วดาบเล่าชีอ้าวชวางแทงชายผมสีฟ้าบนพื้นราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ความแค้นที่สะสมมานานในใจของนาง ในที่สุดก็ได้ระบายออกมาราวกับน้ำป่าไหลหลาก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนในที่สุดก็มีเสียงตะโกนเรียกดังขึ้นมา
“อ้าวชวาง!”
“คุณหนู!”
มือใหญ่ที่อบอุ่นคู่หนึ่งจับที่ข้อมือของชีอ้าวชวางไว้ เพื่อหยุดการกระทำดังคนเสียสติของนาง
ชีอ้าวชวางหันไปพบกับดวงตาที่เปี่ยมล้นด้วยความเจ็บปวดของเฟิงอี้เซวียน
“พอแล้ว อ้าวชวางมันจบแล้ว” เสียงนุ่มนวลของเหลิ่งหลิงยวิ๋นดังขึ้นข้างๆ ชีอ้าวชวาง
แสงสีแดงบนร่างของชีอ้าวชวางค่อยๆ จางลง และดวงตาที่มืดบอดด้วยความเคียดแค้นจึงกลับมากร่ะจ่างอีกครั้งชีอ้าวชวางหันหลังดินไปข้างหน้าช้าๆ โดยไม่มองศพอาบเลือดบนพื้นสักนิด
เฟิงอี้เซวียนยืนอยู่ที่เดิมมองแผ่นหลังของชีอ้าวชวาง แล้วชำเลืองมองเหลิ่งหลิงยวิ๋นเป็นสัญญาณไม่ให้ตามซีอ้าวชวางไป ตอนนี้สิ่งที่ชีอ้าวชวางต้องการที่สุดคือการอยู่ตามลำพัง
เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นโดยรอบ ผู้คนทั้งหมดถูกฆ่าตายและพบป้ายเล็กๆ อยู่ที่ศพเหล่านั้นสิ่งเดียวที่ชีอ้าวชวางได้เห็นคือเงาสีขาวและสายฟ้าสีดำแสดงว่าคนเหล่านี้ต้องมามาจากกลุ่มสายฟ้าสีดำเป็นแน่
คนทั้งกลุ่มเดินออกมาจากป่าหินอย่างเงียบงัน ชีอ้าวชวางเดินนำหน้าเงียบๆ พลางลากดาบไป ทุกคนเดินตามหลังโดยไม่พูดอะไรพยายามรักษาระยะห่างจากชีอ้าวชวาง
“จิ๊บๆ…” ไป๋ตี้นั่งบนไหล่ของเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองแผ่นหลังของชีอ้าวชวางที่อยู่ตรงหน้า และส่งเสียงออกมาอย่างเป็นห่วง (แปลคำพูดไป๋ตี้ ‘ชีอ้าวชวางจะไม่เป็นไรใช่ไหม’)
“ฮู่ๆ!” เฮยหยู่ที่นั่งบนไหล่ของเฟิงอี้เซวียน โบกมือเล็กน้อยแล้วส่งเสียงไปหาไป๋ตี้อย่างดุเดือดสองครั้ง (แปลคำพูดเฮยหยู่ ‘เจ้าจะกังวลอะไร จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้ล่ะ’)
สีเฉ่าฉีจูงอูฐสองตัว และเดินตามหลังไปอย่างกลัดกลุ้มชีอ้าวชวางเดินไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ดาบชังหลันในมือของนางลากพื้นเป็นรอยยาวเลือดที่อยู่บนดาบนั้นแห้งไปแล้ว ไม่มีใครคิดจะขึ้นมาเดินนำหน้านางพวกเขาทั้งหมดเลือกที่จะตามหลังอย่างเงียบๆ
ค่ำคืนเริ่มมาอย่างช้าๆ ในที่สุดชีอ้าวชวางก็หยุดปักดาบลงกับพื้น แล้วนั่งลงทุกคนข้างหลังมองหน้ากันแล้วเดินไปอย่างเงียบๆ สีเฉ่าฉีและสีเฉ่าซื่อเริ่มตั้งกระโจม ส่วนเฟิงอี้เซวียนและเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็จุดกองไฟเพื่อเตรียมอาหารเย็น
“ข้าจะไปตามหาโนมกับคนแคระนะ จะได้เอาของที่เหมือนกับของในเผ่าของพวกเขา” ชีอ้าวชวางพูดช้าๆ
ทุกคนตะลึงและหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด ชีอ้าวชวางขอให้วิหารแห่งความมืดหาที่อยู่อาศัยของโนมและคนแคระให้ แต่ไม่เคยบอกพวกเขาเลยว่านางกำลังหาอะไรอยู่
“ข้าจะรวบรวมขนนกสังหารเทพเจ้า” ชีอ้าวชวางพูดออกมาเบาๆ ในเวลานี้อารมณ์ของชีอ้าวชวางสงบลงแล้วนางมองทุกคนที่กำลังวุ่นวายอยู่ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจ
“สิ่งนั้นมันคืออะไรหรือ” สีเฉ่าฉีขมวดคิ้วแล้วถามด้วยความสงสัย
คนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไร พวกเขารู้ ในเมื่อชีอ้าวชวางพูดเช่นนี้แล้ว จะต้องบอกพวกเขาอย่างแน่นอนว่ามันคืออะไรและทำไมถึงต้องหาสิ่งนี้
“ขนนกสังหารเทพเจ้า เป็นชุดสิ่งประดิษฐ์สำหรับสังหารเทพเจ้า และการสังหารเทพเจ้าจำเป็นต้องใช้หอกและขนนกเป็นชุดเกราะ” คำพูดเบาๆ ของชีอ้าวชวางเป็นเหมือนก้อนหินที่โยนลงไปในทะเลสาบที่เรียบสงบทำให้ในใจของทุกคนรู้สึกถึงคลื่นความปั่นป่วน
กร็อบ! สีเฉ่าฉีบีบสิ่งที่อยู่ในมือของเขา ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว แล้วมองชีอ้าวชวางอย่างเงียบๆ
“ชุดสิ่งประดิษฐ์นี้ถูกแจกจ่ายในทุกเผ่าพันธุ์ ส่วนหนึ่งอยู่ที่คนแคระและโนม ส่วนหนึ่งอยู่ที่เอลฟ์ ส่วนหนึ่งอยู่ที่เผ่าเงือก ส่วนหนึ่งอยู่ที่ออร์ค (สิ่งมีชีวิตในตำนานชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายมนุษย์) และส่วนหนึ่งก็อยู่ที่เผ่ามังกร ต้องรวบรวมมันทั้งหมดเพื่อจะใช้พลังที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมัน มันใช้สังหารเทพีแห่งแสงได้” ชีอ้าวชวางมองดาบชังหลันที่อยู่ตรงหน้าอาวุธนี้เป็นเพียงอาวุธเทพแบบย่อย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าเทพีแห่งแสงได้ แต่ว่าขนนกสังหารเทพเจ้าเป็นเครื่องมือที่บิดาแห่งเทพเจ้าสร้างขึ้นพลังของมันไม่ต้องพูดก็ชัดเจนอยู่แล้ว
สีหน้าของทุกคนฉายชัดถึงความประหลาดใจ
ไม่รอให้ทุกคนถามคำถามอะไรชีอ้าวชวางก็พูดเบาๆ “มันคือสิ่งที่เทพเจ้าแห่งความมืดบอกข้า” หลังจากชีอ้าวชวางพูดจบ สีหน้าของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป
“แม้ว่าความแข็งแกร่งของมนุษย์จะเหนือกว่าพวกเขา แต่พวกเขาก็มีความเป็นเทพเจ้าอยู่ แม้ว่าจะสังหารเทพีแห่งแสงได้แล้ว นางก็ยังพึ่งความเป็นเทพเจ้าเกิดใหม่มีเลือดเนื้อร่างกายได้อีก สิ่งประดิษฐ์ชุดนี้ทำให้ความเป็นเทพเจ้าของนางพังป่นปี้ไปได้ แล้วจะไม่มีวันเกิดใหม่ได้อีก”เสียงของชีอ้าวชวางเยือกเย็นขึ้นมา
“ที่นี่ใกล้กับคนแคระที่สุดแล้ว ดังนั้นเราไปหาคนแคระก่อนดีหรือไม่” สีเฉ่าฉีถาม
“ไม่ใช่ ที่นี่ใกล้กับเงือกมากที่สุดต่างหาก” ชีอ้าวชวางส่ายหัวเบาๆ “เราจะไปหาเงือกกันก่อน”
“หือ? เช่นนั้น…” สีเฉ่าฉีอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหุบปากทันที มีเพียงเหตุผลเดียวที่ชีอ้าวชวางไม่ยอมให้วิหารแห่งความมืดหาที่อยู่เผ่าเงือกให้ นั่นก็คือนางรู้อยู่แล้ว
“คุณหนู ของสิ่งนี้ เผ่าพันธุ์เหล่านั้นน่าจะรักษาเอาไว้ราวกับสมบัติล้ำค่า”สีเฉ่าซื่อลูบคางของเขาแล้วคิด
“ไม่แน่หรอก” เฟิงอี้เซวียนพูด “ทุกเผ่าพันธุ์มีสิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดแล้ว ของสิ่งนี้ไม่ได้มีค่ามากเท่าสิ่งนั้นหรอก อีกทั้งพวกเขาก็ไม่อาจจะครอบครองชุดสิ่งประดิษฐ์ที่สมบูรณ์ได้ เช่นนั้น ชิ้นส่วนเหล่านั้นเมื่ออยู่ในมือของพวกเขามันก็จะไม่มีบทบาทใดๆ เลย พวกเขาคงจะไม่หวงแหนมันเป็นพิเศษหรอก”
