เสน่ห์คมดาบ – ตอนที่ 48

เฟิงอี้เซวียนรีบตามแคลร์ไป ส่วนสุ่ยเหวินโม่ยืนลูบจมูก ตอนนี้เขาสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว คงไม่สามารถอยู่จัดการกับเฟิงอี้เซวียนที่นี่ได้ เขาจะทำอย่างไรดีล่ะ?  

 

 

สุ่ยเหวินโม่ลังเลอยู่สองวินาที จากนั้นก็เก็บดาบกลับเข้าไปในฝักแล้ววิ่งไปตามพวกเขาไปด้วยท่าทางแปลกๆ  

 

 

“ข้าจะบอกเจ้าให้นะ อย่าคิดว่าข้าจะตามเจ้ากลับไป ท่านแม่บอกให้เจ้ามาพาข้ากลับไปใช่หรือไม่? ” เฟิงอี้เซวียนตะคอกสุ่ยเหวินโม่ที่ตามมาอย่างเย็นชา  

 

 

“ไม่ใช่ แม่ของเจ้าไม่ได้ให้ข้ามาตามเจ้ากลับ” สุ่ยเหวินโม่ตอบตามความเป็นจริง  

 

 

“แล้วเจ้ามาทำอะไร? ” เฟิงอี้เซวียนถามอย่างสงสัย “แม่ของข้าไม่มีทางยอมปล่อยข้าไปง่ายๆ หรอก”  

 

 

“แม่ของเจ้าบอกว่าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่จนกว่าสงครามจะเริ่มขึ้น จากนั้นเจ้าจะต้องหาทางกลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยความสามารถของเจ้าเอง ถ้าเจ้าตายอยู่ที่นี่ก็สมน้ำหน้า แม่ของเจ้ายังบอกอีกว่าไม่มีลูกชายที่โง่เขลาเหมือนเจ้าและบอกว่าถ้าทำได้ ก็ให้พาเมียกลับมาด้วย” สุ่ยเหวินโม่โบกมือพร้อมทวนคำพูดของแม่เฟิงอี้เซวียน  

 

 

“โอ้ ท่านแม่ของข้าช่างดีจริงๆ ” เฟิงอี้เซวียนชื่นชมอย่างมีความสุข  

 

 

แคลร์เม้มปากเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่แบบไหนกัน? มีแม่เช่นนี้ด้วยหรือ? ไม่แปลกใจเลยที่นางให้กำเนิดเด็กแปลกๆ แบบเฟิงอี้เซวียนมาได้  

 

 

“แล้วนั่น คุณหนูคนสวย” สุ่ยเหวินโม่มองไปที่แคลร์แล้วพูดอย่างหน้าด้าน  

 

 

แคลร์ปรือตาขึ้นมองสุ่ยเหวินโม่แล้วพูดเรียบๆ “มีอะไร? “  

 

 

“ตอนนี้ข้าสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว ถ้าเช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถอยู่ทำงานให้เจ้าได้บ้างหรือไม่?” สุ่ยเหวินโม่ยิ้มเรียบๆ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เหตุผลเดียวที่ทำให้สุ่ยเหวินโม่อยากอยู่กับแคลร์ เขายังมีเหตุผลอื่นที่ไม่สามารถพูดได้อีก  

 

 

“ได้สิ เดือนละหนึ่งเหรียญทอง พร้อมกินอยู่ด้วย” แคลร์พูดอย่างเย็นชา “สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือทำตามคำสั่งของข้า” ไม่รู้ว่าทำไมสุ่ยเหวินโม่ที่ทรงพลังนี้ถึงอยากจะอยู่กับแคลร์ แต่ว่าในเมื่อเขามาให้ใช้งานถึงหน้าประตูแล้ว หากไม่ใช้ก็เปล่าประโยชน์ ช่างบังเอิญมากๆ ที่ในอีกสองข้างหน้านางจะได้ใช้เขาจริงๆ  

 

 

“หือ? ” สุ่ยเหวินโม่ส่งเสียงอีกครั้ง “ให้น้อยขนาดนั้นเลยหรือ? “  

 

 

“เจ้าบอกว่าได้น้อย แต่ข้าทำฟรีเลยนะ” เฟิงอี้เซวียนถอนหายใจอย่างอึดอัดและดูหมิ่นในความโลภของสุ่ยเหวินโม่  

 

 

“ก็นั่นเพราะเจ้าเต็มใจจะทำเองไง ข้า…” สุ่ยเหวินโม่พูด  

 

 

“ข้าจะฉีกปากหมาๆ ของเจ้า เจ้าจะได้คายงาช้างออกมาไม่ได้ตลอดไปเลย” เฟิงอี้เซวียนด่าอย่างโกรธๆ  

 

 

“เจ้าคายงาช้างออกมาได้หรือไง? งั้นเจ้าก็คายออกมาให้ข้าดูหน่อย” สุ่ยเหวินโม่โต้กลับ  

 

 

แคลร์ไม่สนใจคนสองคนที่เถียงกันอยู่ข้างหลัง นางเดินไปเรื่อยๆ พลางคิดเรื่องอื่นไปด้วย  

 

 

ขุนนางของเมืองเนียร์ร่วมกันส่งคำเชิญไปให้แคลร์ โดยหวังว่านางจะมาร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเป็นพิเศษในครั้งนี้  

 

 

แต่ความจริงแล้ว งานรื่นเริงคือเรื่องหลอกลวง การหยั่งเชิงคือสาเหตุจริงของงานนี้  

 

 

เจ้าเมืองทุกคนจะต้องได้เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ขุนนางในท้องถิ่นต้องการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตนเอง เมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าเมือง ในบางครั้งเจ้าเมืองบางรายจะใช้นโยบายใหม่ๆ แปลกๆ ที่ขัดต่อผลประโยชน์ของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องระมัดระวังตั้งแต่เนิ่นๆ ในครั้งนี้ภัยพิบัติทำให้เมืองเนียร์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้ว่าเมืองหลวงจะส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์มาให้ก็ตาม แต่ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ขุนนางเหล่านี้ควบคุมหอการค้าและร้านค้าจำนวนมาก พวกเขากลัวว่าแคลร์จะขัดขวางไม่ให้พวกเขาซื้อขายอุปกรณ์ยังชีพในราคาที่สูงก็เป็นได้  

 

 

ในตอนกลางคืน คลิฟมาหาแคลร์ที่ห้องหนังสือ  

 

 

คลิฟวางเขตกั้นที่เป็นตัวช่วยในการสกัดกั้นเวทมนตร์ทั้งหมด และนั่งลงอย่างเคร่งขรึมหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครได้ยินพวกเขา  

 

 

“อาจารย์? เกิดเรื่องอะไรหรือ? ” แคลร์มองคลิฟด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม นางรู้ว่านี่คงเป็นเรื่องไม่ธรรมดา  

 

 

“แคลร์ มันมีวิธีปลดตราที่มือของเจ้า” คลิฟพูดประโยคดังกล่าวออกมา  

 

 

แคลร์ตะลึง มีวิธีปลดตราของเทพเจ้าแห่งความมืดได้หรือ?! ใครที่จะทำได้ล่ะ?  

 

 

“เทพเจ้าแห่งเอลฟ์” คลิฟพูดด้วยความลำบาก “ตรานี้สามารถแก้ได้โดยเทพเจ้าแห่งความมืดและเทพเจ้าแห่งเอลฟ์เท่านั้น”  

 

 

แคลร์ตะลึง เพราะพวกเขาเป็นเทพเจ้าเหมือนกันหรือ?  

 

 

“เอลฟ์มักจะอยู่อย่างสันโดษ พวกเขาไม่ชอบมนุษย์ แต่ก็มีใจดีและบริสุทธิ์ เทพเจ้าของพวกเขาก็เช่นกัน หากมีหนทางให้เทพเจ้าของพวกเขาปลดตราให้เจ้า…” คลิฟขมวดคิ้วไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถเข้าไปในป่าเอลฟ์ได้ แม้ว่าจะเข้าไปได้ เอลฟ์ก็จะคงไม่ปล่อยให้มนุษย์เข้าใกล้วิหารของพวกเขา นับประสาอะไรกับการอัญเชิญเทพเจ้าแห่งเอลฟ์ล่ะ  

 

 

“อาจารย์” แคลร์ยิ้มอ่อน “ข้ารู้ดีถึงความตั้งใจของอาจารย์ ข้าเข้าใจว่ามีบางอย่างที่อาจารย์ไม่สามารถควบคุม ข้าจะตั้งใจอย่างมากที่จะทำให้ตัวข้าแข็งแกร่งขึ้นในเวลานี้ แต่ถ้าวันหนึ่งข้าไม่สามารถสู้ได้แล้วต้องไปจากอาจารย์จริงๆ ก็อย่าได้เสียใจเลย อาจารย์ต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดีนะ”  

 

 

“แคลร์…” เสียงของคลิฟชะงักไปเล็กน้อย “อย่าพูดเรื่องเหล่านี้เลย ตอนเด็กๆ ข้าเคยช่วยเอลฟ์ไว้ หลังจากที่เจ้าจัดการเรื่องในเมืองเนียร์เสร็จแล้ว เราจะไปหาเขาที่ป่าเอลฟ์กัน เผื่อว่าเราจะโชคดี”  

 

 

“ได้สิ อาจารย์” แคลร์ยิ้มและพยักหน้า แม้ว่าความหวังจะเล็กน้อย แต่แคลร์ก็รู้สึกทราบซึ้งใจกับความตั้งใจของคลิฟ  

 

 

“รีบพักผ่อนเถอะ อย่าให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปนะ” คลิฟกล่าว  

 

 

“ค่ะ อาจารย์ ข้าจะจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด หลังจากจบเรื่องกับขุนนางในอีกสองวันข้างหน้า ข้าจะฝากเรื่องทั้งหมดไว้ที่ฮีธ แล้วหลังจากนั้นเราก็จะได้ออกเดินทางกัน” แคลร์พยักหน้าและยิ้ม  

 

 

“อืม ข้าจะไปนอนแล้ว แก่แล้ว กระดูกกระเดี้ยวไม่ไหว” คลิฟหาว  

 

 

“อาจารย์ ข้าว่าอาจารย์ควรจะเช็ดรอยลิปสติกบนใบหน้าของอาจารย์ก่อนดีกว่านะ” เสียงหัวเราะเบาๆ ของแคลร์ดังตามหลังคลิฟที่เดินออกไป คลิฟเขินแล้วรีบเอามือเช็ดหน้า รอยนี้มาจากช่างตัดเสื้อตัวน้อยที่ทิ้งไว้ให้เขาก่อนที่เขาจะกลับมา  

 

 

ตอนนี้โรคระบาดได้รับการควบคุมแล้ว บุตรและเทพธิดาแห่งแสงจึงจะลากลับ แต่เหลิ่งซวนซวนดึงชายเสื้อของแคลร์ไม่ยอมปล่อย  

 

 

“ซวนซวนที่รัก พี่ชายและพี่สาวของเจ้ากำลังรออยู่นะ” แคลร์อุ้มซวนซวนตัวน้อยขึ้นมา และเตรียมจะอุ้มนางเข้าไปในรถม้า  

 

 

“พี่สาว พี่สาวต้องไปหาข้านะ ถ้าพี่สาวไม่มาหาข้า ข้าจะให้ท่านพี่พาข้าไปหาพี่สาว” เหลิ่งซวนซวนพูดพร้อมกับกอดคอของแคลร์แน่น  

 

 

“อื้มๆ ได้สิ” แคลร์พูดพอเป็นพิธี  

 

 

“พี่สาวจะตอบแบบขอไปทีไม่ได้นะ ต้องมาหาข้านะ” เหลิ่งซวนซวนกอดคอของแคลร์และพูดอย่างจริงจัง ทันใดนั้นก็ลดเสียงลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน “พี่สาว ในอนาคต พี่สาวได้โปรดดูแลท่านพี่ของข้าด้วยนะ” ไม่มีใครเห็นประกายที่ดวงตาสีม่วงของเหลิ่งซวนซวน  

 

 

อะไรนะ? แคลร์ประหลาดใจ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?  

 

 

“เอาล่ะ ซวนซวน เราไปกันเถอะ” เหลิ่งหลิงยวิ๋นก้าวไปข้างหน้าเพื่ออุ้มเหลิ่งซวนซวนและพูด  

 

 

“พี่สาว ลาก่อนนะคะ” เหลิ่งซวนซวนพิงอยู่ในอ้อมแขนของเหลิ่งหลิงยวิ๋นและกล่าวอำลาด้วยรอยยิ้ม  

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นอุ้มเหลิ่งซวนซวนเข้าไปในรถม้า จากนั้นก็หันกลับมามองแคลร์อย่างขอโทษ “ข้าขอโทษที่ข้าทำให้เจ้าเดือดร้อน ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ ปกติแล้วนางไม่คุยกับคนแปลกหน้าเลยแต่กลับมาสนิทกับเจ้ามากๆ” นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่ที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นและแคลร์รู้จักกันมา  

 

 

แคลร์สะดุ้งเล็กน้อยและรู้สึกแปลกๆ ในใจ แต่คิดไม่ออกว่ามีอะไรแปลก  

 

 

เทพธิดาก็เดินมากล่าวลาเช่นกัน  

 

 

จากนั้นรถม้าก็ขับออกไปอย่างช้าๆ จากคฤหาสน์ของเจ้าเมืองจนหายไปจากสายตาของทุกคน จินเหยียนยืนเงียบอยู่ข้างหลังแคลร์ ตอนเขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะตำแหน่งเดิมที่เคยเป็นของเขา ยังมีอีกสองคนที่เดินตามแคลร์อยู่  

 

 

รถม้าออกเดินทางแล้ว เหลิ่งหลิงยวิ๋นกอดเหลิ่งซวนซวนไว้แล้วนางก็หลับไปในอ้อมแขนของพี่ชาย  

 

 

หลิวเฉว่ฉิงมองใบหน้าที่อ่อนโยนของเหลิ่งหลิงยวิ๋นด้วยความรู้สึกซับซ้อน นางอยากให้เขาแสดงท่าทีเช่นนั้นกับนางบ้าง แต่นอกเหนือจากน้องสาวของเขาแล้ว เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนี้กับคนอื่นๆ เลย แม้ว่าเขาจะยิ้มให้ทุกคน แต่หลิวเฉว่ฉิงก็รู้ว่านั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่แท้จริง นางอิจฉาเด็กซวนซวนจริงๆ ที่ได้รับความรักจากเขา  

 

 

เหลิ่งซวนซวนหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ราวกับว่านางกำลังฝันดีอยู่  

 

 

เหลิ่งหลิงยวิ๋นก้มหน้ามองรอยยิ้มที่มุมปากของเหลิ่งซวนซวนแล้วก็ยิ้มจางๆ ตอนนั้นหลิวเฉว่ฉิงเกือบจะสูญเสียสติไปเลย  

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าเหลิ่งซวนซวนฝันถึงอะไร และไม่มีใครรู้ว่าข่าวลือนั้นเป็นจริงครึ่งหนึ่งและเท็จครึ่งหนึ่ง ข่าวลือที่ว่าดวงตาสีม่วงของบุตรแห่งแสงมีความสามารถล่วงรู้อนาคตได้ ดวงตาสีม่วงหายากนั้นสามารถมองเห็นอนาคตได้จริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่ดวงตาสีม่วงของเหลิ่งหลิงยวิ๋น แต่เป็นของเหลิ่งซวนซวนต่างหาก!  

 

 

เหลิ่งซวนซวนมองเห็นอนาคตได้!  

 

 

ผลของการมองเห็นอนาคตทำให้เหลิ่งซวนซวนอ่อนแอ ตอนที่นางเห็นแคลร์เป็นครั้งแรก นางก็รู้เลยว่าภูมิหลังการเกิดของหญิงผู้นี้กับภูมิหลังการเกิดของพี่ชายคนโปรดของนางนั้นเกี่ยวพันกัน!  

 

 

วันรุ่งขึ้น แคลร์และฮีธ พาจินเหยียน เฟิงอี้เซวียน และสุ่ยเหวินโม่ไปงานเลี้ยงที่ขุนนางจัดให้นาง  

 

 

งานเลี้ยงจัดขึ้นที่บ้านขุนนางคนหนึ่งในเมืองเนียร์  

 

 

เมื่อรถม้าของแคลร์มาถึง ผู้ดูแลก็ลากเสียงยาวประกาศให้รู้ว่าท่านเจ้าเมืองมาถึงแล้ว เพื่อแจ้งให้ขุนนางภายในทราบว่าในที่สุดคนสำคัญของงานในวันนี้มาถึงแล้ว  

 

 

แคลร์ปรากฏตัวในชุดเดรสสีเขียวอ่อนพอดีตัว สิ่งที่สะดุดตายิ่งกว่าคือชายรูปงามสามคนที่อยู่ข้างหลังนาง แต่ละคนมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ทำให้นางเป็นที่อิจฉาและริษยาของสาวๆ หลายคนทันที พวกเขาต่างพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าคนเหล่านี้เป็นทาสชายที่แคลร์ซื้อมาด้วยเงิน แม้ว่าตอนนี้แคลร์จะไม่มีพฤติกรรมเช่นเดิมแล้ว แต่ภาพนางที่เป็นหญิงบ้าผู้ชายก็ยังเป็นภาพจำในสายตาคนอื่นอยู่ดี  

 

 

แคลร์หัวเราะเยาะในใจเมื่อรู้สึกถึงสายตามุ่งร้ายมากมายในห้องโถง พวกแมลงเม่าพวกนี้ คงจะเตรียมตัวกันมาก่อนเพื่อจะทำให้นางดูอ่อนแอในวันนี้  

 

 

น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ แม้ว่าแคลร์จะไม่ใช่คนเลว แต่นางก็ไม่ใช่คนดีหรอกนะ  

 

 

ในเมื่อคนเหล่านี้เตรียม “ของขวัญชิ้นเยี่ยม” ไว้ให้ ถ้าเช่นนั้นนางก็จะไม่เกรงใจ อย่างไรเริ่มก่อนก็ย่อมได้เปรียบกว่า  

 

 

ใบหน้าที่สดใสและสวยงามของแคลร์มีรอยยิ้มที่น่าทึ่งอีกครั้ง  

 

 

วัลโดตัวสั่น เขารู้ดีว่าเมื่อใดที่ปีศาจน้อยแสดงรอยยิ้มเช่นนี้ ใครบางคนจะต้องโชคร้าย วัลโดรู้สึกเห็นใจขุนนางในห้องโถงนี้จริงๆ  

 

 

……………………………………………………………………………..  

เสน่ห์คมดาบ

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์ ฮิลล์ คุณหนูใหญ่สุดสำรวยแห่งตระกูลขุนนางชั้นสูงผู้มีชื่อฉาวคาวกะฉ่อนว่าโง่เง่า เอาแต่ใจและบ้าผู้ชายเป็นชีวิตพลัดตกจากหลังม้าขณะไล่ตามองค์ชายสองจนหมดสติ สร้างความอับอายให้กับตระกูลเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทีของนางกลับเปลี่ยนจากหน้ามือไปเป็นหลังเท้า ไม่มีอีกแล้วคุณหนูไร้ยางอายที่คลั่งไคล้การไล่จับบุรุษรูปงาม เรื่องเรียนไม่เอาอ่าว เรื่องงานไม่เอาไหน จะมีก็แต่คุณหนูแคลร์ผู้สงบเสงี่ยมเยือกเย็น สำรวมท่าที และเปี่ยมไปด้วยพลังเวทอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเท่านั้น! เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูแคลร์คนนั้นกันแน่นะ!?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset