“ท่านเจ้าเมือง ในที่สุดท่านก็มาแล้ว พวกเรารอท่านมานานเลย” ชายวัยกลางคนเดินช้าๆ มากลางห้องโถง สีหน้าของเขาซีดอย่างผิดปกติ ฝีเท้าของเขาก็เดินอย่างแผ่วเบาไม่มั่นคง มองเพียงแวบแรกก็รู้เลยว่าเขาดื่มเหล้ามานานแล้ว แม้ว่าคำพูดของเขาจะสุภาพดี แต่ก็ไม่มีความเคารพในน้ำเสียงนั้นเลย ในสายตาของพวกเขาแล้ว เด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้นี้เป็นเพียงหญิงบ้าผู้ชายที่กลายเป็นเจ้าเมืองด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัวของนาง นางเป็นคนตระกูลฮิลล์แล้วอย่างไรล่ะ? ในเมื่อตอนนี้จักรพรรดิอยู่ไกลจากที่นี่มาก พวกเขาจะไม่สามารถจัดการเด็กผู้นี้ได้เลยหรือ? ตอนนี้ขู่ไปก่อนแล้วค่อยทำดีด้วย แต่จะทำมากเกินไปก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์ของสาวน้อยผู้นี้คือปรมาจารย์คลิฟ โชคดีที่ปรมาจารย์คลิฟไม่ได้มากับนางในวันนี้ มิฉะนั้นคงจะจัดการยากสักหน่อย
แคลร์มองชายวัยกลางคนที่เดินเข้ามาหานางด้วยยิ้ม ดูเหมือนชายวัยกลางคนมีความสุขมาก เขาพอใจที่เด็กผู้นี้ดูเหมือนจะจัดการได้ง่าย
แคลร์มองเห็นแววดูถูกในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน
“ท่านเจ้าเมือง ข้าน้อยคือฟอลเลน มันดา เวลานี้ท่านเจ้าเมืองได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าภัยพิบัติในครั้งนี้…” ชายวัยกลางคนที่ชื่อฟอลเลนเป็นเสมือนผู้นำของขุนนางในเมืองเนียร์ เขาพูดชมเชยด้วยรอยยิ้มที่เขาคิดว่าสง่างาม เริ่มจากประจบสอพลอก่อน จากนั้นค่อยพูดเงื่อนไข นี่เป็นวิธีการที่พวกเขาทำกันมาอย่างคุ้นเคย
แต่ว่าในไม่ช้า รอยยิ้มที่สง่างามของเขาก็นิ่งค้างอยู่บนใบหน้าของเขา
เพราะแคลร์ยกมือขึ้นเบาๆ เพื่อหยุดคำพูดเหล่านั้น
นี่เป็นพฤติกรรมที่หยาบคายอย่างยิ่ง
เหล่าขุนนางในห้องโถงต่างตกตะลึง แม้ว่าแคลร์จะเป็นเจ้าเมือง แต่นางก็มีศักดิ์เป็นเพียงแค่บารอนขั้นที่ต่ำที่สุด นางทำพฤติกรรมหยาบคายเช่นนี้ได้งั้นหรือ? ไม่ว่าเจ้าเมืองจะเป็นชนชั้นใดก็ไม่กล้าหยาบคายกับขุนนางใหญ่ของพวกเขามาก่อนเลยนะ
“ท่านเจ้าเมืองมีสิ่งใดอยากจะกล่าวหรือ?” ฟอลเลนถามพร้อมกับขมวดคิ้วข่มความไม่พอใจ
“ทุกคนรู้ดีว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการหลังจากที่โรคระบาดจบลงแล้ว ข้าต้องการความช่วยเหลือจากทุกคน ข้าเชื่อว่าทุกคนมีจิตใจที่ดีและมีน้ำใจ” แคลร์ยิ้มและพูดในขณะที่ยืนอยู่ที่ประตูห้องโถง
เมื่อแคลร์พูดเช่นนี้ ฟอลเลนและขุนนางทั้งหมดในห้องโถงก็เปลี่ยนท่าทีแสดงออกทันที ความหมายของนางนั้นชัดเจนแล้วว่าแคลร์จะไม่ยอมให้พวกเขาเพิ่มราคาสินค้า
“ท่านเจ้าเมือง…” ฟอลเลนกลั้นใจยิ้มออกไป เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่แคลร์ไม่แม้แต่จะมองเขา แคลร์เงยหน้าขึ้นและพูดกับคนในห้องโถง “ข้ารู้ว่าทุกคนเชิญข้ามาเพื่อจะแสดงความภักดีต่ออาณาจักร ข้าเชื่อว่าทุกคนคงจะมาขอเจรจาเพื่อลดราคาของใช้ประจำวันที่ขายในหอการค้าลงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เพื่อช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยในเมืองเนียร์ใช่หรือไม่ อีกสิ่งหนึ่งที่จะประกาศก็คือ อีกไม่นานข้าจะออกไปฝึกกับปรมาจารย์คลิฟผู้เป็นอาจารย์ของข้า ในระหว่างนี้ฮีธจะยังคงเป็นผู้รักษาการเจ้าเมือง ข้าเชื่อว่าทุกคนจะช่วยเขาฟื้นฟูเมืองเนียร์ให้เจริญรุ่งเรืองด้ดังเดิมอย่างแข็งขันนะ”
ทันทีที่แคลร์พูดจบ ในห้องโถงก็เดือดดาลขึ้นมาทันที
ทุกคนในห้องต่างกระซิบกัน ส่วนสีหน้าของฟอลเลนนั้นดูไม่ดีเลย เขาไม่คิดว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ ผู้นี้จะชิงเริ่มก่อน นางได้มอบหมายหน้าที่อันยิ่งให้กับพวกเขาพร้อมกับบอกการตัดสินใจของนางไปด้วยเลย
“ท่านเจ้าเมือง ข้าคิดว่าท่านก็รู้ว่าการก่อตั้งหอการค้าของเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การเกิดโรคระบาดครั้งนี้ พวกเราก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน…” สีหน้าของฟอลเลนดูไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก
“ท่านจะบอกว่าสิ่งที่เจ้าเมืองพูดเป็นสิ่งที่ไม่น่าเห็นด้วยใช่หรือไม่? ความภักดีมันไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปใช่หรือไม่? ท่านไม่เพียงแต่จะไม่ลดราคาสินค้า แต่ยังจะเพิ่มราคาขึ้น จากนั้นก็จะหาประโยชน์จากผู้ที่ทุกข์ทรมานจากโรคระบาดนี่งั้นหรือ? ” เฟิงอี้เซวียนพูดขึ้นมา ในเวลานี้เขาจ้องไปที่ฟอลเลนแล้วพูด จากนั้นก็ชี้ไปที่การตกแต่งที่สวยงามในห้องโถงและพูดอย่างเย็นชา “นั่นน่ะหรือ สิ่งที่ท่านบอกว่าท่านเองก็ลำบากเช่นกัน เหอะๆ ดูสิ ราคาของโคมระย้าคริสตัลนี้คือห้าพันเหรียญทอง ชุดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารนี้ผลิตโดยหอการค้าตระกูลเฟิง อย่างต่ำก็สองพันเหรียญทอง แล้วพรมนี้ก็นำเข้าต่างจากประเทศด้วย อาจจะราคาถึงแปดพันเหรียญทองเลย! “
ฟอลเลนอ้าปากค้างด้วยความอึ้ง ชายหนุ่มผมดำตาสีแดงผู้นี้เป็นใคร? ช่างหยาบคายและหยิ่งผยองนัก! ท่านเจ้าเมืองยังไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย อีกทั้งราคาของทุกอย่างที่เขาพูดมานั้นแม่นยำมากๆ ด้วย
“เจ้า! เจ้าเป็นใคร? เจ้าหยาบคายมาก! ” ฟอลเลนได้สติและตะโกนด้วยความโกรธ แม้ว่าชายผมดำผู้นี้จะแต่งตัวเรียบร้อย แต่คำพูดของเขากลับหยาบคายมาก ฟอลเลนไม่เห็นได้ข่าวเลยว่าจะมีขุนนางคนอื่นเดินทางมากับเจ้าเมืองด้วย ดังนั้นชายผู้นี้จะต้องไม่ได้มีภูมิหลังใหญ่โตเป็นแน่ ถ้าจะทำอะไรกับเขา ฟอลเลนก็น่าจะยังพอมีโอกาสจัดการได้
“เขาเป็นผู้ช่วยของข้าเอง” แคลร์ยิ้มจางๆ แล้วรีบพูดเพราะนางคิดว่าประโยคต่อไป เฟิงอี้เซวียนคงจะต้องพูดประโยคประมาณว่าเขาเป็นคู่หมั้นของเจ้าเมืองหรืออะไรทำนองนั้นอย่างแน่นอน แคลร์พูดอย่างเย็นชา “หรือว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่ถูกงั้นหรือ? “
“ถูก…” ฟอลเลนเสียสติไปชั่วขณะแล้วพึมพำออกมา จากนั้นเขาก็เรียกสติคืนมาแล้วก็ตะโกน “ไม่ถูกอย่างแน่นอน พวกเรามีความภักดีต่ออาณาจักรแน่นอนอยู่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นท่านฟอลเลนตกลงที่จะลดราคาสินค้าลงยี่สิบเปอร์เซ็นใช่หรือไม่? ” แคลร์ยิ้มอย่างสดใสขึ้นมาอีกครั้ง
“สิ่งนี้ ข้าเองเห็นด้วย แต่ว่าคนอื่นๆ เขา…” ฟอลเลนแสร้งทำเป็นมองไปยังขุนนางคนอื่นๆ ในห้องโถงแล้วพูดต่อ “ท่านเจ้าเมืองก็ได้เห็นแล้ว แม้ว่าโรคระบาดมันจะทำให้ข้าขาดทุนมากมาย แต่บ้านของข้ายังมีมากและข้าก็ยังสามารถรักษาสภาพคล่องได้ แต่คนอื่นๆ นั้น… ” หากเขาจะลดราคาลงก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากเขาก็ปิดร้านแล้วเอาสินค้าทั้งหมดไปขายที่ร้านของญาติ เขาก็ยังได้เงินเยอะอยู่เหมือนเดิม
“ใช่ ท่านเจ้าเมือง ท่านฟอลเลนสามารถอยู่รอดได้ แต่พวกเราสิลำบากแน่” ชายร่างอ้วนเดินเข้ามาเพื่อพูดแทรกขึ้นมาทันที
“เจ้าน่ะลดน้ำหนักได้แล้วนะ” สุ่ยเหวินโม่ตะคอกอย่างเย็นชาแล้วมองอย่างไม่พอใจ คนเหล่านี้ต้องการใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติครั้งนี้เพื่อฉวยโอกาสทำกำไร แต่ยังจะพูดว่าตัวเองประสบปัญหาอีก
“เจ้าเป็นใคร?! ข้ากำลังพูดกับท่านเจ้าเมืองอยู่ เจ้าแทรกขึ้นมาเช่นนี้ได้อย่างไร” ชายร่างอ้วนได้ยินสุ่ยเหวินโม่พูดจี้จุดตนเองก็ฉวยโอกาสตะคอกขึ้นมาทันที
เกิดเสียงโห่ร้องขึ้นในห้องโถงแล้วพวกเขาก็พุ่งเป้ากไปที่สุยเหวินโม่ทันที เพราะเป็นเรื่องยากที่ทางเจ้าเมืองจะมีจุดพลาดเผยออกมาให้เห็น พวกเขาจะไม่คว้าไว้ได้อย่างไรล่ะ? ชายผู้นี้เป็นเพียงแค่ผู้ติดตามของเจ้าเมืองเท่านั้น เขาเป็นสามัญชน แต่กลับกล้าที่จะทำตัวเสียมารยาทกับขุนนางเช่นนี้ เรื่องนี้จะต้องจบลงที่การแขวนคอเท่านั้น
สุ่ยเหวินโม่ส่งเสียงหึและมองไปอีกทางอย่างไม่ใส่ใจ
“ท่านเจ้าเมือง ท่านก็เห็นแล้วว่าผู้ติดตามของท่านหยาบคายกับข้ามาก สามัญชนท้าทายอำนาจของขุนนางเช่นนี้ ข้าคงต้องขอให้ท่านลงโทษเขาอย่างรุนแรงด้วยเถิด! ท่านต้องสั่งแขวนคอทันที” ชายร่างอ้วนพูดออกมาด้วยความขุ่นเคือง
แคลร์เหลือบมองสุ่ยเหวินโม่ ทันใดนั้นก็ลดเสียงลงแล้วพูดด้วยเสียงที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ยิน “สุ่ยเหวินโม่ น้ำลายของเขากระเด็นใส่ผมของเจ้าแล้ว”
ทันใดนั้น สีหน้าของสุ่ยเหวินโม่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ความโกรธของเขาในทันที
สุ่ยเหวินโม่ชักดาบและระเบิดพลังยุทธ์ออกมาทันที เขาโจมตีเข้าไปที่ขุนนางคนนั้น
รอยแตกลึกและรุนแรงปรากฏขึ้นบนพื้นพรมแดง รอยแตกขยายไปเรื่อยๆ ไม่หยุดจนไปหยุดก่อนถึงขาของชายร่างอ้วน หากพลังยุทธ์ขยายไปอีกเล็กน้อย ชีวิตของชายร่างอ้วนก็คงจะจบสิ้นไปแล้ว
ทั้งห้องโถงเงียบไปครู่หนึ่ง
ทุกคนจ้องไปที่ภาพตรงหน้าอย่างว่างเปล่า
หนุ่มหล่อผู้นั้นเป็นนักดาบที่เก่งกาจจริงๆ! เขาเป็นบุคคลอันตราย เอะอะก็ชักดาบออกมาเลย! ไม่สนใจสถานที่และฝ่ายตรงข้ามสักนิด! เมื่อกี้หากเขาออกแรงอีกหน่อย ขุนนางผู้นั้นก็คงจะเสียชีวิตไปแล้ว!
ในที่สุดขาของชายร่างอ้วนก็ตอบสนองและเริ่มสั่นเทา
“เจ้า เจ้า…” ชายร่างอ้วนพูดไม่เป็นประโยค ทำได้แค่ชี้นิ้วไปที่สุ่ยเหวินโม่ เขากลัวมาก คนอันตรายเช่นนี้มาอยู่เคียงข้างเจ้าเมืองได้อย่างไร
ขุนนางผู้หญิงและหญิงสาวที่หลงใหลสุ่ยเหวินโม่อยู่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว พวกนางต่างก็ปัดความคิดที่จะไปยุ่งกับสุ่ยเหวินโม่หลังจากจบงานเลี้ยงทิ้งไปทันที
“เห้อ เหอะๆ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ องครักษ์ของข้ามักจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อได้ยินคนดูหมิ่นข้า” แคลร์ยิ้ม “สำหรับสิ่งที่ท่านบอกว่าจะให้แขวนคอเขา ก็คงจะยากสักหน่อยนะ ข้าว่าคงไม่มีใครในเมืองเนียร์ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย” คำขอโทษนี้มีความจริงใจหรือไม่? มีไหม? มีอยู่ไหม? เห็นได้ชัดว่านอกจากนางจะไม่จริงใจแล้ว แคลร์ก็ยังรู้สึกยินดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
ในห้องโถึงเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง
ใบหน้าของทุกคนบูดเบี้ยวถึงที่สุด หลายคนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เนื่องจากคลิฟเป็นผู้สนับสนุนแคลร์อยู่เบื้องหลัง พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมากจนเกินไป
ฟอลเลนขมวดคิ้วและครุ่นคิดว่าจะดึงสถานการณ์กลับมาได้อย่างไร
“แค่กๆ …” ทันใดนั้นแคลร์ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วแกล้งพูด “อืม เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน เจ้าทำกับขุนนางท่านนี้ได้อย่างไร? “
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของนาง ท่าทางของเหล่าขุนนางก็ผ่อนคลายขึ้น ดูเหมือนเจ้าเมืองก็ยังมีการตำหนิองครักษ์ของนางอยู่
ท่าทางของฟอลเลนผ่อนคลายลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสาวน้อยผู้นี้ก็พอรู้ความเช่นกัน นางรู้ว่าต้องถอยในเวลาที่ควรถอย
“โอ้ เป็นความผิดของข้าเอง” สุ่ยเหวินโม่ตอบอย่างไม่เต็มใจพร้อมกับคว่ำริมฝีปากลง
“ใช่ เจ้าผิด ครั้งต่อไปที่เจ้าเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าอย่าเมตตา ให้ฟันเขาให้ขาดครึ่งด้วยการลงดาบครั้งเดียวไปเลย” ใบหน้าของแคลร์มีรอยยิ้มที่น่าสดใสในขณะที่นางเอ่ยคำพูดร้ายๆ ออกมา
เมื่อแคลร์พูดจบลง ท่าทางของทุกคนในห้องโถงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก สายตาของทุกคนตกตะลึง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสาวน้อยหน้าตาดีผู้นี้จะพูดคำเช่นนั้นออกมาจริงๆ
“ครับๆ ” สุ่ยเหวินโม่พยักหน้าแล้วยิ้ม
“คราวหน้าข้าจะเพิ่มเงินให้เจ้า” คำพูดที่แผ่วเบาของแคลร์เปรียบเสมือนก้อนหินพันก้อนที่ทุบลงบนหัวใจของขุนนางทุกคนในห้องโถง ท่าทีไม่ยี่หร่ะเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าแคลร์ไม่ได้สนใจพวกเขาที่มีสถานะอันสูงส่งเลย นับประสาอะไรกับชีวิตของพวกเขาล่ะ
ทุกคนมองไปที่แคลร์ด้วยความงุนงง ในขณะนั้นพวกเขารู้สึกเพียงแค่ว่ารอยยิ้มของแคลร์ช่างน่าขนลุกเหลือเกิน
………………………………………………………………………………..