“คนแคระชอบการหล่อโลหะมากที่สุดและพวกเขาก็รักเคราของพวกเขามากที่สุด โนมชอบการขุดและสร้าง และแน่นอนเลยว่ามังกรชอบสมบัติมากที่สุด ส่วนเงือกไม่รู้สิ…” สีเฉ่าซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยและวิเคราะห์
“คุณหนู เราจะเดินทางข้ามทะเลทรายแห่งนี้ไปที่ชายหาดเพื่อหาเงือกหรือ” สีเฉ่าฉีเอียงหัวถาม
“อืมในทะเลลึก เผ่าเงือกชอบอยู่ในน้ำทะเลที่ใสสะอาดพวกเขาชอบที่เงียบสงบและสะอาด” ชีอ้าวชวางพยักหน้าแล้วตอบ
“แต่ว่าคุณหนู เราไม่รู้เลยว่าเงือกชอบอะไร แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาเกลียดอะไรมากๆ” สีเฉ่าซื่อถอนหายใจ
“สิ่งที่พวกเขาเกลียดที่สุดคือมนุษย์” เหลิ่งหลิงยวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“มนุษย์กระทำสิ่งชั่วร้ายเกินจะบรรยายต่อพวกเขา” สีเฉ่าฉียักไหล่ แล้วขมวดคิ้ว “เพราะว่าน้ำตาหยดแรกที่พวกเขาหลั่งออกมาจะกลายเป็นไข่มุกที่ดีที่สุดดังนั้นหลังจากจับพวกเขามาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาวิธีต่างๆ ทรมานพวกเขา ทำให้พวกเขาหลั่งน้ำตาออกมา แล้วยังควักลูกตาของพวกเขาเพื่อมาทำอัญมณีขาย แล้วฆ่าพวกเขาเอาศพไปตากให้แห้งและนำศพแห้งนั้นมาทำเป็นเทียน มันมากเกินไป ข้าขี้เกียจจะพูดแล้ว” สีเฉ่าฉีแสยะปากแล้วไม่พูดต่อ
เรียกได้ว่าเป็นการยากยิ่งที่จะได้รับสิ่งประดิษฐ์นั้นจากเผ่าเงือก
“ไปถึงที่นั่นแล้วค่อยคุย ถ้าไม่ได้ก็แย่งหรือไม่ก็ขโมย” ชีอ้าวชวางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ทุกคนเหงื่อตกยังมีคนที่พูดถึงการขโมยและแย่งชิงได้อย่างเคร่งขรึมเช่นนี้อีกหรือ
“จริงๆ แล้วน่าจะไม่ต้อง เผ่าเงือกมักจะหยิ่งผยอง แต่หากมนุษย์มีบุญคุณกับพวกเขา ก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย” เหลิ่งหลิงยวิ๋นหรี่ตาลงแล้วคิด
“บุญคุณ?” เฟิงอี้เซวียนพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมกับกำหมัดที่ฝ่ามือของเขา “รู้แล้ว ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร”
“อะไร” พี่น้องตระกูลสีถามพร้อมกัน
“ที่ท่าเรือที่ซ่อนอยู่ในเมืองโยซาลี่ ที่นั่นมีสถานที่กักขังเงือกอยู่ มีเงือกถูกจับไปกักขังที่นั่น รอจนเงือกเติบโตขึ้นก็จะได้รับยา แล้วหางของเงือกก็จะหลุดออก ทำให้เงือกมีขา แล้วเอาไปขายให้กับมนุษย์” เฟิงอี้เซวียนอธิบาย “เผ่าเงือกเป็นเผ่าพันธุ์ที่สวยงามตอนเด็กพวกเขาจะไม่มีเพศพวกเขาจะเลือกเพศของตัวเองหลังจากที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แล้วพวกนั้นก็จะบังคับให้เงือกเลือกเพศตามความต้องการของลูกค้า”
“นายน้อยเฟิงทำไมเจ้าถึงรู้มากขนาดนี้ล่ะ” สีเฉ่าฉีมองเฟิงอี้เซวียน ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปและพูดในแง่ลบ “หรือว่าเจ้าเคยซื้อเงือกสาวมาเป็นสัตว์เลี้ยง…” สีเฉ่าฉียังพูดไม่ทันจบ เฟิงอี้เซวียนที่อยู่ตรงข้ามก็ส่งสายตาสังหารมาแล้ว เขาจึงรีบกลืนคำพูดที่เหลือกลับไปอย่างรวดเร็ว
“สถานที่กักขังนั้น เดิมทีพวกเขาอยากจะให้ตระกูลเฟิงไปเป็นลูกค้าแม้ว่านี่จะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ แต่ว่าพ่อของข้าคิดว่าเรื่องเช่นนี้โหดร้ายเกินไป จึงปฏิเสธธุรกิจประเภทนี้ไป แน่นอน เราไม่มีอำนาจจะเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นหรอก” เฟิงอี้เซวียนพูดอย่างจนใจ
“เจ้าหมายความว่า ให้ช่วยเงือกที่ถูกกักขังที่นั่นหรือ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูดเรียบๆ
“ถือโอกาสทำลายสถานที่นั้นไปด้วยเลย” เฟิงอี้เซวียนพยักหน้า “ความดียิ่งใหญ่เช่นนี้ จะต้องได้รับการตอบแทนจากเผ่าเงือกแน่นอน อย่างน้อยมันก็จะทำให้เราเข้าสู่อาณาเขตของเผ่าเงือกได้โดยไม่ถูกโจมตี แต่แน่นอนว่าอย่าคาดหวังว่าพวกเราจะได้รับการต้อนรับที่แสนอบอุ่น”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสถานที่กักขังนั้นอยู่ที่ไหน” สีเฉ่าฉีถาม
“ไม่รู้” เฟิงอี้เซวียนตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ให้ตายสิ แล้วเจ้าพูดอะไรเนี่ย” สีเฉ่าฉีพูด
“เจ้านี่เป็นคนงี่เง่าจริงๆเราไปถึงที่นั่นก่อนแล้วค่อยหาไม่ได้หรือไง” เฟิงอี้เซวียนโต้กลับอย่างดูถูก แล้วสีหน้าของสีเฉ่าฉีก็นิ่งไป
“ข้า…” สีเฉ่าฉีกัดฟันแล้วมองเฟิงอี้เซวียน
“เจ้าคนสมองหมู เป็นอย่างที่คิดเลย” เฟิงอี้เซวียนกลอกตาและถอนหายใจ
“ข้าจะสู้กับเจ้า!” สีเฉ่าฉีโวยวายลุกขึ้นและรีบเข้าไปหาเฟิงอี้เซวียน
“เจ้าสู้ข้าได้หรือ” เฟิงอี้เซวียนขยิบตาเบาๆ แล้วพูดอย่างเหยียดหยาม
สีเฉ่าฉีทิ้งตัวลงบนพื้น ทรายเต็มใบหน้าของเขาไปหมด
ชีอ้าวชวางมองสองคนที่เสียงดังโวยวาย แล้วมุมปากของนางก็ยกขึ้นเล็กน้อย
เฟิงอี้เซวียนแกล้งสีเฉ่าฉี แต่มองการแสดงออกของชีอ้าวชวางจากหางตาของเขาเขารู้สึกโล่งใจที่เห็นมุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย
เหลิ่งหลิงยวิ๋นมองใบหน้าของชีอ้าวชวางอย่างเงียบๆ แล้วความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้นในดวงตาของเขา
“กลุ่มสายฟ้าดำจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น” จู่ๆเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็พูดขึ้น “ครั้งแรก พวกเราได้ลิ้มรสความเก่งกาจของพวกเขาแล้ว ครั้งนี้ค่ายกลถูกทำลายเพราะอ้าวชวางบังเอิญรู้จักดวงตาค่ายกลนี้ แล้วครั้งต่อไปล่ะ”
ดวงตาของชีอ้าวชวางก็เย็นชาขึ้นเช่นกัน ครั้งนี้ได้พบกับคนเหล่านี้การทำลายค่ายกลนั้นที่จริงแล้วเป็นเรื่องบังเอิญ ตนเองบังเอิญรู้จักดวงตาค่ายกล ถ้าไม่รู้ เกรงว่าคงจะติดอยู่ในนั้นจริงๆ นางฆ่าคนเหล่านั้นได้ เพราะความแข็งแกร่งของนางสูงขึ้นมาก แต่ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของกลุ่มในสายฟ้าดำจะเป็นอย่างไร ถ้านั่นเป็นกลุ่มล่างๆ แล้วกลุ่มระดับบนจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน…