ตอนที่ 478 หวังดีกับเธอทั้งนั้น
ฉินเพ่ยหรงเห็นสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของเธอแล้วเอ่ยเสียงแหลมขึ้น “เชื่อดีกว่าไม่เชื่อนะ คนหนุ่มสาวคึกคะนองไม่รู้จักกลัว ต่อไปเธอจะเข้าใจเองว่าฉันหวังดีกับเธอ”
เธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แม้จะรู้ว่าฉินเพ่ยหรงหวังดีต่อเธอ แต่เธอก็รู้สึกแย่มากเหมือนกันที่ของในบ้านถูกขนย้ายออกไปโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวเธอสักคำ เรื่องอื่นยังพอว่า แต่ปลาทองพวกนั้น เธอกับจิ้นหยวนช่วยกันเลี้ยงตั้งนาน ฉินเพ่ยหรงสั่งคำเดียว เธอก็ไม่ได้เห็นพวกมันอีกแล้ว
เธอรู้สึกไม่สบายใจเลย มองหน้าฉินเพ่ยหรงแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย “คุณแม่ หนูรู้ค่ะว่าคุณแม่หวังดี แต่ของบางอย่างหนูอยู่กับพวกมันมานาน จู่ๆ ก็หายไปแบบนี้ มันก็ใจหายเหมือนกันนะคะ”
ฉินเพ่ยหรงโบกมืออย่างไม่แยแส “เธอหมายถึงปลาทองพวกนั้นนะเหรอ? โถ่เอ๊ย เธอไม่รู้หรือไงว่าคนท้องอยู่ใกล้สัตว์เล็กๆ พวกนั้นไม่ได้น่ะ? เกิดติดพยาธิขึ้นมาจะทำยังไง? ฉันยังอยากจะอุ้มหลานตัวอ้วนๆ ขาวๆ อยู่นะ ส่วนปลาทองพวกนั้นฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว”
เธอชักสังหรณ์ใจไม่ดี
จู่ๆ พ่อบ้านก็ไอค่อกแค่กสองที
เธอมองเขาด้วยความสงสัย แต่ก็อดถามไม่ได้ “แล้วที่บอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้วนี่หมายความว่ายังไงเหรอคะ?” หรือจะเอาพวกมันไปปล่อยแล้ว? ปลาทองพวกนั้นถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์ ถ้าปล่อยพวกมันลงแม่น้ำลำคลอง พวกมันไม่รอดแน่!
คิดๆ แล้วก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตา แอบคิดว่าเดี๋ยวต้องไปตามหากลับมาให้ได้ เธอเลี้ยงมาเองกับมือตั้งนาน ย่อมรู้สึกผูกพันธ์กับพวกมันมาก เธอไม่กล้าตัดใจปล่อยให้พวกมันตายอยู่ข้างนอกหรอก
ฉินเพ่ยหรงมองท่าทางเธอแล้วเอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้าย “ก็แค่ปลาไม่กี่ตัว จะตื่นเต้นอะไรนักหนา ฉันโยนพวกมันทิ้งไปแล้ว สงสัยคงถูกหมากินหมดแล้วมั้ง…”
ยังไม่ทันจะพูดจบก็เห็นเฉียวซือมู่เบิกตาโพลง มองหน้าตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าประหลาดจนเธอต้องรีบหุบปาก แต่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “นี่เธอทำหน้าอะไรของเธอน่ะ?”
เฉียวซือมู่รู้สึกโกรธจนแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา ปลาทองที่เธออุตส่าห์เลี้ยงอย่างยากลำบากกลับถูกทิ้งให้หมากินไปแล้ว!
ข่าวร้ายที่เพิ่งได้รับรู้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ใบหน้าเธอแดงก่ำจนพูดไม่ออก ได้แต่จ้องฉินเพ่ยหรงตาเขม็ง
“คุณ…” เสี้ยววินาทีนั้น เธออยากจะด่าฉินเพ่ยหรงให้สาแก่ใจ แต่สุดท้ายกลับเลือกที่กลืนคำพูดพวกนั้นลงคอ เธอได้ยินคำตำหนิของฉินเพ่ยหรงแล้วหมุนตัววิ่งตึงตังลงบันไดไปทันทีโดยไม่สนใจฉินเพ่ยหรงอีก
เธอจะไปตามหาปลาทองพวกนั้น ถึงพวกมันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ขออย่าให้ถึงขั้นไม่เหลือซากเลยนะ
ฉินเพ่ยหรงมองตามแผ่นหลังเธอด้วยความไม่เข้าใจ เธอชักโมโหนิดๆ “เธอจะทำอะไรน่ะ? โกรธอย่างนั้นเหรอ? ปลาทองตัวเล็กเท่าฝ่ามือพวกนั้นสำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือไง?”
พ่อบ้านยืนยิ้มแหยอยู่ไม่ห่าง “คุณชายกับคุณนายเป็นคนช่วยกันเลี้ยงปลาทองพวกนั้น ก็เลยรักพวกมันมาก จู่ๆ มาได้ยินข่าวร้ายแบบนี้ เธอคงยอมรับความจริงไม่ได้น่ะครับ”
ฉินเพ่ยหรงชะงักเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าลูกชายตนจะชอบปลาทองพวกนั้นด้วย ตอนนี้เธอชักเริ่มเสียใจขึ้นมาเสียแล้วสิ แต่ยังคงทำเป็นปากแข็ง “ก็แค่ปลาทองไม่กี่ตัว รอให้เธอคลอดลูกก่อน ถึงตอนนั้นอยากจะได้กี่ตัวเดี๋ยวฉันซื้อให้เอง พวกคนจนก็อย่างนี้แหละ ของไร้ค่าก็เห็นเป็นของมีค่าไปหมด”
เธอยิ่งพูดยิ่งน่าเกลียด พ่อบ้านได้ยินแล้วได้แต่ก้มหน้าโดยไร้คำพูดใดๆ อีก
เฉียวซือมู่วิ่งไปที่สวนหลังบ้าน เพียงไม่นานก็เจอซากปลาทองที่ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะ
เสี้ยววินาทีที่เห็นปลาทองสีทองอร่าม หัวใจเธอหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าตนกำลังรู้สึกเศร้าหรือโกรธอยู่กันแน่ เพราะความรู้สึกหลากหลายสับสนปนเปกันไปหมด น้ำตาเอ่อคลอเบ้าในฉับพลัน
ตอนที่ 479 เศร้าและโกรธ
เธอสูดหายใจลึก ค่อยๆ เดินเข้าไปดูพวกมันใกล้ๆ เมื่อพบว่าพวกมันหมดลมหายใจแล้ว จึงใช้มือค่อยๆ ช้อนปลาทองตัวเย็นชืดพวกนั้นออกมา จากนั้นวางพวกมันลงในกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง
สิ่งเดียวที่เธอยังทำได้ในตอนนี้ ก็คือฝังพวกมันอย่างดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากฝังปลาทองพวกนั้นแล้ว เธอก็ตกอยู่ในอาการเศร้ามาก เธอรับไม่ได้ที่ปลาทองที่เพิ่งจะแหวกว่ายไปมาอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในน้ำกลับกลายเป็นเพียงแค่ซากไปแล้ว และยังตายเพราะฝีมืออันโหดร้ายของคนอื่นอีกต่างหาก
แต่ตอนนี้เธอกลับเรียกร้องความยุติธรรมให้ปลาทองพวกนั้นไม่ได้เลย เพราะเหตุผลที่ฉินเพ่ยหรงทำแบบนั้นก็เพราะความหวังดีที่มีต่อเธอ
ไม่ว่าเธอจะต้องการความหวังดีนั้นหรือไม่ แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจนั้นได้ เพราะหากเธอปฏิเสธ โทษฐานต่างๆ ก็จะพุ่งเป้ามาที่เธอทันที
ความสัมพันธ์อันตึงเครียดที่เพิ่งจะผ่อนคลายลงบ้างจะกลับไปย่ำแย่เหมือนเดิม
เธอพูดไม่ได้ พูดอะไรไม่ได้เด็ดขาด
เพราะเธอแค่ชักสีหน้านิดเดียว ฉินเพ่ยหรงก็ไม่พอใจมากแล้ว “นั่นเธอทำหน้าอะไรน่ะ? ฉันหวังดีกับเธอก็ผิดด้วย? ตอนนี้เธอเป็นคนท้อง ต้องระวังตัวทุกอย่าง แค่ปลาทองไม่กี่ตัว ถ้าชอบนัก รอให้คลอดลูกแล้วอยากได้เท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา แล้วเธอยังจะกล้าชักสีหน้าใส่ฉันอีกเหรอ? ฉันติดค้างเธอหรือไง?”
นี่เป็นสิ่งที่ฉินเพ่ยหรงพูดในโต๊ะอาหาร พูดยาวเป็นพรวนจบแล้วกระแทกตะเกียบกับโต๊ะเสียงดัง “เพียะ” แล้วลุกเดินออกจากโต๊ะอาหารทันที
เฉียวซือมู่กระชับตะเกียบในมือ เม้มริมฝีปากแน่น
ฉินเพ่ยหรงมาที่นี่เพียงแค่สองวันก็ทำให้เธออึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก
แต่ฉินเพ่ยหรงทำทุกอย่างเพราะเป็นห่วงเธอ เธอจึงปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย
เธอนั่งอยู่กับที่ มองดูแผ่นหลังของฉินเพ่ยหรงที่เดินจากไปแล้ว เธอหมดความอยากอาหารทันที
เธอคิดว่าได้เวลาคุยกับจิ้นหยวนแล้ว
คืนนั้น จิ้นหยวนกลับถึงบ้านตามเวลา แม้วันนี้ฉินเพ่ยหรงจะไม่พอใจมาก แต่ไม่รู้เพราะอะไร เธอจึงไม่ยอมกลับบ้านเสียที เอาแต่สั่งคนใช้ให้ย้ายนั่นขยับนี่จนหัวหมุนไปหมด หรือไม่ก็ย้ายที่วางโซฟาและตู้ต่างๆ ทั้งหมดเสียใหม่ตลอดทั้งบ่าย
จิ้นหยวนกลับถึงบ้านตอนหัวค่ำ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าตาห้องโถงที่เปลี่ยนไป
“ทำอะไรกันน่ะ?” เขาเอ่ยถามอยู่ตรงประตู
ฉินเพ่ยหรงทำหน้าดีใจทันทีที่เห็นลูกชายกลับมาแล้ว รีบเดินเข้าไปพูดเอาอกเอาใจ “อาหยวนกลับมาแล้วเหรอ คนหนุ่มสาวนี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แม่ก็เลยให้คนจัดบ้านเสียใหม่ รับรองว่าต้องคลอดลูกชายได้อย่างราบรื่นแน่”
จิ้นหยวนเหลือบมองคุณแม่แวบหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปในบ้าน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องโถงใหญ่ การตกแต่งทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั่งโซฟาก็ถูกย้ายตำแหน่ง ภาพแขวนบนฝาผนังก็ถูกย้ายไปแขวนไว้ที่ผนังอีกด้าน ตรงข้ามทางเข้ากลับมีภาพเด็กน้อยเพิ่มเข้ามา เด็กชายตัวขาวๆ อ้วนๆ ที่กำลังยิ้มแต้ อายบรรยากาศสุดเชยครอบคลุมไปทั่วห้องรับแขกที่เคยถูกตกแต่งอย่างหรูหรา
“……”
จิ้นหยวนรู้สึกว่าตอนนี้หน้าตนดำไปหมดแล้ว เขาหันไปมองหน้าคุณแม่อย่างจนคำพูด
“คุณแม่ นี่มันยุคไหนแล้ว จะลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชายก็เหมือนกันนั่นแหละครับ”
แค่ห้องรับแขกยังเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แล้วห้องอื่นๆ ที่เขายังไม่เห็นอีกล่ะ จะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน