“เรื่องนี้เป็นเพราะบุตรแห่งแสงและอาจารย์ของข้า หากไม่มีทั้งสองคน ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับโรคระบาดได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร” แคลร์ขอบคุณอย่างถ่อมตัว
“ไม่ใช่หรอก มันเป็นเพราะความพยายามของคุณหนูแคลร์ต่างหาก” เหลิ่งหลิงยวิ๋นยังคงตอบอย่างสุภาพ
“เจ้าเหนื่อยหรือไม่เนี่ย? เห้อ! เด็กโง่ผู้นี้” วัลโดตัดบทอย่างกังวล รอยยิ้มนั้นดูเสแสร้งเกินไป ปีศาจน้อยช่างอดทนจริงๆ ที่สามารถทนยิ้มจอมปลอมของคนเช่นนี้ได้
เฟิงอี้เซวียนยังคงนั่งเฉยมองบุตรแห่งแสงผู้นั้นอยู่
ดวงตาของเหลิ่งหลิงยวิ๋นมองที่เฟิงอี้เซวียน ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา จากนั้นไม่นานสายตาเขาก็กลับมาเป็นปกติ
ดวงตาทั้งสองคู่จ้องมองกันด้วยแววตาซับซ้อน จากนั้นก็หายไปเป็นแววตาปกติ
สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจของเมืองเนียร์ แคลร์ครุ่นคิด ยังคงมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากเลย
ในเวลานี้ฮีธซึ่งเป็นผู้รักษาการเจ้าเมืองเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วก็ทักทายแคลร์ “รายงานท่านเจ้าเมือง เทพธิดาแห่งแสงมาที่นี่ครับ…”
เทพธิดาแห่งแสงหรือ? ผู้หญิงที่สวยและใจดีราวกับนางฟ้าที่เขาบอกกันน่ะหรือ? หญิงสาวที่มีอิทธิพลและเป็นที่เคารพในใจของประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งนางยังเป็นที่หลงใหลของบรรดาลูกชายของขุนนางหลายคน แต่สิ่งเหล่านี้ต้องเก็บไว้ในใจไม่สามารถพูดออกไปได้ เพราะเทพธิดาเป็นผู้ประเสริฐและบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ไม่สามารถไปยุ่งกับนางได้
คนชั้นสูงเช่นนี้ มาทำอะไรในเมืองเนียร์เล็กๆ นี่กันล่ะ?
พระสันตปาปาไม่เพียงแต่ส่งบุตรแห่งแสงมาช่วยควบคุมโรคระบาดเท่านั้นหรือ?
ฮีธพูดไม่ทันจบ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่ประตูแล้ว
ร่างทรงเสน่ห์ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู…
เหลิ่งหลิงยวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่ประตูด้วยสายตาเย็นชา
แคลร์มองไปที่ประตู เทพธิดาแห่งแสงอยู่ในชุดกระโปรงสีขาวราวกับหิมะ ลวดลายบนกระโปรงแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้อยู่ในสถานะต่ำในวิหารแห่งแสง หญิงสาวที่อยู่ตรงประตูเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกับผมสีน้ำตาลลอนสวย คิ้วโก่ง ดวงตาคู่สวยสีดำ และริมฝีปากบางภายใต้จมูกโด่ง นางเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสง่างาม ช่างงดงามมากจริงๆ
นางคือเทพธิดาแห่งแสง… หลิวเฉว่ฉิง ผู้ที่มีนามสกุลโบราณอันสูงส่ง มีความเก่งกาจในเรื่องเวทย์
“เทพธิดาแห่งแสง ยินดีต้อนรับสู่เมืองเนียร์ ข้าคือเจ้าเมืองเนียร์ชื่อแคลร์ ฮิลล์” แคลร์ก้าวไปข้างหน้าและทักทายอย่างสุภาพ
“ท่านเจ้าเมือง สวัสดี ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้าตามคำสั่งของพระสันตปาปา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วนะ” เทพธิดาหลิวเฉว่ฉิงตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ครั้งนี้ข้าต้องขอบคุณบุตรแห่งแสงเป็นอย่างมาก เพราะด้วยความช่วยเหลือจากวิหารแห่งแสงทำให้สามารถควบคุมโรคระบาดได้เร็วขนาดนี้” แคลร์ยิ้มอย่างสุภาพ
วัลโดกลอกตาและพูด “แคลร์ เจ้าอยากอ้วกหรือไม่? “
เมื่อแคลร์กล่าวชื่นชมบุตรแห่งแสง ดวงตาของหลิวเฉว่ฉิงก็เป็นประกายความเขินอายและความภาคภูมิใจ แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่แคลร์ก็สังเกตเห็นได้ แคลร์เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้เทพธิดาพูดเท็จเรื่องที่จะมาช่วย ความจริงแล้วนางจะมาติดตามคนที่นางรักต่างหากสินะ
“หลิงยวิ๋น ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าล้างบาปให้คนจำนวนมากในคราวเดียว ทำเช่นนั้นใช้พลังเวทย์มากเลยนะ” หลิวเฉว่ฉิงเห็นเหลิ่งหลิงยวิ๋นยืนอยู่ข้างหลังจึงถามด้วยความกังวล
“ข้าไม่เป็นไร” เหลิ่งหลิงยวิ๋นตอบแผ่วเบา “เรื่องโรคระบาดที่นี่จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว เทพธิดา เจ้ากลับไปเร็วหน่อยก็ได้นะ”
คนหนึ่งเรียกหลิงยวิ๋นอย่างสนิทสนม อีกคนหนึ่งกลับเรียกเทพธิดาอย่างเย็นชา
“เจ้าดูสิว่าข้าพาใครมาที่นี่ด้วย” หลิวเฉว่ฉิงไม่สนใจท่าทีเย็นชาของเหลิ่งหลิงยวิ๋น นางยังคงพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เหลิ่งหลิงยวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองไปที่ประตูแล้วก็เห็นร่างเล็กๆ ที่ทำให้เขากังวลใจ
“ท่านพี่…” เสียงหวานดังเข้ามา
“ซวนซวน?! ” การแสดงออกของเหลิ่งหลิงยวิ๋นอ่อนลงทันที หลังจากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูอย่างกระตือรือร้น
“ซวนซวนอาการดีขึ้นมากในช่วงนี้ ข้าได้ยินมาว่าโรคระบาดควบคุมไว้ได้แล้ว อีกอย่างซวนซวนก็อยากจะพบเจ้า ข้าจึงขอพานางออกมาหาเจ้าด้วย” หลิวเฉว่ฉิงยิ้มและหันไปหาพวกเขา
“ขอบคุณนะ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นอุ้มซวนซวนตัวน้อยขึ้นมาแล้วหันไปขอบคุณหลิวเฉว่ฉิง น้ำเสียงของเขาในครั้งนี้เป็นการพูดอย่างจริงใจ
หลิวเฉว่ฉิงยิ้มอย่างนุ่มนวลและพอใจ
แคลร์ขยิบตาให้ฮีธ เขาจึงก้าวถอยหลังไป จากนั้นแคลร์ก็หันหลังเดินไปที่สวนหลังบ้าน เฟิงอี้เซวียนลุกขึ้นทันทีเพื่อเดินตามแคลร์ไปติดๆ จินเหยียนเองก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ เพื่อให้เวลาส่วนตัวแก่พวกเขา
“แคลร์ กลางวันกินอะไรดี ไข่ตุ๋นเมื่อตอนเช้าอร่อยมากเลย พ่อครัวบอกว่าเจ้าสอนเขาทำ เจ้ายังมีอะไรที่อร่อยยิ่งกว่านั้นอีกหรือไม่? ” เฟิงอี้เซวียนถามแคลร์เสียงดัง
แคลร์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าชายผู้นี้ดูเหมือนจะรักการกินมาก ครั้งแรกที่ประลองกับราเซียก็เป็นเพราะเขากินไม่เลือกเลยท้องเสียต้องไปเข้าห้องน้ำก็เลยต้องถือว่าแพ้ไป
“มีสิ” แคลร์ตอบ
“อะไรหรือ? มีอะไรอีกหรือ? ” เฟิงอี้เซวียนถามด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าต้องไปช่วยข้าจัดการกับเอกสารบางอย่างเกี่ยวกับหอการค้าในห้องหนังสือก่อนแล้วข้าจะบอก” แคลร์เดินไปหน้าห้องหนังสือ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเฟิงอี้เซวียน เพราะว่าตระกูลของเขาไม่ได้เหมือนกับตระกูลชั้นสูงอื่นๆ แม่ของเขาเป็นขุนนางตำแหน่งสูงของลากัค นางได้รับการยกย่องอย่างสูงจากจักรพรรดิและเป็นที่เคารพของเหล่าขุนนางหลายร้อยคน แม่ของเขามีบุคลิกเป็นคนเย่อหยิ่ง แต่พ่อของเฟิงอี้เซวียนกลับเป็นคนอ่อนโยนและเป็นประธานหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดในลากัค พูดง่ายๆ ก็คือเฟิงอี้เซวียนมีข้อได้เปรียบจากทั้งพ่อและแม่ที่แข็งแกร่งและเป็นคนหัวดีทั้งคู่ ทั้งหมดนี่คือที่แคลร์จะได้รู้อย่างชัดเจนในภายหลัง
ภายในห้องหนังสือ แคลร์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานพลิกดูเอกสารที่กองเป็นภูเขา แคลร์สวมถุงมือลูกไม้อย่างดีสีขาวเงินขาวอย่างดีที่มือขวาซึ่งเป็นถุงมือที่เฟิงอี้เซวียนเตรียมไว้ให้นาง เมื่อแคลร์ตื่นขึ้นในตอนเช้า นางก็เห็นเฟิงอี้เซวียนนั่งอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของนาง เขาถือกระเป๋าทรงสูงที่เต็มไปด้วยถุงมือหลายชนิดหลากสีเพื่อให้แคลร์ใช้ใส่ปิดตรารูปดาวนี้ แคลร์ก็ไม่รู้ว่าเขาหาถุงมือมาจากไหนได้มากมายภายในคืนเดียว
“แคลร์ ภาษีการค้าขายเหล่านี้สามารถลดหรือยกเว้นได้ ส่วนอันนี้ลดไม่ได้ อันนี้ลดได้ 20% สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นความกระตือรือร้นของพวกเขาได้เท่านั้น แต่ยังเรียกเก็บเงินได้เป็นจำนวนมาก และที่สำคัญที่สุดพวกเขาจะรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งเลยล่ะ” เฟิงอี้เซวียนเอาเอกสารส่งให้แคลร์แล้วชี้ให้ดู
แคลร์เข้าไปดูใกล้ๆ การหักลดหย่อนภาษีไม่มากนัก แต่ชัดเจนมากเลยทีเดียว
“เอาล่ะ ข้าจะให้เจ้าได้กินอาหารอร่อยๆ ตอนเที่ยงนะ” แคลร์หยิบปากกาขนนกขึ้นมาแล้วรีบเขียนสูตรอาหารลงบนกระดาษสีขาว “เอากระดาษนี้ไปที่ห้องครัวแล้วบอกให้พวกเขาทำตามนี้ตอนเที่ยง”
“ได้เลย ฮ่าๆ ” เฟิงอี้เซวียนหยิบสูตรแล้วออกไป ในใจก็คิดว่าหลังจากแต่งงานกับแคลร์ เขาก็จะมีอาหารดีๆ กินทุกวันเลยสินะ
“แคลร์ ข้าเบื่อมากเลย” วัลโดบ่นฮึดฮัดอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่กล้าออกไปเดินเล่นรอบๆ นอกจากจะมีบุตรแห่งแสงที่น่ารังเกียจอยู่ในคฤหาสน์นี้ด้วยแล้ว ตอนนี้ยังมีเทพธิดาอีก หากพวกเขาพบวัลโดเข้าก็แย่สิ
แคลร์รีบเปิดเอกสารราชการดูแล้วประทับตราลงในเอกสารที่ได้รับอนุมัติ หลังจากนั้นไม่นานแคลร์รู้สึกว่าตาของนางเริ่มแห้งเล็กน้อย สุดท้ายนางจึงลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย
สวนด้านหลังของคฤหาสน์เจ้าเมืองเต็มไปด้วยดอกทานตะวัน ไม่รู้ว่าเป็นงานอดิเรกของเจ้าเมืองคนก่อนหรือไม่ ที่นี่ไม่มีดอกไม้สีอื่นๆ เลย มีแต่ดอกทานตะวันทั้งหมด พอตอนที่ดอกทานตะวันเบ่งบาน ทั่วบริเวณจึงกลายเป็นสีทองทั้งหมด
แคลร์เงยหน้าขึ้น แต่ทันใดนั้นนางก็เห็นร่างเล็กๆ ผมสีเงินอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวัน
ในขณะนี้ร่างเล็กๆ ดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างแล้วหันกลับมาสบตาแคลร์ ดวงตาสีม่วง ใบหน้าซีดเล็กน้อยริมฝีปากเล็กๆ และแววตาใสซื่อทำให้แคลร์รู้สึกว่าซวนซวนเป็นเด็กที่บริสุทธิ์มากและไม่ได้มีพิษภัยเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่านางจะได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีเลยด้วย นางเป็นน้องสาวของเหลิ่งหลิงยวิ๋น! ใบหน้าของทั้งสองคนมีความคล้ายคลึงกันอยู่มากทีเดียว
เด็กหญิงตัวเล็กตกตะลึงเมื่อจ้องไปที่แคลร์
แคลร์ไม่พูดอะไรและหันหลังกลับ แคลร์ไม่ถนัดพูดคุยกับเด็กผู้บริสุทธิ์เช่นนี้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ พี่สาว” อย่างไรก็ตามเสียงหวานใสที่อยู่ข้างหลังก็ทำให้แคลร์หยุด
แคลร์หยุดและหันไปมองเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่วิ่งโซเซตามแคลร์มา
“เจ้าช้าหน่อยก็ได้!” แคลร์รู้ว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าอ่อนแอและเจ็บป่วยอยู่ การวิ่งเร็วเช่นนี้ย่อมไม่ดีต่อร่างกายของนาง แคลร์ก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อจับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่กำลังวิ่งมาหา
“พี่สาว ข้าชื่อเหลิ่งซวนซวน…” เด็กสาวผมสีเงินและดวงตาสีม่วงจ้องไปที่แคลร์และแนะนำตัวเองอย่างจริงจัง “ปีนี้ข้าอายุห้าขวบแล้ว ข้าดีใจที่ได้เจอพี่สาวนะคะ”
แคลร์อายเล็กน้อย เด็กคนนี้แก่แดดขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ?
“อื้อ สวัสดีซวนซวน ข้าคือแคลร์” แคลร์รู้สึกไปไม่เป็นเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าจะเข้ากับเด็กๆ ได้อย่างไร
“พี่สาว ข้าชอบพี่สาวนะ พี่สาวเป็นคนดี” เหลิ่งซวนซวนพูดพร้อมกับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าสวยของนาง
แคลร์รู้สึกเขินมาก ได้แต่นั่งยองๆ ลงหน้าเหลิ่งซวนซวนแต่ไม่รู้จะพูดอะไร
วัลโดหัวเราะอย่างหนัก คนดี? ปีศาจน้อยเป็นคนดีหรือ? เรื่องนี้ช่างตลกจริงๆ โอ้พระเจ้า ตลกมากที่มีคนบอกว่าปีศาจน้อยเป็นคนดี!
“ซวนซวน? ” เวลานี้เสียงเรียกที่ค่อนข้างกังวลดังขึ้น มันคือเสียงของเหลิ่งหลิงยวิ๋น
“ท่านพี่ ข้าอยู่นี่” เหลิ่งซวนซวนหันไปพูดด้านหลัง
……………………………………………………………………………….